สศอ.ร่วมมือเอกชน ดันเปิดFTA ไทย-ออสเตรเลียเห็นผล ก่อนข้อตกลงมีผลบังคับใช้ เดือนมกราคม ปี 2548 กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน เดินหน้าจับกลุ่มทุนออสเตรเลียร่วมทุน แลกเปลี่ยนข้อมูลการค้าและการลงทุน ชี้อุตฯอาหาร — สิ่งทอ เตรียมพร้อมเปิดโต๊ะร่วมเจรจาการค้าเร็วๆนี้
นางชุตาภรณ์ ลัมพสาระ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยได้เตรียมความพร้อมในการเปิดเขตการค้าเสรีเอฟทีเอ ระหว่างไทย-ออสเตรเลีย ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2548 นี้ โดยล่าสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนได้มีการจัดกิจกรรมสัมมนาเสริมสร้างความร่วมมือในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนระหว่างไทย-ออสเตรเลีย [Executive Auto Trade Mission
] ขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศได้ร่วมเจรจาทางด้านการค้าและการลงทุนร่วมกันมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน พบว่า ปัจจุบันประเทศออสเตรเลียยังคงมีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สูงกว่าไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะ ในด้านเทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการทดสอบ ขณะที่ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต การเข้าถึงตลาดรถยนต์อาเซียน ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยเหมาะที่จะเป็นแหล่งกระจายสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยการใช้ประโยชน์จากโครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาเซียน( AICO) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA )
นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์และชิ้นส่วนของออสเตรเลียจะเน้นการผลิตเพื่อรองรับรถยนต์ขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ส่วนประเทศไทยเน้นการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถปิกอัพเป็นหลัก ประกอบกับ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนระหว่างกัน เนื่องจาก การเดินทางและลำเลียงสินค้าจากไทย-ออสเตรเลีย นั้นเป็นระยะทางไม่ไกล อีกทั้ง เส้นทางการคมนาคมสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้การขนส่งสินค้าเพื่อไปจำหน่ายยังตลาดออสเตรเลียมีความคล่องตัวสูง
นางชุตาภรณ์ กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมาออสเตรเลียมีโครงสร้างกำแพงภาษีสูงสุดถึง 57.5% และจำกัดโควตาการนำเข้าอย่างเข้มงวด แต่ในปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าอุตสาหกรรมยานยนต์ของออสเตรเลียลดลงอย่างมาก เช่น อัตราภาษีรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูปในปัจจุบันอยู่ที่ 15% ซึ่งคงที่เรื่อยมานับตั้งแต่ช่วงปี 2543 และจะลดลงเหลือ 10% ในปี 2548 อย่างไรก็ดี ภายใต้กรอบเอฟทีเอระหว่างไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปีหน้า ออสเตรเลียจะยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์สำเร็จรูปทุกประเภทให้กับไทย และจะทยอยปรับลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอื่นๆในหมวดยานยนต์ลดลงเหลือ 0% ภายในปี 2552
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ขยายโอกาสจากการเปิดตลาดการค้าเสรีสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งทอ ซึ่งขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการมีแผนที่จะเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อร่วมเจรจาหารือกับผู้ประกอบการของออสเตรเลียในการดำเนินธุรกิจร่วมกันเร็วๆนี้
โดยเฉพาะในส่วนอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลที่ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เนื่องจาก เล็งเห็นว่า ปัจจุบันตลาดอาหารไทยเป็นที่นิยมบริโภคของชาวออสเตรเลีย และชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมบริโภคเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในออสเตรเลียก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อการขยายการลงทุนของอุตสาหกรรมอาหารในออสเตรเลียอยู่ที่ กฎ ระเบียบ ในการกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าที่เข้มงวด ดังนั้น นับเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะเข้าไปดำเนินการเจรจาต่อรอง เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการได้เข้าไปดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ประกอบการที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในทุกด้านรวมทั้ง เร่งพัฒนามาตรฐานสินค้าให้เป็นที่รับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นเป็นสินค้าเพื่อการส่งออก มีการคิดค้นพัฒนากรรมวิธี สามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสถิติการส่งออกสินค้าหมวดยานยนต์ของไทยไปออสเตรเลีย ในปี 2546 พบว่า เป็นมูลค่าทั้งสิ้นสูงถึง 1,060.2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ขณะที่ออสเตรเลียส่งออกมายังประเทศไทย เป็นมูลค่า 30.8 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งจากมูลค่าการส่งออก แสดงให้เห็นว่า ตลาดยานยนต์และชิ้นส่วนไทยมีศักยภาพมากในออสเตรเลีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
นางชุตาภรณ์ ลัมพสาระ ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ขณะนี้ภาคอุตสาหกรรมไทยได้เตรียมความพร้อมในการเปิดเขตการค้าเสรีเอฟทีเอ ระหว่างไทย-ออสเตรเลีย ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 มกราคม 2548 นี้ โดยล่าสุดในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนได้มีการจัดกิจกรรมสัมมนาเสริมสร้างความร่วมมือในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนระหว่างไทย-ออสเตรเลีย [Executive Auto Trade Mission
] ขึ้นเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการของทั้งสองประเทศได้ร่วมเจรจาทางด้านการค้าและการลงทุนร่วมกันมากขึ้น
ทั้งนี้ จากการศึกษาข้อมูลในกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน พบว่า ปัจจุบันประเทศออสเตรเลียยังคงมีศักยภาพในการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่สูงกว่าไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะ ในด้านเทคโนโลยีการวิจัยและพัฒนา การออกแบบ และการทดสอบ ขณะที่ ประเทศไทยมีข้อได้เปรียบในด้านต้นทุนการผลิต การเข้าถึงตลาดรถยนต์อาเซียน ซึ่งส่งผลให้ประเทศไทยเหมาะที่จะเป็นแหล่งกระจายสินค้าได้เป็นอย่างดี โดยการใช้ประโยชน์จากโครงการความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมอาเซียน( AICO) และเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA )
นอกจากนี้ ตลาดรถยนต์และชิ้นส่วนของออสเตรเลียจะเน้นการผลิตเพื่อรองรับรถยนต์ขนาดใหญ่ และขนาดกลาง ส่วนประเทศไทยเน้นการผลิตรถยนต์ขนาดเล็ก และรถปิกอัพเป็นหลัก ประกอบกับ สภาพทางภูมิศาสตร์ที่เอื้ออำนวยต่อการค้าการลงทุนระหว่างกัน เนื่องจาก การเดินทางและลำเลียงสินค้าจากไทย-ออสเตรเลีย นั้นเป็นระยะทางไม่ไกล อีกทั้ง เส้นทางการคมนาคมสะดวกและรวดเร็ว ส่งผลให้การขนส่งสินค้าเพื่อไปจำหน่ายยังตลาดออสเตรเลียมีความคล่องตัวสูง
นางชุตาภรณ์ กล่าวว่า แม้ว่าที่ผ่านมาออสเตรเลียมีโครงสร้างกำแพงภาษีสูงสุดถึง 57.5% และจำกัดโควตาการนำเข้าอย่างเข้มงวด แต่ในปัจจุบันอัตราภาษีนำเข้าอุตสาหกรรมยานยนต์ของออสเตรเลียลดลงอย่างมาก เช่น อัตราภาษีรถยนต์นำเข้าสำเร็จรูปในปัจจุบันอยู่ที่ 15% ซึ่งคงที่เรื่อยมานับตั้งแต่ช่วงปี 2543 และจะลดลงเหลือ 10% ในปี 2548 อย่างไรก็ดี ภายใต้กรอบเอฟทีเอระหว่างไทย-ออสเตรเลีย ซึ่งจะมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการในปีหน้า ออสเตรเลียจะยกเลิกภาษีนำเข้าสำหรับรถยนต์สำเร็จรูปทุกประเภทให้กับไทย และจะทยอยปรับลดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอื่นๆในหมวดยานยนต์ลดลงเหลือ 0% ภายในปี 2552
นอกจากนี้ ผู้ประกอบการยังได้ขยายโอกาสจากการเปิดตลาดการค้าเสรีสู่กลุ่มอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น กลุ่มอุตสาหกรรมอาหาร และสิ่งทอ ซึ่งขณะนี้กลุ่มผู้ประกอบการมีแผนที่จะเดินทางไปออสเตรเลียเพื่อร่วมเจรจาหารือกับผู้ประกอบการของออสเตรเลียในการดำเนินธุรกิจร่วมกันเร็วๆนี้
โดยเฉพาะในส่วนอาหาร ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายสำคัญของรัฐบาลที่ได้มีการจัดทำยุทธศาสตร์ “ครัวไทยสู่ครัวโลก” เนื่องจาก เล็งเห็นว่า ปัจจุบันตลาดอาหารไทยเป็นที่นิยมบริโภคของชาวออสเตรเลีย และชาวต่างชาติที่อยู่ในประเทศออสเตรเลียเป็นอย่างมาก ซึ่งส่วนใหญ่นิยมบริโภคเป็นอาหารเพื่อสุขภาพ และผู้ประกอบการร้านอาหารไทยในออสเตรเลียก็มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญที่อาจส่งผลต่อการขยายการลงทุนของอุตสาหกรรมอาหารในออสเตรเลียอยู่ที่ กฎ ระเบียบ ในการกำหนดมาตรฐานสินค้านำเข้าที่เข้มงวด ดังนั้น นับเป็นหน้าที่ของภาครัฐที่จะเข้าไปดำเนินการเจรจาต่อรอง เพื่อเพิ่มช่องทางให้ผู้ประกอบการได้เข้าไปดำเนินธุรกิจได้สะดวกขึ้นกว่าที่ผ่านมา แต่ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกลุ่มผู้ประกอบการที่จะให้ความร่วมมือกับภาครัฐในทุกด้านรวมทั้ง เร่งพัฒนามาตรฐานสินค้าให้เป็นที่รับรองคุณภาพตามมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นเป็นสินค้าเพื่อการส่งออก มีการคิดค้นพัฒนากรรมวิธี สามารถนำนวัตกรรมใหม่ๆมาใช้ในการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับสถิติการส่งออกสินค้าหมวดยานยนต์ของไทยไปออสเตรเลีย ในปี 2546 พบว่า เป็นมูลค่าทั้งสิ้นสูงถึง 1,060.2 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ขณะที่ออสเตรเลียส่งออกมายังประเทศไทย เป็นมูลค่า 30.8 ล้านเหรียญออสเตรเลีย ซึ่งจากมูลค่าการส่งออก แสดงให้เห็นว่า ตลาดยานยนต์และชิ้นส่วนไทยมีศักยภาพมากในออสเตรเลีย
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-