รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ระบุ สถานการณ์ภาคใต้ที่เกิดขึ้น สิ่งสำคัญที่รัฐต้องทำ 'เปิดเผยข้อเท็จจริง' แสดงถึงความตรงไปตรงมาและความโปร่งใสของภาครัฐ 'ย้ำ'ต้องไม่กระทบความมั่นคง
วันนี้ (27 ต.ค. 2547) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ถึงเหตุการณ์การก่อม็อบที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 80 กว่าคนว่า ตนเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลด ซึ่งรัฐบาลจะต้องทบทวนและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ปัญหาความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นจะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม ก็ได้สะท้อนออกมาจากเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมจนกระทั่งมีการสลายการชุมนุม และที่น่าเสียใจคือมีคนจำนวนมากเสียชีวิตในช่วงที่ถูกจับกุม เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้รัฐบาลคงนิ่งนอนใจไม่ได้ และการแสดงท่าทีของรัฐบาลก็ต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางความรู้สึกของประชาชน เพื่อที่จะมองไปข้างหน้าว่าจะช่วยทำให้สถานการณ์คลี่คลายและสงบลงได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือควรเปิดเผยข้อเท็จจริงเท่าที่เปิดเผยได้ เพื่อแสดงออกถึงความตรงไปตรงมาและความโปร่งใสของภาครัฐ และไม่กระทบกับปัญหาความมั่นคง เพราะคงมีคำถามและข้อสงสัยจากผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือต้องไม่ให้เหตุการณ์รุกรามบานปลาย เป็นประเด็นความขัดแย้งหรือเป็นประเด็นการเมือง เพราะฉะนั้นอยากให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯได้คิดถึงการที่จะให้ฝ่ายต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมกันแก้ปัญหา ซึ่งตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่โต้ตอบกันในทางสาธารณะ และบางทีคำพูดไม่ว่าจากฝ่ายไหนก็ตาม ถ้าหลุดออกไปไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความรู้สึก เพราะฉะนั้นข้อเสนอของตนคือ รัฐบาลน่าจะเปิดเวทีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จะเป็นการประชุมสภาฯ ประชุมลับ หรือจะเป็นการพบปะพูดคุย ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ฝ่ายค้านยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ถ้ารัฐบาลคิดว่าน่าจะมีข้อมูล หรือความเห็นที่แตกต่างไปจากที่ได้รับรายงานทั้งในช่วงที่ผ่านมาและในปัจจุบัน เพราะขณะนี้ความกังวลและความห่วงใยมีมาก ไม่แค่เฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหา แต่บรรยากาศของความหวาดระแวงและความหวาดกลัวได้ขยายตัวออกไป ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าว
‘เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลกับฝ่ายค้านต้องสร้างบรรยากาศของการหันหน้าเข้าหากันในการเดินไปข้างหน้า ต้องเปิดใจกว้างและยอมรับความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย จะบอกให้รัฐบาลเห็นด้วยกับความเห็นของฝ่ายค้านก็ไม่ได้ และในทางกลับกันจะบอกให้ฝ่ายค้านเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลก็คงไม่ได้ อย่างน้อยน่าจะมีการแลกเปลี่ยนกันในเวทีใดก็ตาม ที่จะให้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวางขึ้น การที่ท่านนายกฯจะพูดเพียงว่าผมรู้ทุกอย่างหมดแล้ว หรือมีข้อมูลหมดแล้ว ผมว่ามันไม่น่าจะใช่ ถ้ามันใช่เหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์มันคงไม่เกิดขึ้นและรุกรามอย่างนี้ ถึงเวลาที่จะยอมรับในการทบทวนที่จะรับฟังความหลากหลายทางความคิดบ้าง ซึ่งฝ่ายค้านยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ความร่วมมือ’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคใต้มาหลายครั้ง แต่ต้องพูดตรงๆว่ามีเป้าหมายในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ซึ่งวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการประชาสัมพันธ์แล้ว แต่เป็นเรื่องของการสร้างความมั่นใจและสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ปัญหาคือการมีส่วนร่วมได้นำมาสู่การปรับแนวทางในการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน ‘อย่าลืมว่ามีการมอบหมายคนของรัฐบาลลงไปหลายคนแล้ว อย่างเช่นมีการส่งท่านรองจาตุรนต์ลงไป ก็มีการให้ข้อเสนอมา แต่เรื่องก็เงียบหาย เพราะฉะนั้นถ้ากระบวนการทำในลักษณะที่เปิดโอกาสอย่างจริงจัง อธิบายกัน นายกฯควรใช้ประโยชน์จากตัวแทนประชาชนในการที่จะทำความเข้าใจ ก็น่าจะทำให้ง่ายขึ้น’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป.ป.ช.หยุดทำงาน ในช่วงที่ศาลฏีกาวินิจฉัยคดีการออกระเบียบขึ้นค่าตอบแทนให้กับตัวเอง ของ ป.ป.ช. ว่า คดีดังกล่าวศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เพราะข้อเท็จจริงไม่จำเป็นต้องสืบสวน เรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย และเจตนามากกว่า สำหรับการออกมาระบุว่า การหยุดปฏิบัติงานจะทำให้คดีขาดอายุความนั้น ตนคิดว่า จะต้องมาดูคดีที่จะขาดอายุความว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใด ซึ่งที่ผ่านมาการทำงานของป.ป.ช.ไม่มีการเร่งรัดดำเนินคดี แต่เมื่อเกิดปัญหากับพยายามหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเพื่อให้เกิดความคิดว่า ถ้าขาดป.ป.ช.ก็ไม่สามารถทำงานได้
รองหน.ปชป.กล่าวว่า ป.ป.ช. มีบทบาทสำคัญ แต่มาตรฐานและการรับการตรวจสอบก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน และ คิดว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นจริงจะสามารถดำเนินการในเชิงความร่วมมือได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำไม่ได้คือ ป.ป.ช.จะมาประชุม หรือ ลงมติ แต่คิดว่าระดับเจ้าหน้าที่สามารถที่จะดำเนินงานต่อได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
วันนี้ (27 ต.ค. 2547) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 เมกะเฮิร์ท ถึงเหตุการณ์การก่อม็อบที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยล่าสุดมีผู้เสียชีวิต 80 กว่าคนว่า ตนเห็นว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหตุการณ์ที่เศร้าสลด ซึ่งรัฐบาลจะต้องทบทวนและดำเนินการด้วยความระมัดระวัง และละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง ปัญหาความไม่เข้าใจที่เกิดขึ้นจะมีผู้อยู่เบื้องหลังหรือไม่ก็ตาม ก็ได้สะท้อนออกมาจากเหตุการณ์ที่มีการชุมนุมจนกระทั่งมีการสลายการชุมนุม และที่น่าเสียใจคือมีคนจำนวนมากเสียชีวิตในช่วงที่ถูกจับกุม เมื่อสถานการณ์มาถึงขั้นนี้รัฐบาลคงนิ่งนอนใจไม่ได้ และการแสดงท่าทีของรัฐบาลก็ต้องคำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางความรู้สึกของประชาชน เพื่อที่จะมองไปข้างหน้าว่าจะช่วยทำให้สถานการณ์คลี่คลายและสงบลงได้อย่างไร สิ่งสำคัญคือควรเปิดเผยข้อเท็จจริงเท่าที่เปิดเผยได้ เพื่อแสดงออกถึงความตรงไปตรงมาและความโปร่งใสของภาครัฐ และไม่กระทบกับปัญหาความมั่นคง เพราะคงมีคำถามและข้อสงสัยจากผู้ที่เกี่ยวข้องมากมาย
นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือต้องไม่ให้เหตุการณ์รุกรามบานปลาย เป็นประเด็นความขัดแย้งหรือเป็นประเด็นการเมือง เพราะฉะนั้นอยากให้รัฐบาลโดยเฉพาะนายกฯได้คิดถึงการที่จะให้ฝ่ายต่างๆเข้ามามีส่วนร่วมในการร่วมกันแก้ปัญหา ซึ่งตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นที่โต้ตอบกันในทางสาธารณะ และบางทีคำพูดไม่ว่าจากฝ่ายไหนก็ตาม ถ้าหลุดออกไปไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็อาจจะสร้างปัญหาในเรื่องความรู้สึก เพราะฉะนั้นข้อเสนอของตนคือ รัฐบาลน่าจะเปิดเวทีในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง จะเป็นการประชุมสภาฯ ประชุมลับ หรือจะเป็นการพบปะพูดคุย ก็น่าจะเป็นประโยชน์ ฝ่ายค้านยินดีที่จะให้ความร่วมมือ ถ้ารัฐบาลคิดว่าน่าจะมีข้อมูล หรือความเห็นที่แตกต่างไปจากที่ได้รับรายงานทั้งในช่วงที่ผ่านมาและในปัจจุบัน เพราะขณะนี้ความกังวลและความห่วงใยมีมาก ไม่แค่เฉพาะใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีปัญหา แต่บรรยากาศของความหวาดระแวงและความหวาดกลัวได้ขยายตัวออกไป ดังนั้นอาจมีความเป็นไปได้ที่จะมีผู้ฉวยโอกาสจากสถานการณ์ดังกล่าว
‘เพราะฉะนั้นวันนี้รัฐบาลกับฝ่ายค้านต้องสร้างบรรยากาศของการหันหน้าเข้าหากันในการเดินไปข้างหน้า ต้องเปิดใจกว้างและยอมรับความเห็นที่แตกต่างหลากหลาย จะบอกให้รัฐบาลเห็นด้วยกับความเห็นของฝ่ายค้านก็ไม่ได้ และในทางกลับกันจะบอกให้ฝ่ายค้านเห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลก็คงไม่ได้ อย่างน้อยน่าจะมีการแลกเปลี่ยนกันในเวทีใดก็ตาม ที่จะให้เกิดความเข้าใจที่กว้างขวางขึ้น การที่ท่านนายกฯจะพูดเพียงว่าผมรู้ทุกอย่างหมดแล้ว หรือมีข้อมูลหมดแล้ว ผมว่ามันไม่น่าจะใช่ ถ้ามันใช่เหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์มันคงไม่เกิดขึ้นและรุกรามอย่างนี้ ถึงเวลาที่จะยอมรับในการทบทวนที่จะรับฟังความหลากหลายทางความคิดบ้าง ซึ่งฝ่ายค้านยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ความร่วมมือ’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีลงพื้นที่ภาคใต้มาหลายครั้ง แต่ต้องพูดตรงๆว่ามีเป้าหมายในเรื่องของการประชาสัมพันธ์เป็นหลัก ซึ่งวันนี้ไม่ใช่เรื่องของการประชาสัมพันธ์แล้ว แต่เป็นเรื่องของการสร้างความมั่นใจและสร้างกระบวนการการมีส่วนร่วมของประชาชน แต่ปัญหาคือการมีส่วนร่วมได้นำมาสู่การปรับแนวทางในการแก้ปัญหามากน้อยแค่ไหน ‘อย่าลืมว่ามีการมอบหมายคนของรัฐบาลลงไปหลายคนแล้ว อย่างเช่นมีการส่งท่านรองจาตุรนต์ลงไป ก็มีการให้ข้อเสนอมา แต่เรื่องก็เงียบหาย เพราะฉะนั้นถ้ากระบวนการทำในลักษณะที่เปิดโอกาสอย่างจริงจัง อธิบายกัน นายกฯควรใช้ประโยชน์จากตัวแทนประชาชนในการที่จะทำความเข้าใจ ก็น่าจะทำให้ง่ายขึ้น’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายอภิสิทธิ์ ยังกล่าวถึงกรณีคณะกรรมการป.ป.ช.หยุดทำงาน ในช่วงที่ศาลฏีกาวินิจฉัยคดีการออกระเบียบขึ้นค่าตอบแทนให้กับตัวเอง ของ ป.ป.ช. ว่า คดีดังกล่าวศาลฎีกาไม่จำเป็นต้องใช้เวลานาน เพราะข้อเท็จจริงไม่จำเป็นต้องสืบสวน เรื่องทั้งหมดเกี่ยวข้องกับข้อกฎหมาย และเจตนามากกว่า สำหรับการออกมาระบุว่า การหยุดปฏิบัติงานจะทำให้คดีขาดอายุความนั้น ตนคิดว่า จะต้องมาดูคดีที่จะขาดอายุความว่ามีจำนวนมากน้อยเท่าใด ซึ่งที่ผ่านมาการทำงานของป.ป.ช.ไม่มีการเร่งรัดดำเนินคดี แต่เมื่อเกิดปัญหากับพยายามหยิบยกเรื่องดังกล่าวขึ้นมาเพื่อให้เกิดความคิดว่า ถ้าขาดป.ป.ช.ก็ไม่สามารถทำงานได้
รองหน.ปชป.กล่าวว่า ป.ป.ช. มีบทบาทสำคัญ แต่มาตรฐานและการรับการตรวจสอบก็เป็นเรื่องที่สำคัญเช่นเดียวกัน และ คิดว่าถ้าเกิดปัญหาขึ้นจริงจะสามารถดำเนินการในเชิงความร่วมมือได้ แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำไม่ได้คือ ป.ป.ช.จะมาประชุม หรือ ลงมติ แต่คิดว่าระดับเจ้าหน้าที่สามารถที่จะดำเนินงานต่อได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 27 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-