ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทย รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้จัดทำบทความ “ผลกระทบของราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจไทย” ซึ่งได้ประเมินผล
กระทบราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น ภายใต้ข้อสมมติฐานราคาน้ำมันเบนซินลอยตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 47 และราคา
น้ำมันดีเซลลอยตัวเดือน เม.ย.48 พบว่ามีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณร้อยละ 0.3
และมีผลต่อการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 48 แต่ยังอยู่ในช่วงเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี
ขณะที่ผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 48 หากราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 40-50 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล
และราคาขายปลีกในประเทศลอยตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจสูงถึงร้อยละ 4.0-5.0 ด้านผลกระทบต่อดุลบัญชี
เดินสะพัดในปี 47 ยังเกินดุลประมาณ 4,000-6,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ในปี 48 จะเกินดุลลดลง
ประมาณ 1,000-2,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวด้านการนำเข้า (เดลินิวส์,
แนวหน้า, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคไทยในเดือน ต.ค.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนเมื่อเทียบต่อเดือนแต่
เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบต่อปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือน ต.ค.47
มีค่าเท่ากับ 110.1 ไม่เปลี่ยนแปลงแปลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5
ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.47) อยู่ที่ระดับ 108.8 เพิ่มขั้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
2.6 ซึ่งในเดือน ต.ค.นี้เป็นเดือนแรกในรอบ 12 เดือนที่อัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเริ่มมีทิศทางชะลอ
ตัวลงคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ต.ค.ไม่เปลี่ยน
แปลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนนั้น เนื่องจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.4 ส่วนดัชนีสินค้าหมวด
อื่น ๆ ที่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้น 5 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่า
ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 หรือคิดเป็น 2.83 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.05 (สยามรัฐ,
บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 48 ขยายตัวร้อยละ 15 รมช.ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ก.พาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 48 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 15 มีมูลค่า
ประมาณ 110,466 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 20 มูลค่า 96,058 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. โดยคาดว่าดุลการค้าปี 48 จะกลับมาเกินดุลได้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ สรอ.
จากในปีนี้ที่คาดว่าจะเกินดุลเพียง 2,000 ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.47)
ไทยส่งออกได้ 71,418 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 และเกินดุลการค้าเพียง 976 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. (ไทยรัฐ)
4. ดัชนีอุตสาหกรรมในเดือน ก.ย.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 ดัชนี ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม กล่าวว่า ดัชนีอุตสาหกรรมในเดือน ก.ย.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีผลผลิต
(มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ระดับ 130.29 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.94 ดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต) อยู่ที่ระดับ
136.46 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.55 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ 137.11 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.13 อัตราการใช้กำลังการ
ผลิตอยู่ที่ 61.84 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.82 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 168.16 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.88 ดัชนี
อัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 161.72 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.18 ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่
104.23 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.72 และดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรมอยู่ที่ 144.13 ลดลงร้อยละ 3.98 ทั้งนี้
สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตเครื่องเพชร พลอย และรูปพรรณ และการผลิต
เบียร์ที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการวางแผนการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับเทศกาลต่าง ๆ ในช่วงปลายปี
และสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ทุกปีเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวจะนิยมบริโภคเครื่องดื่มเบียร์มากขึ้น ส่งผล
ให้ระดับสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (บ้านเมือง, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของโลกในเดือนต.ค. ชะลอตัว รายงาน
จากลอนดอน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 47 JP Morgan ร่วมกับองค์กรเอกชนอื่นๆจัดทำเครื่องชี้ภาวะอุตสาหกรรมการ
ผลิตของโลก — PMI โดยการสำรวจภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศต่างๆรวม 20 ประเทศรวมทั้ง
สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ โดย PMI ของโลกในเดือนต.ค. ลดลงอยู่ในระดับ 53.9
จากระดับ 55.0 เมื่อเดือนก.ย. และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันส่ง
ผลให้ PMI ของโลกชะลอตัวและยังคงไม่แข็งแกร่ง โดยดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสรอ.ในเดือนต.ค.
ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.8 จากระดับ 58.50 น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ในระดับ 59.0 และเป็นระดับต่ำสุดนับ
ตั้งแต่เดือนก.ย. 46 ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกือบถึงระดับที่เคยสูงสุดเมื่อเดือนพ.ค. ส่งผลต่อกำไรและการ
จ้างงาน โดยดัชนีการจ้างงานของโลกในเดือนต.ค. ลดลงอยู่ที่ระดับ 51.0 จากระดับ 52.4 ในเดือนก.ย.
ขณะที่ input price index เพิ่มสูงขึ้นที่ระดับ 75.3 จากระดับ 71.7 เมื่อเดือนก่อนแต่ต่ำกว่าเมื่อเดือนพ.
ค. ที่สูงขั้นอย่างมากและเป็นสถิติสูงที่สุดในสรอ. และเดนมาร์ก ขณะที่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 54.9 จากระดับ 55.5 ในเดือนก.ย. ส่วน 0utput index ชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 55.7
จากระดับ 57.0 เมื่อเดือนก.ย. ต่ำที่สุดในรอบปี (รอยเตอร์)
2.ค่าแรงในญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 0.3 ในเดือน ก.ย.47 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 1 พ.ย.47 รายได้จากเงินเดือนและค่าแรงของชาวญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.47 ซึ่งรวมค่าล่วงเวลาและโบนัส
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 275,373 เยน หรือประมาณ 2,603 ดอลลาร์ สรอ.ต่อเดือน ลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับ
เดือนเดียวกันปีก่อน แม้ว่าค่าล่วงเวลาโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ก็ตาม ในขณะที่ค่าแรงที่ไม่รวมค่าล่วงเวลา
ลดลงติดต่อกันทุกเดือนในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา ผลจากการที่นายจ้างหันมาจ้างแรงงานแบบ part-time แทน
การจ้างแรงงานแบบเต็มเวลาเพราะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและโบนัส โดยทุก
1 ใน 4 ของคนงานในปัจจุบันเป็นการจ้างงานแบบ part-time และมีจำนวนคนทำงานแบบ part-time เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.3 ในเดือน ก.ย.47 เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตามอัตราที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวชะลอตัวจากช่วงปลายปี
ก่อนและต้นปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 ถึง 8 ต่อปี ในขณะที่จำนวนคนทำงานแบบเต็มเวลาลดลงร้อยละ
0.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนทำให้นายจ้างสามารถลดการจ้างแรง
งานลง ค่าแรงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องดังกล่าวมีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและมีส่วนช่วยให้ราคา
สินค้าไม่สูงขึ้นมากนัก โดย ธ.กลางญี่ปุ่นคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในปีงบประมาณหน้าซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย.48
จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ซึ่งช่วยให้ ธ.กลางญี่ปุ่นสามารถใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยคงอัตราดอกเบี้ย
ใกล้ระดับร้อยละ 0 ต่อไปจนกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานจะสูงกว่าร้อยละ 0 อย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
3. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์เดือน ก.ย.47 ลดลงเหลือร้อยละ 3.4 ต่ำสุดในรอบ 3
ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.47 อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.47
ลดลงเหลือร้อยละ 3.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี และต่ำกว่าที่รอยเตอร์โพลล์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ
ร้อยละ 4.3 เนื่องจากมีการจ้างงานใหม่กว่า 16,600 ตำแหน่ง ในภาคการบริการ เช่น โรงแรม ร้าน
อาหาร กิจการค้าปลีก และการเงิน โดยอัตราการว่างงานเริ่มทรงตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 ตั้งแต่สิ้นเดือน
ธ.ค. เมื่อลดลงจากระดับร้อยละ 5.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานที่ปรับแล้ว
ตามฤดูกาลเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเติบโตทาง
เศรษฐกิจในช่วง 4 ไตรมาส ที่ขยายตัวสูงเป็นตัวเลขสองหลักนับตั้งแต่เดือน ก.ค.46 หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว
เมื่อสิ้นสุดการระบาดของไวรัส SARS อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายกล่าวว่าการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่ม
มากขึ้นอีกครั้งในปี 48 เนื่องจากการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาส 3 เริ่มลดลง ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนให้
ความเห็นว่าอัตราการว่างงานของสิงคโปร์จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 4 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (รอยเตอร์)
4. เดือน ต.ค.47 การขยายตัวของการส่งออกของเกาหลีใต้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเป็น
อัตราที่ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน รายงานจากโซลเมื่อ 1 พ.ย.47 ทางการเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เดือน ต.ค.47
การส่งออกของเกาหลีใต้ขยายตัวสูงเกินความคาดหมายที่ระดับร้อยละ 20.9 จากที่คาดหมายไว้เดิมร้อย
ละ 17.6 และแม้จะเป็นการขยายตัวในอัตราเร่งที่เกินกว่าการคาดหมาย แต่อัตราการเติบโตกลับต่ำสุดในรอบ
11 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.46 ที่เติบโตร้อยละ 20.0 สาเหตุจากความต้องการจากต่างประเทศชะลอตัวลง
โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยรายงานเงินเฟ้อซึ่งบ่งชี้ว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภค
บริโภคเพิ่มขึ้น และกระทบต่อการใช้จ่ายภายในประเทศที่เกาหลีใต้กำลังพยายามกระตุ้นให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อทด
แทนการส่งออกที่ชะลอตัวลง สำหรับแนวโน้มการส่งออกของเกาหลีใต้มีทิศทางที่ไม่สดใสนักนับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของการส่งออกรวมของเกาหลีใต้ ปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของจีนในครั้งนี้อาจส่งผลให้
ความต้องการสินค้าจากจีนลดลง นอกจากนี้ การที่เงินวอนแข็งค่าขึ้นเกือบร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
สรอ.ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเช่นกัน
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 พ.ย. 47 1 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.071 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8684/41.1605 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.75 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 626.96/ 9.11 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,300/8,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.99 38.88 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นส่งผลต่ออัตราเงินเฟ้อไทย รายงานจากธนาคารแห่งประเทศไทย
(ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.ได้จัดทำบทความ “ผลกระทบของราคาน้ำมันต่อเศรษฐกิจไทย” ซึ่งได้ประเมินผล
กระทบราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น ภายใต้ข้อสมมติฐานราคาน้ำมันเบนซินลอยตัวตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 47 และราคา
น้ำมันดีเซลลอยตัวเดือน เม.ย.48 พบว่ามีผลกระทบต่ออัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจโดยรวมประมาณร้อยละ 0.3
และมีผลต่อการเร่งตัวของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในปี 48 แต่ยังอยู่ในช่วงเป้าหมายที่ร้อยละ 0-3.5 ต่อปี
ขณะที่ผลต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปในปี 48 หากราคาน้ำมันดิบดูไบเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 40-50 ดอลลาร์ สรอ.ต่อบาร์เรล
และราคาขายปลีกในประเทศลอยตัว อัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจสูงถึงร้อยละ 4.0-5.0 ด้านผลกระทบต่อดุลบัญชี
เดินสะพัดในปี 47 ยังเกินดุลประมาณ 4,000-6,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. แต่ในปี 48 จะเกินดุลลดลง
ประมาณ 1,000-2,000 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขึ้นอยู่กับความสามารถในการปรับตัวด้านการนำเข้า (เดลินิวส์,
แนวหน้า, กรุงเทพธุรกิจ)
2. ดัชนีราคาผู้บริโภคไทยในเดือน ต.ค.47 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนเมื่อเทียบต่อเดือนแต่
เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5 เมื่อเทียบต่อปี ปลัด ก.พาณิชย์ เปิดเผยถึงดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป (เงินเฟ้อ) เดือน ต.ค.47
มีค่าเท่ากับ 110.1 ไม่เปลี่ยนแปลงแปลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อน แต่เมื่อเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.5
ส่วนเงินเฟ้อเฉลี่ย 10 เดือน (ม.ค.-ต.ค.47) อยู่ที่ระดับ 108.8 เพิ่มขั้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ
2.6 ซึ่งในเดือน ต.ค.นี้เป็นเดือนแรกในรอบ 12 เดือนที่อัตราเงินเฟ้อไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้น และเริ่มมีทิศทางชะลอ
ตัวลงคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในปีนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 2.8 สำหรับปัจจัยที่ทำให้เงินเฟ้อเดือน ต.ค.ไม่เปลี่ยน
แปลงเมื่อเทียบกับเดือนก่อนนั้น เนื่องจากดัชนีหมวดอาหารและเครื่องดื่มลดลงร้อยละ 0.4 ส่วนดัชนีสินค้าหมวด
อื่น ๆ ที่ไม่รวมอาหารและเครื่องดื่มสูงขึ้นร้อยละ 0.3 ซึ่งค่าเอฟทีที่ปรับเพิ่มขึ้น 5 สตางค์ต่อหน่วย ทำให้ค่า
ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.8 หรือคิดเป็น 2.83 บาทต่อหน่วย ส่งผลให้เงินเฟ้อสูงขึ้นร้อยละ 0.05 (สยามรัฐ,
บ้านเมือง, ไทยรัฐ, โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ)
3. ก.พาณิชย์กำหนดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 48 ขยายตัวร้อยละ 15 รมช.ก.พาณิชย์
เปิดเผยว่า ก.พาณิชย์ได้กำหนดเป้าหมายการส่งออกสินค้าไทยในปี 48 ว่าจะขยายตัวร้อยละ 15 มีมูลค่า
ประมาณ 110,466 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 20 มูลค่า 96,058 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. โดยคาดว่าดุลการค้าปี 48 จะกลับมาเกินดุลได้ประมาณ 4,000-5,000 ล้านดอลลาร์ สรอ.
จากในปีนี้ที่คาดว่าจะเกินดุลเพียง 2,000 ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (ม.ค.-ก.ย.47)
ไทยส่งออกได้ 71,418 ล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.8 และเกินดุลการค้าเพียง 976 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. (ไทยรัฐ)
4. ดัชนีอุตสาหกรรมในเดือน ก.ย.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 ดัชนี ผอ.สำนักงานเศรษฐกิจ
อุตสาหกรรม กล่าวว่า ดัชนีอุตสาหกรรมในเดือน ก.ย.47 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 7 ดัชนี ได้แก่ ดัชนีผลผลิต
(มูลค่าเพิ่ม) อยู่ที่ระดับ 130.29 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 2.94 ดัชนีผลผลิต (มูลค่าผลผลิต) อยู่ที่ระดับ
136.46 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.55 ดัชนีการส่งสินค้าอยู่ที่ 137.11 เพิ่มขึ้นร้อยละ 6.13 อัตราการใช้กำลังการ
ผลิตอยู่ที่ 61.84 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.82 ดัชนีสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 168.16 เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.88 ดัชนี
อัตราส่วนสินค้าสำเร็จรูปคงคลังอยู่ที่ 161.72 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.18 ดัชนีแรงงานในภาคอุตสาหกรรมอยู่ที่
104.23 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.72 และดัชนีผลิตภาพแรงงานอุตสาหกรรมอยู่ที่ 144.13 ลดลงร้อยละ 3.98 ทั้งนี้
สาเหตุหลักที่ทำให้ดัชนีอุตสาหกรรมปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ การผลิตเครื่องเพชร พลอย และรูปพรรณ และการผลิต
เบียร์ที่สูงขึ้น เนื่องจากผู้ประกอบการมีการวางแผนการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับเทศกาลต่าง ๆ ในช่วงปลายปี
และสนองตอบความต้องการของผู้บริโภคที่ทุกปีเมื่อเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวจะนิยมบริโภคเครื่องดื่มเบียร์มากขึ้น ส่งผล
ให้ระดับสินค้าสำเร็จรูปคงคลังเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน (บ้านเมือง, กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมการผลิตของโลกในเดือนต.ค. ชะลอตัว รายงาน
จากลอนดอน เมื่อวันที่ 1 พ.ย. 47 JP Morgan ร่วมกับองค์กรเอกชนอื่นๆจัดทำเครื่องชี้ภาวะอุตสาหกรรมการ
ผลิตของโลก — PMI โดยการสำรวจภาคอุตสาหกรรมการผลิตของประเทศต่างๆรวม 20 ประเทศรวมทั้ง
สรอ. ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ โดย PMI ของโลกในเดือนต.ค. ลดลงอยู่ในระดับ 53.9
จากระดับ 55.0 เมื่อเดือนก.ย. และอยู่ในระดับต่ำสุดในรอบ 13 เดือน เนื่องจากการสูงขึ้นของราคาน้ำมันส่ง
ผลให้ PMI ของโลกชะลอตัวและยังคงไม่แข็งแกร่ง โดยดัชนีภาคอุตสาหกรรมการผลิตของสรอ.ในเดือนต.ค.
ลดลงอยู่ที่ระดับ 56.8 จากระดับ 58.50 น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ว่าจะอยู่ในระดับ 59.0 และเป็นระดับต่ำสุดนับ
ตั้งแต่เดือนก.ย. 46 ทั้งนี้อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นเกือบถึงระดับที่เคยสูงสุดเมื่อเดือนพ.ค. ส่งผลต่อกำไรและการ
จ้างงาน โดยดัชนีการจ้างงานของโลกในเดือนต.ค. ลดลงอยู่ที่ระดับ 51.0 จากระดับ 52.4 ในเดือนก.ย.
ขณะที่ input price index เพิ่มสูงขึ้นที่ระดับ 75.3 จากระดับ 71.7 เมื่อเดือนก่อนแต่ต่ำกว่าเมื่อเดือนพ.
ค. ที่สูงขั้นอย่างมากและเป็นสถิติสูงที่สุดในสรอ. และเดนมาร์ก ขณะที่ดัชนีคำสั่งซื้อใหม่ลดลงอย่างต่อเนื่องเป็น
เดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 54.9 จากระดับ 55.5 ในเดือนก.ย. ส่วน 0utput index ชะลอตัวอยู่ที่ระดับ 55.7
จากระดับ 57.0 เมื่อเดือนก.ย. ต่ำที่สุดในรอบปี (รอยเตอร์)
2.ค่าแรงในญี่ปุ่นลดลงร้อยละ 0.3 ในเดือน ก.ย.47 เมื่อเทียบกับปีก่อน รายงานจากโตเกียว
เมื่อ 1 พ.ย.47 รายได้จากเงินเดือนและค่าแรงของชาวญี่ปุ่นในเดือน ก.ย.47 ซึ่งรวมค่าล่วงเวลาและโบนัส
โดยเฉลี่ยอยู่ที่ 275,373 เยน หรือประมาณ 2,603 ดอลลาร์ สรอ.ต่อเดือน ลดลงร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับ
เดือนเดียวกันปีก่อน แม้ว่าค่าล่วงเวลาโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7 ก็ตาม ในขณะที่ค่าแรงที่ไม่รวมค่าล่วงเวลา
ลดลงติดต่อกันทุกเดือนในช่วง 16 เดือนที่ผ่านมา ผลจากการที่นายจ้างหันมาจ้างแรงงานแบบ part-time แทน
การจ้างแรงงานแบบเต็มเวลาเพราะมีค่าใช้จ่ายถูกกว่าจากการที่ไม่ต้องจ่ายค่าล่วงเวลาและโบนัส โดยทุก
1 ใน 4 ของคนงานในปัจจุบันเป็นการจ้างงานแบบ part-time และมีจำนวนคนทำงานแบบ part-time เพิ่มขึ้น
ร้อยละ 3.3 ในเดือน ก.ย.47 เมื่อเทียบกับปีก่อน อย่างไรก็ตามอัตราที่เพิ่มขึ้นดังกล่าวชะลอตัวจากช่วงปลายปี
ก่อนและต้นปีนี้ซึ่งเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 6 ถึง 8 ต่อปี ในขณะที่จำนวนคนทำงานแบบเต็มเวลาลดลงร้อยละ
0.1 เมื่อเทียบกับปีก่อน นอกจากนี้ประสิทธิภาพในการผลิตที่เพิ่มขึ้นก็มีส่วนทำให้นายจ้างสามารถลดการจ้างแรง
งานลง ค่าแรงที่ลดลงอย่างต่อเนื่องดังกล่าวมีส่วนช่วยลดผลกระทบจากราคาวัตถุดิบที่สูงขึ้นและมีส่วนช่วยให้ราคา
สินค้าไม่สูงขึ้นมากนัก โดย ธ.กลางญี่ปุ่นคาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคในปีงบประมาณหน้าซึ่งเริ่มตั้งแต่เดือน เม.ย.48
จะเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 ซึ่งช่วยให้ ธ.กลางญี่ปุ่นสามารถใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายโดยคงอัตราดอกเบี้ย
ใกล้ระดับร้อยละ 0 ต่อไปจนกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานจะสูงกว่าร้อยละ 0 อย่างมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
3. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์เดือน ก.ย.47 ลดลงเหลือร้อยละ 3.4 ต่ำสุดในรอบ 3
ปี รายงานจากประเทศสิงคโปร์ เมื่อวันที่ 1 พ.ย.47 อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในเดือน ก.ย.47
ลดลงเหลือร้อยละ 3.4 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 3 ปี และต่ำกว่าที่รอยเตอร์โพลล์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ
ร้อยละ 4.3 เนื่องจากมีการจ้างงานใหม่กว่า 16,600 ตำแหน่ง ในภาคการบริการ เช่น โรงแรม ร้าน
อาหาร กิจการค้าปลีก และการเงิน โดยอัตราการว่างงานเริ่มทรงตัวอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 ตั้งแต่สิ้นเดือน
ธ.ค. เมื่อลดลงจากระดับร้อยละ 5.5 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 17 ปี ทั้งนี้ ตัวเลขการจ้างงานที่ปรับแล้ว
ตามฤดูกาลเพิ่มขึ้นมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์หลายรายคาดการณ์ไว้ สะท้อนให้เห็นถึงอัตราการเติบโตทาง
เศรษฐกิจในช่วง 4 ไตรมาส ที่ขยายตัวสูงเป็นตัวเลขสองหลักนับตั้งแต่เดือน ก.ค.46 หลังจากเศรษฐกิจฟื้นตัว
เมื่อสิ้นสุดการระบาดของไวรัส SARS อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์หลายรายกล่าวว่าการว่างงานมีแนวโน้มเพิ่ม
มากขึ้นอีกครั้งในปี 48 เนื่องจากการขยายตัวของจีดีพีในไตรมาส 3 เริ่มลดลง ขณะที่เจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนให้
ความเห็นว่าอัตราการว่างงานของสิงคโปร์จะเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 4 ในช่วง 5 ปีข้างหน้า (รอยเตอร์)
4. เดือน ต.ค.47 การขยายตัวของการส่งออกของเกาหลีใต้สูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ แต่ยังเป็น
อัตราที่ต่ำสุดในรอบ 11 เดือน รายงานจากโซลเมื่อ 1 พ.ย.47 ทางการเกาหลีใต้เปิดเผยว่า เดือน ต.ค.47
การส่งออกของเกาหลีใต้ขยายตัวสูงเกินความคาดหมายที่ระดับร้อยละ 20.9 จากที่คาดหมายไว้เดิมร้อย
ละ 17.6 และแม้จะเป็นการขยายตัวในอัตราเร่งที่เกินกว่าการคาดหมาย แต่อัตราการเติบโตกลับต่ำสุดในรอบ
11 เดือนนับตั้งแต่เดือน พ.ย.46 ที่เติบโตร้อยละ 20.0 สาเหตุจากความต้องการจากต่างประเทศชะลอตัวลง
โดยก่อนหน้านี้มีการเปิดเผยรายงานเงินเฟ้อซึ่งบ่งชี้ว่าราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้นอาจส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภค
บริโภคเพิ่มขึ้น และกระทบต่อการใช้จ่ายภายในประเทศที่เกาหลีใต้กำลังพยายามกระตุ้นให้ขยายตัวเพิ่มขึ้นเพื่อทด
แทนการส่งออกที่ชะลอตัวลง สำหรับแนวโน้มการส่งออกของเกาหลีใต้มีทิศทางที่ไม่สดใสนักนับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว
เมื่อจีนซึ่งเป็นประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของเกาหลีใต้ที่มีสัดส่วนถึง 1 ใน 5 ของการส่งออกรวมของเกาหลีใต้ ปรับ
เพิ่มอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 10 ปี โดยจากการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยของจีนในครั้งนี้อาจส่งผลให้
ความต้องการสินค้าจากจีนลดลง นอกจากนี้ การที่เงินวอนแข็งค่าขึ้นเกือบร้อยละ 3 เมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
สรอ.ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้เกิดความกังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกเช่นกัน
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 2 พ.ย. 47 1 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 41.071 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.8684/41.1605 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.75 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 626.96/ 9.11 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,250/8,350 8,300/8,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.99 38.88 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) * ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 20 ต.ค.47 22.39*/14.59 22.39*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-