ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังอนุมัติให้ บง.ทิสโก้ ยกระดับเป็น ธพ. รายงานข่าวจาก บริษัทเงินทุน ทิสโก้
จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ บง.ทิสโก้ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตจัดตั้ง ธพ.ต่อ ธปท.เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47
ตามประกาศ ก.คลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้ง ธพ.ลงวันที่ 23 ม.
ค.47 นั้น ขณะนี้ ก.คลังได้พิจารณาแบบคำขอข้างต้นแล้ว และเห็นชอบให้ บง.ทิสโก้ จัดตั้ง ธพ. ตามหนังสือ
ก.คลังที่ กค 1004/ล.804 ลงวันที่ 22 ต.ค.47 ซึ่งถือเป็นรายแรกตามแผนแม่บทพัฒนาสถาบันการเงิน
(มาสเตอร์แพลน) ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกลางปี 48 โดยใช้ชื่อว่า “ธนาคารทิสโก้”
(กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
2. ครม.มีมติอนุมัติมาตรการปรับปรุงภาษี 4 มาตรการ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.
ได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงภาษีของกรมสรรพากร 4 มาตรการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้มี
รายได้น้อยถึงปานกลางที่มีรายได้ประจำรวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีรายได้มากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
เพื่อเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 1) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมยกเว้น 80,000 บาทแรก เพิ่ม
เป็น 100,000 บาทแรก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 47 ที่จะต้องยื่นแบบภาษีในปี 48 2) มาตรการปรับปรุงอัตราภาษี
เงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วใน
วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล.บาท มีผลบังคับใช้สำหรับกำไรสุทธิของนิติบุคคลในรอบบัญชีที่จะ
เริ่มหลังวันที่ 1 ม.ค.47 เป็นต้นไป 3) มาตรการขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่ต้องจด
ทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล.บาทต่อปี เพิ่มเป็นไม่เกิน 1.8 ล.บาทต่อปี
มีผลบังคับใช้สำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่ 1 เม.ย.48 เป็นต้นไป และ 4) มาตรการปรับปรุงการหัก
ค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา จากเดิมที่เสนอให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดาหรือมารดา 1 คน ให้
เพิ่มค่าลดหย่อนเป็น 30,000 บาทต่อบิดาหรือมารดา 1 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย คาดว่า
จะมีผลบังคับใช้ในปี 47 ที่ต้องยื่นแบบในปี 48 ทั้งนี้ มาตรการที่ออกมาจะส่งผลให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีลด
ลงประมาณ 8,200 ล.บาทต่อปี (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. เดือน ก.ย.47 ไทยส่งออกเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 22.1% นายอนุทิน ชาญวีรกุล
รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือน ก.ย.47 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,668.4 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
22.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ของการส่งออกสินค้าไทย และเป็นการ
ส่งออกเกินหลัก 8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ของปีนี้ ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 8,185 ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 29% ส่งผลให้เกินดุลการค้าเป็นจำนวน 483 ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ขาดดุลใน
เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาถึง 218 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับการส่งออกในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.47) มีมูลค่า
ทั้งสิ้น 71,417.5 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 22.77% เมื่อเทียบกับปีก่อน และการนำเข้ามีมูลค่า 70,411 ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 30.22% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 976 ล.ดอลลาร์ สรอ. แสดงให้เห็นว่า การส่งออก
ของไทยยังคงทิศทางที่สดใสภายใต้ปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการแพร่ระบาดของโรคไข้
หวัดนก ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ เชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยในปี 47 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่มูลค่า 96,000 ล.
ดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้น 20% (โพสต์ทูเดย์, ไทยโพสต์)
4. อดีตกรรมการผู้จัดการ ธ.กรุงไทย ยื่นฟ้อง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท. นายธงชัย กอบรรณสิริ
ตัวแทนจากบริษัทสำนักงานกฎหมายสากล ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้
จัดการ ธ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 26 ต.ค.47 ในกรณีที่ ธปท.ออก
ประกาศเรื่องที่นายวิโรจน์ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธ.กรุงไทย และสร้างความเสีย
หายให้กับนายวิโรจน์ โดยคำร้องดังกล่าวได้ฟ้อง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท. ให้เพิกถอนประกาศ ธปท.ลงวันที่
27 ก.ค.47 เรื่องคุณสมบัติของผู้บริหาร ธพ. และให้เพิกถอนคำสั่งตามหนังสือ ธปท.ที่ สกส(02)
1691/2547 ลงวันที่ 7 ต.ค.47 ซึ่งเป็นหนังสือที่ ธปท.ส่งให้คณะกรรมการ ธ.กรุงไทยเพื่อห้ามไม่ให้นาย
วิโรจน์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง โดยระบุให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ละเว้นการกระทำลักษณะดังกล่าวอีก ซึ่งหาก
ธ.กรุงไทยไม่รับนายวิโรจน์กลับเข้าดำรงตำแหน่ง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท.ต้องร่วมกันหรือแทนกันรับความเสียหาย
ให้แก่นายวิโรจน์เป็นเงิน 51.23 ล.บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของเงินต้นต่อปี นับจากวันที่ยื่นคำร้องเป็นต้น
ไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายจากรายได้ต่อเดือนที่นายวิโรจน์ควรจะได้รับจากการดำรงตำแหน่งคำนวณตามวาระ 3 ปี
นอกจากนี้ ยังขอให้ศาลสั่งให้ ธปท.และผู้ว่าการ ธปท.ช่วยกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายอีก 150 ล.บาท
พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของเงินต้นต่อปี นับจากวันที่ยื่นคำร้อง เพื่อเป็นค่าเสียหายที่ไม่สามารถกลับเข้าดำรง
ตำแหน่งในสถาบันการเงินได้อีก รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 201.53 ล.บาท ทั้งนี้ ศาลจะใช้เวลาในการ
พิจารณารับคำฟ้องประมาณ 3-4 สัปดาห์ (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
5. หุ้นไทยออยล์เปิดซื้อขายวันแรกปิดตลาดสูงกว่าราคาจอง 37.5% รายงานข่าวจากตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นวันแรกเมื่อ 26 ต.ค.47 มีมูลค่าการซื้อขาย 13,013.25 ล.บาท โดยเปิดตลาดที่ระดับ 42 บาท สูงกว่า
ราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 32 บาท และปิดตลาดที่ 44 บาท สูงกว่าราคาจอง 12 บาทหรือ 37.5% ทั้งนี้
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า การที่หุ้นบริษัทไทยออยล์ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ เข้ามา
ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยทำให้ขนาดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหญ่ขึ้น และส่งผลดีทำให้นักลงทุนต่าง
ประเทศสนใจตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งฟรีโฟลทในตลาดหุ้นก็จะมีหุ้นหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้
กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า สถานการณ์ภายใต้ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน
แต่ไม่รุนแรงนัก เนื่องจากนักลงทุนรับได้ระดับหนึ่งแล้ว และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความคาดหวังในการลงทุนจากผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันในเดือน ต.ค.47 อยู่ที่ระดับ 92.8 ต่ำสุดในรอบ 7
เดือน รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 26 ต.ค.47 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันในเดือน ต.ค.47 ซึ่ง
สำรวจโดย The Conference Board ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชั้นนำของเอกชนอยู่ที่ระดับ 92.8 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 96.7 และต่ำกว่าที่คาดไว้จากผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐสตร์
ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 94.0 สาเหตุจากความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ความ
รุนแรงในอิรักและสภาพการจ้างงานที่ยังชะลอตัวจากการที่นายจ้างยังระมัดระวังในการจ้างงานเพิ่มเมื่อต้อง
เผชิญกับภาวะที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามการ
ใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของ GDP ของ สรอ.ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้บริโภค
ชาวอเมริกันยังคงซื้อบ้าน รถยนต์และสินค้าอื่น ๆ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำทำให้มี
การกู้ยืมเงินมาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่าหากภาวะการจ้างงานยังไม่ดีขึ้นจะส่งผล
กระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีภาระหนี้สินต้องผ่อนชำระสูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำช่วยให้ยอดขาย
บ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในเดือน ก.ย.47 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ตั้งแต่มีการเก็บตัวเลข ในขณะที่
ยอดค้าปลีกซึ่งถึงแม้จะลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราระหว่างร้อยละ 3 — 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลา
เดียวกันปีก่อน (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาส 3 ปี 47 ลดลงที่ระดับ —10
รายงานจากลอนดอน เมื่อ 26 ต.ค.47 The Confederation of British Industry (CBI) เปิดเผย
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาส 3 ปี 47 ลดลงอยู่ที่ระดับ —10 จากระดับ
+7 ในผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งเคยอยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ —13 เมื่อเดือน ก.ค.46 เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าสูง
ขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนคำสั่งซื้อสินค้าในเดือน ต.ค.47 ก็ลดลงอยู่ที่ระดับ —12
จากระดับ —6 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.47 แม้ว่าธุรกิจจะมีมุมมองในด้านบวกว่าผล
ผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่าจากผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็น
ถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมเริ่มเปราะบางและอาจประสบภาวะชะลอตัว ดังนั้น CBI จึงเรียกร้องให้ ธ.
กลางอังกฤษรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนนี้ไว้ที่ร้อยละ 4.75 เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์
ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมจนถึงสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีการโต้
เถียงกันอย่างมากว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งในต้นปี 48 ก่อนที่จะปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีหน้า (รอยเตอร์)
3. ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปในปี 48 ลงอยู่ที่ร้อยละ
2.0 รายงานจากบรัสเซลล์ เมื่อ 26 ต.ค.47 The European Commission เปิดเผยว่า จากภาวะของ
ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ส่งผลให้ต้องปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรป
ในปี 48 ลงอยู่ที่ร้อยละ 2.0 จากที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 2.3 รวมทั้งประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับปี 49 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 ภายใต้สมมติฐานว่าระดับราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะต้องเฉลี่ยอยู่ที่ 45.10 และ
40.10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในปี 48 และ 49 ตามลำดับ โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่
ที่ 40.60 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในไตรมาสถัด
ไป ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีภาพในด้านบวก คือ การที่ The European Commission ปรับเพิ่มประมาณการเติบโต
ทางเศรษฐกิจปี 47 เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.1 จากเดิมที่ระดับร้อยละ 1.7 รวมทั้งคาดว่า
จะมีการสร้างงานเพิ่ม 600,000 ตำแหน่งในปีนี้ นอกจากนี้ กรรมการบริหารของสหภาพยุโรปที่ทำหน้าที่กำหนด
งบประมาณของประเทศก็ได้กล่าวเตือนประเทศสมาชิก คือ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ และโปรตุเกสว่า
ควรจะจัดการงบประมาณขาดดุลของประเทศให้อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือเหนือกว่าเป้าหมายที่สหภาพยุโรปกำหนด
ไว้ภายใต้นโยบายปัจจุบัน (รอยเตอร์)
4. OPEC คาดว่าอาจลดปริมาณการผลิตน้ำมันหากราคาน้ำมันตกต่ำ รายงานจากลอนดอน เมื่อวัน
ที่ 26 ต.ค. 47 หัวหน้าเศรษฐกรจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก — OPEC เชื่อว่าราคาน้ำมันจะลด
ลงจึงเตรียมที่จะลดปริมาณการผลิตน้ำมันหากเห็นว่าปริมาณสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้นเร็วมากเกินไป ทั้งนี้ราคาน้ำมันในปี
นี้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดกว่าบาร์เรลละ 55 ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากอุปสงค์มากเกินกว่าอุปทานแม้ว่าทางกลุ่ม
OPEC จะผลิตน้ำมันเต็มประสิทธิภาพแล้วก็ตาม โดยในช่วงต้นปี OPEC ได้ลดกำลังการผลิตลงด้วยเกรงว่าปริมาณ
น้ำมันในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะมีจำนวนมากเกินไปในขณะที่ความต้องการจะลดลงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูหนาวจึงส่ง
ผลให้ราคาน้ำมันในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นมากรวมทั้งความต้องการน้ำมันจากจีนที่เพิ่มขึ้นยิ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตามกลุ่ม OPEC มิได้ตั้งใจที่จะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันขณะที่ราคาน้ำมันสูงมาก แต่ขณะเดียวกันต้อง
ระมัดระวังระดับสต็อกน้ำมันเพี่อมิให้ราคาน้ำมันตกต่ำเร็วเกินไป ทั้งนี้ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ OPEC มีความ
เห็นว่าการที่ระดับราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าบาร์เรลละ 50 ดอลลาร์ สรอ. ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะยาวแล้วประเทศต่างๆน่าจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้ สำหรับในปีหน้านั้นกลุ่ม
OPEC วางแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันอีกประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันทำให้มีปริมาณน้ำมันสำรอง
รวมวันละ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อพยายามรักษาระดับราคาน้ำมันมิให้สูงเกินไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 ต.ค. 47 26 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.03 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8513/41.1392 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.71875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 648.38/ 26.11 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,250/8,350 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.84 38.7 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ก.คลังอนุมัติให้ บง.ทิสโก้ ยกระดับเป็น ธพ. รายงานข่าวจาก บริษัทเงินทุน ทิสโก้
จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ตามที่ บง.ทิสโก้ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตจัดตั้ง ธพ.ต่อ ธปท.เมื่อวันที่ 28 เม.ย.47
ตามประกาศ ก.คลังเรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการขออนุญาตจัดตั้ง ธพ.ลงวันที่ 23 ม.
ค.47 นั้น ขณะนี้ ก.คลังได้พิจารณาแบบคำขอข้างต้นแล้ว และเห็นชอบให้ บง.ทิสโก้ จัดตั้ง ธพ. ตามหนังสือ
ก.คลังที่ กค 1004/ล.804 ลงวันที่ 22 ต.ค.47 ซึ่งถือเป็นรายแรกตามแผนแม่บทพัฒนาสถาบันการเงิน
(มาสเตอร์แพลน) ทั้งนี้ คาดว่าจะสามารถเปิดให้บริการได้ภายในกลางปี 48 โดยใช้ชื่อว่า “ธนาคารทิสโก้”
(กรุงเทพธุรกิจ, ข่าวสด)
2. ครม.มีมติอนุมัติมาตรการปรับปรุงภาษี 4 มาตรการ รมว.คลัง เปิดเผยว่า ที่ประชุม ครม.
ได้เห็นชอบมาตรการปรับปรุงภาษีของกรมสรรพากร 4 มาตรการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นการช่วยเหลือผู้มี
รายได้น้อยถึงปานกลางที่มีรายได้ประจำรวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้มีรายได้มากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตดีขึ้น
เพื่อเป็นรากฐานของระบบเศรษฐกิจต่อไป โดยมาตรการดังกล่าวประกอบด้วย 1) มาตรการยกเว้นภาษีเงินได้
บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว จากเดิมยกเว้น 80,000 บาทแรก เพิ่ม
เป็น 100,000 บาทแรก มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 47 ที่จะต้องยื่นแบบภาษีในปี 48 2) มาตรการปรับปรุงอัตราภาษี
เงินได้นิติบุคคลสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ที่มีทุนจดทะเบียนที่ชำระแล้วใน
วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีไม่เกิน 5 ล.บาท มีผลบังคับใช้สำหรับกำไรสุทธิของนิติบุคคลในรอบบัญชีที่จะ
เริ่มหลังวันที่ 1 ม.ค.47 เป็นต้นไป 3) มาตรการขยายระดับรายได้ของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ไม่ต้องจด
ทะเบียนเข้าสู่ระบบภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากเดิมที่กำหนดไว้ไม่เกิน 1.2 ล.บาทต่อปี เพิ่มเป็นไม่เกิน 1.8 ล.บาทต่อปี
มีผลบังคับใช้สำหรับรายได้ที่ได้รับตั้งแต่ 1 เม.ย.48 เป็นต้นไป และ 4) มาตรการปรับปรุงการหัก
ค่าลดหย่อนการอุปการะเลี้ยงดูบิดา มารดา จากเดิมที่เสนอให้หักได้ 15,000 บาทต่อบิดาหรือมารดา 1 คน ให้
เพิ่มค่าลดหย่อนเป็น 30,000 บาทต่อบิดาหรือมารดา 1 คน ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการออกกฎหมาย คาดว่า
จะมีผลบังคับใช้ในปี 47 ที่ต้องยื่นแบบในปี 48 ทั้งนี้ มาตรการที่ออกมาจะส่งผลให้รายได้จากการจัดเก็บภาษีลด
ลงประมาณ 8,200 ล.บาทต่อปี (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
3. เดือน ก.ย.47 ไทยส่งออกเพิ่มขึ้นสูงเป็นประวัติการณ์ถึง 22.1% นายอนุทิน ชาญวีรกุล
รมช.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือน ก.ย.47 มีมูลค่าทั้งสิ้น 8,668.4 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น
22.1% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน ซึ่งถือว่าสูงเป็นประวัติการณ์ของการส่งออกสินค้าไทย และเป็นการ
ส่งออกเกินหลัก 8 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ของปีนี้ ในขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 8,185 ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 29% ส่งผลให้เกินดุลการค้าเป็นจำนวน 483 ล.ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่ขาดดุลใน
เดือน ส.ค.ที่ผ่านมาถึง 218 ล.ดอลลาร์ สรอ. สำหรับการส่งออกในช่วง 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.47) มีมูลค่า
ทั้งสิ้น 71,417.5 ล.ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 22.77% เมื่อเทียบกับปีก่อน และการนำเข้ามีมูลค่า 70,411 ล.
ดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้น 30.22% ส่งผลให้เกินดุลการค้า 976 ล.ดอลลาร์ สรอ. แสดงให้เห็นว่า การส่งออก
ของไทยยังคงทิศทางที่สดใสภายใต้ปัจจัยเสี่ยง ทั้งปัญหาราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น และการแพร่ระบาดของโรคไข้
หวัดนก ทั้งนี้ ก.พาณิชย์ เชื่อมั่นว่าการส่งออกของไทยในปี 47 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่มูลค่า 96,000 ล.
ดอลลาร์ สรอ. หรือเพิ่มขึ้น 20% (โพสต์ทูเดย์, ไทยโพสต์)
4. อดีตกรรมการผู้จัดการ ธ.กรุงไทย ยื่นฟ้อง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท. นายธงชัย กอบรรณสิริ
ตัวแทนจากบริษัทสำนักงานกฎหมายสากล ในฐานะผู้รับมอบอำนาจจาก นายวิโรจน์ นวลแข อดีตกรรมการผู้
จัดการ ธ.กรุงไทย เปิดเผยว่า ได้เข้ายื่นคำร้องต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 26 ต.ค.47 ในกรณีที่ ธปท.ออก
ประกาศเรื่องที่นายวิโรจน์ขาดคุณสมบัติในการดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ธ.กรุงไทย และสร้างความเสีย
หายให้กับนายวิโรจน์ โดยคำร้องดังกล่าวได้ฟ้อง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท. ให้เพิกถอนประกาศ ธปท.ลงวันที่
27 ก.ค.47 เรื่องคุณสมบัติของผู้บริหาร ธพ. และให้เพิกถอนคำสั่งตามหนังสือ ธปท.ที่ สกส(02)
1691/2547 ลงวันที่ 7 ต.ค.47 ซึ่งเป็นหนังสือที่ ธปท.ส่งให้คณะกรรมการ ธ.กรุงไทยเพื่อห้ามไม่ให้นาย
วิโรจน์กลับมาดำรงตำแหน่งอีกครั้ง โดยระบุให้ผู้ถูกฟ้องทั้ง 2 ละเว้นการกระทำลักษณะดังกล่าวอีก ซึ่งหาก
ธ.กรุงไทยไม่รับนายวิโรจน์กลับเข้าดำรงตำแหน่ง ธปท.และผู้ว่าการ ธปท.ต้องร่วมกันหรือแทนกันรับความเสียหาย
ให้แก่นายวิโรจน์เป็นเงิน 51.23 ล.บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของเงินต้นต่อปี นับจากวันที่ยื่นคำร้องเป็นต้น
ไป ซึ่งเป็นค่าเสียหายจากรายได้ต่อเดือนที่นายวิโรจน์ควรจะได้รับจากการดำรงตำแหน่งคำนวณตามวาระ 3 ปี
นอกจากนี้ ยังขอให้ศาลสั่งให้ ธปท.และผู้ว่าการ ธปท.ช่วยกันหรือแทนกันชำระค่าเสียหายอีก 150 ล.บาท
พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ของเงินต้นต่อปี นับจากวันที่ยื่นคำร้อง เพื่อเป็นค่าเสียหายที่ไม่สามารถกลับเข้าดำรง
ตำแหน่งในสถาบันการเงินได้อีก รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 201.53 ล.บาท ทั้งนี้ ศาลจะใช้เวลาในการ
พิจารณารับคำฟ้องประมาณ 3-4 สัปดาห์ (กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
5. หุ้นไทยออยล์เปิดซื้อขายวันแรกปิดตลาดสูงกว่าราคาจอง 37.5% รายงานข่าวจากตลาด
หลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า หุ้นบริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ที่เปิดซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ
เป็นวันแรกเมื่อ 26 ต.ค.47 มีมูลค่าการซื้อขาย 13,013.25 ล.บาท โดยเปิดตลาดที่ระดับ 42 บาท สูงกว่า
ราคาจองที่กำหนดไว้หุ้นละ 32 บาท และปิดตลาดที่ 44 บาท สูงกว่าราคาจอง 12 บาทหรือ 37.5% ทั้งนี้
ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า การที่หุ้นบริษัทไทยออยล์ ซึ่งเป็นหุ้นที่มีมาร์เกตแคปใหญ่ เข้ามา
ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยทำให้ขนาดของตลาดหลักทรัพย์ฯ ใหญ่ขึ้น และส่งผลดีทำให้นักลงทุนต่าง
ประเทศสนใจตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งฟรีโฟลทในตลาดหุ้นก็จะมีหุ้นหมุนเวียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้
กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ กล่าวว่า สถานการณ์ภายใต้ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน
แต่ไม่รุนแรงนัก เนื่องจากนักลงทุนรับได้ระดับหนึ่งแล้ว และนักลงทุนส่วนใหญ่มีความคาดหวังในการลงทุนจากผล
ประกอบการของบริษัทจดทะเบียนซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปีก่อน (โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันในเดือน ต.ค.47 อยู่ที่ระดับ 92.8 ต่ำสุดในรอบ 7
เดือน รายงานจากนิวยอร์ค เมื่อ 26 ต.ค.47 ดัชนีชี้วัดความเชื่อมั่นของชาวอเมริกันในเดือน ต.ค.47 ซึ่ง
สำรวจโดย The Conference Board ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยชั้นนำของเอกชนอยู่ที่ระดับ 92.8 ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน
ลดลงจากเดือนก่อนซึ่งอยู่ที่ระดับ 96.7 และต่ำกว่าที่คาดไว้จากผลสำรวจความเห็นของนักเศรษฐสตร์
ก่อนหน้านี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 94.0 สาเหตุจากความกังวลของผู้บริโภคเกี่ยวกับราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ความ
รุนแรงในอิรักและสภาพการจ้างงานที่ยังชะลอตัวจากการที่นายจ้างยังระมัดระวังในการจ้างงานเพิ่มเมื่อต้อง
เผชิญกับภาวะที่มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นจากราคาน้ำมันและค่ารักษาพยาบาลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่อย่างไรก็ตามการ
ใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของ GDP ของ สรอ.ก็ยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เมื่อผู้บริโภค
ชาวอเมริกันยังคงซื้อบ้าน รถยนต์และสินค้าอื่น ๆ โดยได้รับแรงกระตุ้นจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำทำให้มี
การกู้ยืมเงินมาจับจ่ายซื้อสินค้ามากขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์กังวลว่าหากภาวะการจ้างงานยังไม่ดีขึ้นจะส่งผล
กระทบต่อการใช้จ่ายของผู้บริโภคซึ่งมีภาระหนี้สินต้องผ่อนชำระสูงขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต่ำช่วยให้ยอดขาย
บ้านเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.1 ในเดือน ก.ย.47 เพิ่มขึ้นในอัตราสูงสุดเป็นอันดับที่ 3 ตั้งแต่มีการเก็บตัวเลข ในขณะที่
ยอดค้าปลีกซึ่งถึงแม้จะลดลงเมื่อสัปดาห์ที่แล้วแต่ยังเพิ่มขึ้นในอัตราระหว่างร้อยละ 3 — 4 เมื่อเทียบกับช่วงเวลา
เดียวกันปีก่อน (รอยเตอร์)
2. ดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาส 3 ปี 47 ลดลงที่ระดับ —10
รายงานจากลอนดอน เมื่อ 26 ต.ค.47 The Confederation of British Industry (CBI) เปิดเผย
ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นธุรกิจอุตสาหกรรมของอังกฤษในไตรมาส 3 ปี 47 ลดลงอยู่ที่ระดับ —10 จากระดับ
+7 ในผลสำรวจครั้งก่อน ซึ่งเคยอยู่ในระดับต่ำที่สุดที่ —13 เมื่อเดือน ก.ค.46 เนื่องจากราคาสินค้านำเข้าสูง
ขึ้น รวมทั้งราคาน้ำมันที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ส่วนคำสั่งซื้อสินค้าในเดือน ต.ค.47 ก็ลดลงอยู่ที่ระดับ —12
จากระดับ —6 ในเดือนก่อน ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน เม.ย.47 แม้ว่าธุรกิจจะมีมุมมองในด้านบวกว่าผล
ผลิตจะเพิ่มสูงขึ้นในอีก 3 เดือนข้างหน้า อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่าจากผลสำรวจดังกล่าวแสดงให้เห็น
ถึงการฟื้นตัวของภาคอุตสาหกรรมเริ่มเปราะบางและอาจประสบภาวะชะลอตัว ดังนั้น CBI จึงเรียกร้องให้ ธ.
กลางอังกฤษรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในเดือนนี้ไว้ที่ร้อยละ 4.75 เช่นเดิม อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์
ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ธ.กลางอังกฤษจะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิมจนถึงสิ้นปีนี้ รวมทั้งมีการโต้
เถียงกันอย่างมากว่า ธ.กลางอังกฤษจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งหนึ่งในต้นปี 48 ก่อนที่จะปรับลดอัตรา
ดอกเบี้ยในครึ่งหลังของปีหน้า (รอยเตอร์)
3. ปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรปในปี 48 ลงอยู่ที่ร้อยละ
2.0 รายงานจากบรัสเซลล์ เมื่อ 26 ต.ค.47 The European Commission เปิดเผยว่า จากภาวะของ
ราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงในขณะนี้ส่งผลให้ต้องปรับลดประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจของเขตเศรษฐกิจยุโรป
ในปี 48 ลงอยู่ที่ร้อยละ 2.0 จากที่ประมาณการไว้เดิมที่ร้อยละ 2.3 รวมทั้งประมาณการเติบโตทางเศรษฐกิจ
สำหรับปี 49 อยู่ที่ร้อยละ 2.2 ภายใต้สมมติฐานว่าระดับราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะต้องเฉลี่ยอยู่ที่ 45.10 และ
40.10 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในปี 48 และ 49 ตามลำดับ โดยในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาราคาน้ำมันเฉลี่ยอยู่
ที่ 40.60 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรลในไตรมาสถัด
ไป ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีภาพในด้านบวก คือ การที่ The European Commission ปรับเพิ่มประมาณการเติบโต
ทางเศรษฐกิจปี 47 เป็นครั้งแรกในรอบ 2 ปีครึ่งอยู่ที่ร้อยละ 2.1 จากเดิมที่ระดับร้อยละ 1.7 รวมทั้งคาดว่า
จะมีการสร้างงานเพิ่ม 600,000 ตำแหน่งในปีนี้ นอกจากนี้ กรรมการบริหารของสหภาพยุโรปที่ทำหน้าที่กำหนด
งบประมาณของประเทศก็ได้กล่าวเตือนประเทศสมาชิก คือ เยอรมนี ฝรั่งเศส อิตาลี กรีซ และโปรตุเกสว่า
ควรจะจัดการงบประมาณขาดดุลของประเทศให้อยู่ในระดับใกล้เคียงหรือเหนือกว่าเป้าหมายที่สหภาพยุโรปกำหนด
ไว้ภายใต้นโยบายปัจจุบัน (รอยเตอร์)
4. OPEC คาดว่าอาจลดปริมาณการผลิตน้ำมันหากราคาน้ำมันตกต่ำ รายงานจากลอนดอน เมื่อวัน
ที่ 26 ต.ค. 47 หัวหน้าเศรษฐกรจากกลุ่มประเทศผู้ผลิตน้ำมันเพื่อการส่งออก — OPEC เชื่อว่าราคาน้ำมันจะลด
ลงจึงเตรียมที่จะลดปริมาณการผลิตน้ำมันหากเห็นว่าปริมาณสต็อกน้ำมันเพิ่มขึ้นเร็วมากเกินไป ทั้งนี้ราคาน้ำมันในปี
นี้พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดกว่าบาร์เรลละ 55 ดอลลาร์ สรอ. เนื่องจากอุปสงค์มากเกินกว่าอุปทานแม้ว่าทางกลุ่ม
OPEC จะผลิตน้ำมันเต็มประสิทธิภาพแล้วก็ตาม โดยในช่วงต้นปี OPEC ได้ลดกำลังการผลิตลงด้วยเกรงว่าปริมาณ
น้ำมันในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้จะมีจำนวนมากเกินไปในขณะที่ความต้องการจะลดลงเนื่องจากสิ้นสุดฤดูหนาวจึงส่ง
ผลให้ราคาน้ำมันในปัจจุบันพุ่งสูงขึ้นมากรวมทั้งความต้องการน้ำมันจากจีนที่เพิ่มขึ้นยิ่งส่งผลให้ราคาน้ำมันสูงขึ้นอีก
อย่างไรก็ตามกลุ่ม OPEC มิได้ตั้งใจที่จะปรับลดปริมาณการผลิตน้ำมันขณะที่ราคาน้ำมันสูงมาก แต่ขณะเดียวกันต้อง
ระมัดระวังระดับสต็อกน้ำมันเพี่อมิให้ราคาน้ำมันตกต่ำเร็วเกินไป ทั้งนี้ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยของ OPEC มีความ
เห็นว่าการที่ระดับราคาน้ำมันเพิ่มสูงกว่าบาร์เรลละ 50 ดอลลาร์ สรอ. ได้ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของ
เศรษฐกิจในปัจจุบัน แต่คาดว่าในระยะยาวแล้วประเทศต่างๆน่าจะรับมือกับวิกฤตนี้ได้ สำหรับในปีหน้านั้นกลุ่ม
OPEC วางแผนที่จะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตน้ำมันอีกประมาณ 1.5 ล้านบาร์เรลต่อวันทำให้มีปริมาณน้ำมันสำรอง
รวมวันละ 2.5 ล้านบาร์เรลต่อวันเพื่อพยายามรักษาระดับราคาน้ำมันมิให้สูงเกินไป (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 27 ต.ค. 47 26 ต.ค. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.03 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8513/41.1392 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.71875 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 648.38/ 26.11 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,250/8,350 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 37.84 38.7 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-