จากกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หัวหน้าพรรคไทยรักไทย กล่าวพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ในงานสัมมนาระดมสมองสร้างพลัง พร้อม เลือกตั้งปี 2548 ของพรรค ทรท. วานนี้
นางองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรค ยังกล่าวด้วยว่า กรณีนายกฯแช่งพวกที่ซื้อเสียง เป็นที่น่าตกใจว่า ทำไมนายกฯแช่งตนเองและคณะ เพราะปัจจุบัน การซื้อเสียงได้เปลี่ยนไปพอสมควรแล้ว เช่นการซื้อเสียงล่วงหน้าโดยใช้งบหลวง การเอางบหลวงไปตกเขียว ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการซื้อเสียงล่วงหน้าต่อการเลือกตั้ง และยังจะทำเพิ่มเติมหลังการเลือกตั้ง นายองอาจเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อเสียงทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการซื้อเสียงแบบใหม่
“กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่จะสร้างความมั่นใจว่าสิ่งที่นายกแช่งพวกซื้อเสียง จะไม่เกิดขึ้น เพราหลายครั้งหลายหน ของนายกฯสามารถพิสูจน์ได้ ว่าคำพูดของท่านเชื่อถือไม่ได้ และเข้าข่ายลักษณะ พูดอยางทำอย่างอยู่ตลอด
อย่างไรก็ดี หากท่านนายกฯไม่พอใจเรื่องของการซื้อเสียงจริงก็ขอให้ เตือนบอกลูกพรรคผู้สมัครของท่าน มากกว่าที่จะไปบอกพรรคการเมืองอื่น เพราะขณะนี้คงไม่มีพรรคการเมืองไหน มีทุนทรัพย์มากมายมหาศาล ที่จะไปใช้อย่างไม่ถูกต้องได้เท่ากับของพรรคไทยรักไทย” นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ที่เห็นชัดเจน คือกรณีที่ท่านนายกฯได้ออกมายอมรับเองว่า ของในซองสีน้ำตาลที่ตกเป็นข่าวนั้นเป็นเงินที่ทางพรรคนำมาให้ ส.ส. เพื่อใช้ในการจ้างคนแจกใบปลิวจริง แต่เห็นได้ว่า ก่อนหน้านั้พรรคไทยรักไทยออกมาแก้ตัวว่าเป็น วีซีดีเรื่องโค นั้นนายองอาจ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยคงนึกว่าจะเชื่อในสิ่งที่ออกมาแก้ตัว และพรรคไทยรักไทยคงออกไปสำรวจแล้วว่าคงไม่มีใครเชื่อสิ่งเหล่านั้น เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ท่านนายกฯต้องออกมายอมรับความจริง ว่าให้เงินไปจริงแต่ว่าให้เพื่อที่จะไปจ้างคนมาแจกใบปลิว
“ขอฝากไปยังพรรคไทยรักไทยว่า ก่อนจะแก้ตัวอะไรนั้น โดยเฉพาะแก้ตัวว่าของในซองกระดาษสีน้ำตาลไม่ใช่เงินนั้น แต่เป็น วีซีดี เกี่ยวกับเรื่องโคล้านตัวนั้น พรรคไทยรักไทบต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า ประชาชนไม่ใช่โค ไม่ใช่กระบือ ที่จะยอมให้พรรคไทยรักไทยมาบอกอะไรแล้วก็ต้องเชื่อตามนั้น ประชาชนสามารถคิด และพิจารณาได้ว่าสิ่งที่ชี้แจงนั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่” นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ นางองอาจยังเรียกร้องให้คณะกรรมาการเลือกตั้ง หรือ กกต.ออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวด้วย และยังเห็นว่า กกต. ควรจะเคร่งครัดในเรื่องของการใช้เงินเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ในการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะเห็นได้ว่าส่วนนี้คือหัวใจหน้าที่ที่สำคัญสิ่งหนึ่งของการจัดตั้งองค์กร ที่เรียกว่า กกต.ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการเลือกตั้งโดยเฉพาะ
นอกจากนี้นายองอาจยังเห็นว่า การสัมมนาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยวานนี้ (30 ต.ค.) หัวหน้าพรรคไทยรักไทย มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เขต 299 เสียง เมื่อบวกกับปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งใน 299 เขต จำนวน ส.ส.พรรคไทยในการเลือกตั้งจะใกล้เคียง 400 เสียง ชี้ให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทยยังคงยึดยุทธศาสตร์ เป้าหมายรัฐบาล 400 เสียง อย่างเหนียวแน่น
“ยุทธศาสตร์นี้ เป็นยุทธศาสตร์ที่อันตราย ต่อการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ยุทธศาสตร์การตรวจสอบอำนาจรัฐ หรือการตรวจสอบรัฐบาล ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบได้ และจะเข้าระบบเดิมคือเสียงข้างมากลากไปในสภา จนกลไลการทำงานของสภา จะไม่สามารถสำฤทธิ์ผลได้”นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่ากรณีที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจัดกิจกรรมออกรางวัลสัญจร ไปตามเขตเลือกตั้งต่างๆในกรุงเทพฯ แล้วมีส.ส.พรรคไทยรักไทยเข้าร่วมเป็นกรรมการออกสลากและถ่ายทอดทางโทรทัศน์ทั่วประเทศนั้นถือได้ว่าเป็นการการเอารัดเอาเปรียบทางการมือง หรือไม่ นั้นอยากจะให้ประชาชนร่วมตั้งข้อสังเกตด้วย
ส่วนกรณีที่ พรรคไทยรักไทย จะทำให้พรรคไทยรักไทยได้ 28 ที่นั่งในเขตกรุงเทพฯ และจะเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ พรรคไทยรักไทยคาดหวังได้ แต่หากพรรคไทยรักไทยยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน กรุงเทพฯ ว่าสถานการณ์ความนิยมพรรคไทยรักไทยในกรุงเทพเปลี่ยนไป มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 44 อย่างมาก นั้นคือกระแสความนิยมที่ลดลง สังเกตจากการที่หากกระแสความนิยมไม่ลดลง พรรคไทยรักไทยคงไม่เปลี่ยนตัวผู้สมัครส.ส. ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นถึงอดีต ส.ส. และเชื่อมั่นว่า ใกล้วันเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ก็คงจะเปลี่ยนตัวผู้สมัครอีกเรื่อยๆ
ด้วยกันนี้นายองอาจ กล่าว่า อยากจะฝากถามพรรคไทยรักไทยว่าหากกระแสนิยมพรรคไทยรักไทยยังมีอยู่ พรรคไทยรักไทยจะเปลี่ยนตัวผู้สมัครทำไม
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตน หัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวพาดพิง ถึงพรรคประชาธิปัตย์ในงานสัมมนา เดียวกันนี้ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ชอบเล่นเกมด่า ไม่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเป็นสาเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านนาน 4 ปี
“ ถ้าเป็นคำพูดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ของนายกฯอาจจะมีน้ำหนัก แต่ว่าขณะนี้มั่นใจว่า คำพูดของนายกฯไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป และก็ไม่ทำให้ทางพรรคประชาธิปัตย์ย่อท้อในการตรวจสอบรัฐบาลต่อไป” รองโฆษก ปชป.กล่าว
นายสาธิต ชี้แจงถึงเหตุผลที่กล่าวว่าคำพูดนายกฯไม่มีน้ำหนักนั้น คือ 1. นายกฯพูดอย่างแต่ทำ อีกอย่างหนึ่ง เช่นกรณี พรรคไทยรักไทยไม่ซื้อเสียง ไม่ดูดส.ส. แต่จากข่าวที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยแจกเงิน ส.ส.พรรคในการประชุมเกิน 2 ล้านบาท เป็นจำนวนที่เกินจากที่ กฎหมายเลือกตั้งกำหนด เพราะจากการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กฎหมายกำหนด ไว้ไม่เกิน คนละ 1 ล้านบาท และอีกตัวอย่างหนึ่งคือทุกพื้นที่ ที่มีส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้มีการจัดนำเที่ยวและให้เงินเป็น Pocket money ด้วย
นอกจากนี้รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องให้ กกต. เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย และยังกล่าวว่าถ้า กกต.ต้องการข้อมูล คนก็พร้อมจะนำไปยื่นให้เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย
ประเด็นต่อไปคือการที่นายกฯกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ชอบด่า นายสาธิต กล่าวว่า นายกฯ ก็ด่า ผู้อื่นทุกวัน ทุกเวที เช่นกัน เห็นได้จากกรณีเปิดเวทีประกาศนโยบาย ที่ใช้เวทีด่าพรรคการเมืองอื่นด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่ 2 คือ ประชาชนเริ่มที่รู้และเข้าใจในระบบการบริหารงานของนายกฯทักษิณ มากขึ้นทุกวัน จากสิ่งที่รัฐบาลบริหารผ่านนโยบายต่างๆ ประชาชนสามารถรู้ได้ว่า ให้คุณให้โทษอย่างไร เช่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงมากขั้น และทำให้ประชาชนเข้าใจถ่องแท้ว่านโยบายรัฐบาลนั้นไม่ให้ประโยชน์เลย
จากรกรณีนี้นายสาธิต เห็นว่าจากเหตุผลนี้ทำให้พรรคไทยรักไทยต้องดับกระแสขาลงด้วยการให้ตัวบุคคลเป็นหลักในการหาเสียงมากกว่าใช้พรรคดึงคะแนนเสียงจากประชาชน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นางองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรค ยังกล่าวด้วยว่า กรณีนายกฯแช่งพวกที่ซื้อเสียง เป็นที่น่าตกใจว่า ทำไมนายกฯแช่งตนเองและคณะ เพราะปัจจุบัน การซื้อเสียงได้เปลี่ยนไปพอสมควรแล้ว เช่นการซื้อเสียงล่วงหน้าโดยใช้งบหลวง การเอางบหลวงไปตกเขียว ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการซื้อเสียงล่วงหน้าต่อการเลือกตั้ง และยังจะทำเพิ่มเติมหลังการเลือกตั้ง นายองอาจเห็นว่าล้วนแล้วแต่เป็นการซื้อเสียงทั้งสิ้น ถือได้ว่าเป็นรูปแบบการซื้อเสียงแบบใหม่
“กล่าวได้ว่าไม่มีอะไรที่จะสร้างความมั่นใจว่าสิ่งที่นายกแช่งพวกซื้อเสียง จะไม่เกิดขึ้น เพราหลายครั้งหลายหน ของนายกฯสามารถพิสูจน์ได้ ว่าคำพูดของท่านเชื่อถือไม่ได้ และเข้าข่ายลักษณะ พูดอยางทำอย่างอยู่ตลอด
อย่างไรก็ดี หากท่านนายกฯไม่พอใจเรื่องของการซื้อเสียงจริงก็ขอให้ เตือนบอกลูกพรรคผู้สมัครของท่าน มากกว่าที่จะไปบอกพรรคการเมืองอื่น เพราะขณะนี้คงไม่มีพรรคการเมืองไหน มีทุนทรัพย์มากมายมหาศาล ที่จะไปใช้อย่างไม่ถูกต้องได้เท่ากับของพรรคไทยรักไทย” นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ที่เห็นชัดเจน คือกรณีที่ท่านนายกฯได้ออกมายอมรับเองว่า ของในซองสีน้ำตาลที่ตกเป็นข่าวนั้นเป็นเงินที่ทางพรรคนำมาให้ ส.ส. เพื่อใช้ในการจ้างคนแจกใบปลิวจริง แต่เห็นได้ว่า ก่อนหน้านั้พรรคไทยรักไทยออกมาแก้ตัวว่าเป็น วีซีดีเรื่องโค นั้นนายองอาจ กล่าวว่า พรรคไทยรักไทยคงนึกว่าจะเชื่อในสิ่งที่ออกมาแก้ตัว และพรรคไทยรักไทยคงออกไปสำรวจแล้วว่าคงไม่มีใครเชื่อสิ่งเหล่านั้น เมื่อวานนี้ (30 ต.ค.) ท่านนายกฯต้องออกมายอมรับความจริง ว่าให้เงินไปจริงแต่ว่าให้เพื่อที่จะไปจ้างคนมาแจกใบปลิว
“ขอฝากไปยังพรรคไทยรักไทยว่า ก่อนจะแก้ตัวอะไรนั้น โดยเฉพาะแก้ตัวว่าของในซองกระดาษสีน้ำตาลไม่ใช่เงินนั้น แต่เป็น วีซีดี เกี่ยวกับเรื่องโคล้านตัวนั้น พรรคไทยรักไทบต้องพึงระลึกอยู่เสมอว่า ประชาชนไม่ใช่โค ไม่ใช่กระบือ ที่จะยอมให้พรรคไทยรักไทยมาบอกอะไรแล้วก็ต้องเชื่อตามนั้น ประชาชนสามารถคิด และพิจารณาได้ว่าสิ่งที่ชี้แจงนั้นเป็นสิ่งที่น่าเชื่อถือหรือไม่” นายองอาจกล่าว
นอกจากนี้ นางองอาจยังเรียกร้องให้คณะกรรมาการเลือกตั้ง หรือ กกต.ออกมาตรวจสอบข้อเท็จจริงเรื่องดังกล่าวด้วย และยังเห็นว่า กกต. ควรจะเคร่งครัดในเรื่องของการใช้เงินเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ในการหาเสียงเลือกตั้ง เพราะเห็นได้ว่าส่วนนี้คือหัวใจหน้าที่ที่สำคัญสิ่งหนึ่งของการจัดตั้งองค์กร ที่เรียกว่า กกต.ขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อการเลือกตั้งโดยเฉพาะ
นอกจากนี้นายองอาจยังเห็นว่า การสัมมนาผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคไทยรักไทยวานนี้ (30 ต.ค.) หัวหน้าพรรคไทยรักไทย มั่นใจว่าจะได้ ส.ส.เขต 299 เสียง เมื่อบวกกับปาร์ตี้ลิสต์จำนวนหนึ่งใน 299 เขต จำนวน ส.ส.พรรคไทยในการเลือกตั้งจะใกล้เคียง 400 เสียง ชี้ให้เห็นว่าพรรคไทยรักไทยยังคงยึดยุทธศาสตร์ เป้าหมายรัฐบาล 400 เสียง อย่างเหนียวแน่น
“ยุทธศาสตร์นี้ เป็นยุทธศาสตร์ที่อันตราย ต่อการเมืองไทยเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ยุทธศาสตร์การตรวจสอบอำนาจรัฐ หรือการตรวจสอบรัฐบาล ง่อยเปลี้ยเสียขา ไม่สามารถดำเนินการตรวจสอบได้ และจะเข้าระบบเดิมคือเสียงข้างมากลากไปในสภา จนกลไลการทำงานของสภา จะไม่สามารถสำฤทธิ์ผลได้”นายองอาจ กล่าว
นายองอาจ กล่าวว่ากรณีที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลจัดกิจกรรมออกรางวัลสัญจร ไปตามเขตเลือกตั้งต่างๆในกรุงเทพฯ แล้วมีส.ส.พรรคไทยรักไทยเข้าร่วมเป็นกรรมการออกสลากและถ่ายทอดทางโทรทัศน์ทั่วประเทศนั้นถือได้ว่าเป็นการการเอารัดเอาเปรียบทางการมือง หรือไม่ นั้นอยากจะให้ประชาชนร่วมตั้งข้อสังเกตด้วย
ส่วนกรณีที่ พรรคไทยรักไทย จะทำให้พรรคไทยรักไทยได้ 28 ที่นั่งในเขตกรุงเทพฯ และจะเพิ่มมากขึ้นนั้น เป็นสิ่งที่ พรรคไทยรักไทยคาดหวังได้ แต่หากพรรคไทยรักไทยยอมรับความเป็นจริงที่เกิดขึ้นใน กรุงเทพฯ ว่าสถานการณ์ความนิยมพรรคไทยรักไทยในกรุงเทพเปลี่ยนไป มากกว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 44 อย่างมาก นั้นคือกระแสความนิยมที่ลดลง สังเกตจากการที่หากกระแสความนิยมไม่ลดลง พรรคไทยรักไทยคงไม่เปลี่ยนตัวผู้สมัครส.ส. ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นถึงอดีต ส.ส. และเชื่อมั่นว่า ใกล้วันเลือกตั้งพรรคไทยรักไทย ก็คงจะเปลี่ยนตัวผู้สมัครอีกเรื่อยๆ
ด้วยกันนี้นายองอาจ กล่าว่า อยากจะฝากถามพรรคไทยรักไทยว่าหากกระแสนิยมพรรคไทยรักไทยยังมีอยู่ พรรคไทยรักไทยจะเปลี่ยนตัวผู้สมัครทำไม
นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตน หัวหน้าพรรคไทยรักไทยกล่าวพาดพิง ถึงพรรคประชาธิปัตย์ในงานสัมมนา เดียวกันนี้ ว่าพรรคประชาธิปัตย์ ชอบเล่นเกมด่า ไม่ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง และเป็นสาเหตุให้พรรคประชาธิปัตย์ เป็นฝ่ายค้านนาน 4 ปี
“ ถ้าเป็นคำพูดเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ของนายกฯอาจจะมีน้ำหนัก แต่ว่าขณะนี้มั่นใจว่า คำพูดของนายกฯไม่มีน้ำหนักอีกต่อไป และก็ไม่ทำให้ทางพรรคประชาธิปัตย์ย่อท้อในการตรวจสอบรัฐบาลต่อไป” รองโฆษก ปชป.กล่าว
นายสาธิต ชี้แจงถึงเหตุผลที่กล่าวว่าคำพูดนายกฯไม่มีน้ำหนักนั้น คือ 1. นายกฯพูดอย่างแต่ทำ อีกอย่างหนึ่ง เช่นกรณี พรรคไทยรักไทยไม่ซื้อเสียง ไม่ดูดส.ส. แต่จากข่าวที่ปรากฏพรรคไทยรักไทยแจกเงิน ส.ส.พรรคในการประชุมเกิน 2 ล้านบาท เป็นจำนวนที่เกินจากที่ กฎหมายเลือกตั้งกำหนด เพราะจากการเลือกตั้งแต่ละครั้ง กฎหมายกำหนด ไว้ไม่เกิน คนละ 1 ล้านบาท และอีกตัวอย่างหนึ่งคือทุกพื้นที่ ที่มีส.ส.พรรคไทยรักไทย ได้มีการจัดนำเที่ยวและให้เงินเป็น Pocket money ด้วย
นอกจากนี้รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ยังเรียกร้องให้ กกต. เข้าตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย และยังกล่าวว่าถ้า กกต.ต้องการข้อมูล คนก็พร้อมจะนำไปยื่นให้เพื่อใช้ประกอบการตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวด้วย
ประเด็นต่อไปคือการที่นายกฯกล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ชอบด่า นายสาธิต กล่าวว่า นายกฯ ก็ด่า ผู้อื่นทุกวัน ทุกเวที เช่นกัน เห็นได้จากกรณีเปิดเวทีประกาศนโยบาย ที่ใช้เวทีด่าพรรคการเมืองอื่นด้วยเช่นกัน
เหตุผลที่ 2 คือ ประชาชนเริ่มที่รู้และเข้าใจในระบบการบริหารงานของนายกฯทักษิณ มากขึ้นทุกวัน จากสิ่งที่รัฐบาลบริหารผ่านนโยบายต่างๆ ประชาชนสามารถรู้ได้ว่า ให้คุณให้โทษอย่างไร เช่น ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคแพงมากขั้น และทำให้ประชาชนเข้าใจถ่องแท้ว่านโยบายรัฐบาลนั้นไม่ให้ประโยชน์เลย
จากรกรณีนี้นายสาธิต เห็นว่าจากเหตุผลนี้ทำให้พรรคไทยรักไทยต้องดับกระแสขาลงด้วยการให้ตัวบุคคลเป็นหลักในการหาเสียงมากกว่าใช้พรรคดึงคะแนนเสียงจากประชาชน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 31 ต.ค. 2547--จบ--
-ดท-