วันนี้ (2 พ.ย. 47) ที่อาคารรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงภายหลังการประชุมว่า กรณีสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ วิปรู้สึกเป็นห่วง และเชื่อว่าสถานการณ์ยังอยู่ในช่วงที่ไม่น่าไว้วางใจ ซึ่งวิปฝ่ายค้านได้แสดงความคิดเห็นเพื่อให้รัฐบาลเร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าวออกเป็น 4 ประการ คือ
ประการที่ 1.รัฐบาลต้องรับแนวพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใส่เกล้าใส่กระหม่อมจริงๆ และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงๆ เพราะที่ผ่านมามีบางกรณีที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เช่นกรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ
ประการที่ 2. รัฐบาลต้องระมัดระวังที่จะไม่สร้างเงื่อนไขที่จะทำให้สถานการณ์รุกรามบานปลายเพิ่มขึ้น และต้องไม่ดำเนินการใดๆที่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน เช่น การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เพราะความรุนแรงไม่สามารถยุติปัญหาได้มีแต่จะผลักดันคนเข้าป่า เหมือนกรณี 6 ตุลา และทำให้ผู้ก่อความไม่สงบได้พวกไปโดยปริยาย หรือ หากรัฐบาลมีแนวความคิดที่จะเอาม็อบมาชนม็อบ หรือเอาคนไทยมาปะทะกัน ถ้ามีความคิดนี้ต้องเลิกคิด แต่ถ้าไม่มีก็เป็นเรื่องที่ดี หรือกรณีที่มีความคิดจะเอาเงินซีไอเอมาตั้งโรงเรียนต่อต้านการก่อการร้าย ไม่ใช่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านการก่อการร้าย แต่การรับเงินจะต้องมีการทบทวนว่าคุ้มค่าหรือไม่ และจะกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน หรือไม่
ประการที่ 3 รัฐบาลต้องเร่งรัดการบริหารจัดการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาที่หมักหมมให้ได้ผลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะขวัญกำลังใจของประชาชน และ เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งทหาร และ ตำรวจ ซึ่งแพทย์ และพยาบาลในพื้นที่ขาดมากว่า 2 ปี และในส่วนของกรณีเบี้ยเสี่ยงภัยที่ฝ่ายค้านย้ำมาตลอด รัฐบาลต้องเร่งรัดให้เงินที่ตัดให้มาไปถึงมือเจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงภัยอยู่ในขณะนี้อย่างจริงจัง
และประการสุดท้าย รัฐบาลต้องเร่งรัดในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบที่เป็นกลาง และเชื่อถือได้จริง เช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น และต้องแถลงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด
สำหรับกรณีกองทุนวายุภักษ์จะขยายกรอบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่ซื้อได้เฉพาะหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ โดยต่อจากนี้จะสามารถซื้อหุ้นจากบริษัทอื่นได้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วิปตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของกองทุนวายภักษ์ และได้ติดตามว่าการตั้งกองทุนเป็นการตั้งเพื่อไปอุ้มหุ้นเอกชนบางตัวในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้เกิดผลกระทบเป็นอย่างมาก
ด้านดร.สรรเสริญ สมะลาภา คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอแสดงความยินดีกับบริษัทเอกชนที่เข้าข่ายอยู่ในการซื้อของกองทุนวายุภักษ์ และการขยายกรอบการลงทุนนั้นต้องระมัดระวังในหลายเรื่อง คือ
1. คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ต้องตรวจสอบบรรดาหุ้นที่เข้าข่ายในการซื้อของกองทุนวายุภักษ์มีปริมาณการซื้อสูงผิดปกติก่อนที่จะมีการประกาศหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า มีข่าวรั่ว และ มีบุคคลบางกลุ่มอาศัยกองทุนวายุภักษ์เป็นเครื่องมือในการหาเงิน
2. การประกาศจะซื้อหุ้นก่อนที่จะมีการดำเนินการ ในทางปฏิบัติไม่มีกองทุนใดทำกัน เพราะจะทำให้กองทุนนั้นซื้อหุ้นในราคาที่แพง ผลตอบแทนของประชาชนก็จะลดลง เท่ากับว่าในกรณีของกองทุนวายภักษ์ คือ เอาเงินของประชาชนไปปั่นหุ้น
3. การซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ต้องระมัดระวังว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน บริษัทใด บริษัทหนึ่งหรือไม่ เพราะบริษัทนั้นจะได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมาก คือหุ้นของบริษัทดังกล่าวจะมีมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งต่อไปการระดมทุนหากออกหุ้นในจำนวนน้อย ก็สามารถที่จะได้ทุนในจำนวนที่สูง เป็นการได้เปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน ตนคิดว่ารัฐบาลน่าจะรับฟังและนำไปพิจารณาด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
ประการที่ 1.รัฐบาลต้องรับแนวพระราชดำรัสขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวใส่เกล้าใส่กระหม่อมจริงๆ และนำไปปฏิบัติให้เกิดผลจริงๆ เพราะที่ผ่านมามีบางกรณีที่สะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาลยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน เช่นกรณีฆ่าตัดตอน 2,500 ศพ
ประการที่ 2. รัฐบาลต้องระมัดระวังที่จะไม่สร้างเงื่อนไขที่จะทำให้สถานการณ์รุกรามบานปลายเพิ่มขึ้น และต้องไม่ดำเนินการใดๆที่เป็นการชักศึกเข้าบ้าน เช่น การใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา เพราะความรุนแรงไม่สามารถยุติปัญหาได้มีแต่จะผลักดันคนเข้าป่า เหมือนกรณี 6 ตุลา และทำให้ผู้ก่อความไม่สงบได้พวกไปโดยปริยาย หรือ หากรัฐบาลมีแนวความคิดที่จะเอาม็อบมาชนม็อบ หรือเอาคนไทยมาปะทะกัน ถ้ามีความคิดนี้ต้องเลิกคิด แต่ถ้าไม่มีก็เป็นเรื่องที่ดี หรือกรณีที่มีความคิดจะเอาเงินซีไอเอมาตั้งโรงเรียนต่อต้านการก่อการร้าย ไม่ใช่ฝ่ายค้านไม่เห็นด้วยกับการต่อต้านการก่อการร้าย แต่การรับเงินจะต้องมีการทบทวนว่าคุ้มค่าหรือไม่ และจะกลายเป็นการชักศึกเข้าบ้าน หรือไม่
ประการที่ 3 รัฐบาลต้องเร่งรัดการบริหารจัดการในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้มีประสิทธิภาพ และแก้ไขปัญหาที่หมักหมมให้ได้ผลอย่างจริงจัง โดยเฉพาะขวัญกำลังใจของประชาชน และ เจ้าหน้าที่ ไม่ว่าจะเป็นครู แพทย์ พยาบาล หรือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทั้งทหาร และ ตำรวจ ซึ่งแพทย์ และพยาบาลในพื้นที่ขาดมากว่า 2 ปี และในส่วนของกรณีเบี้ยเสี่ยงภัยที่ฝ่ายค้านย้ำมาตลอด รัฐบาลต้องเร่งรัดให้เงินที่ตัดให้มาไปถึงมือเจ้าหน้าที่ที่เสี่ยงภัยอยู่ในขณะนี้อย่างจริงจัง
และประการสุดท้าย รัฐบาลต้องเร่งรัดในการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบที่เป็นกลาง และเชื่อถือได้จริง เช่นคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นต้น และต้องแถลงข้อเท็จจริงให้ประชาชนทราบโดยเร็วที่สุด
สำหรับกรณีกองทุนวายุภักษ์จะขยายกรอบการลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ จากเดิมที่ซื้อได้เฉพาะหุ้นที่กระทรวงการคลังถือ โดยต่อจากนี้จะสามารถซื้อหุ้นจากบริษัทอื่นได้ นายจุรินทร์ กล่าวว่า วิปตั้งข้อสังเกตมาโดยตลอดถึงเป้าหมายที่แท้จริงของกองทุนวายภักษ์ และได้ติดตามว่าการตั้งกองทุนเป็นการตั้งเพื่อไปอุ้มหุ้นเอกชนบางตัวในตลาดหลักทรัพย์หรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นจริงจะทำให้เกิดผลกระทบเป็นอย่างมาก
ด้านดร.สรรเสริญ สมะลาภา คณะทำงานด้านเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ตนขอแสดงความยินดีกับบริษัทเอกชนที่เข้าข่ายอยู่ในการซื้อของกองทุนวายุภักษ์ และการขยายกรอบการลงทุนนั้นต้องระมัดระวังในหลายเรื่อง คือ
1. คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์ และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. ต้องตรวจสอบบรรดาหุ้นที่เข้าข่ายในการซื้อของกองทุนวายุภักษ์มีปริมาณการซื้อสูงผิดปกติก่อนที่จะมีการประกาศหรือไม่ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นก็หมายความว่า มีข่าวรั่ว และ มีบุคคลบางกลุ่มอาศัยกองทุนวายุภักษ์เป็นเครื่องมือในการหาเงิน
2. การประกาศจะซื้อหุ้นก่อนที่จะมีการดำเนินการ ในทางปฏิบัติไม่มีกองทุนใดทำกัน เพราะจะทำให้กองทุนนั้นซื้อหุ้นในราคาที่แพง ผลตอบแทนของประชาชนก็จะลดลง เท่ากับว่าในกรณีของกองทุนวายภักษ์ คือ เอาเงินของประชาชนไปปั่นหุ้น
3. การซื้อหุ้นของกองทุนวายุภักษ์ต้องระมัดระวังว่าจะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อบริษัทเอกชน บริษัทใด บริษัทหนึ่งหรือไม่ เพราะบริษัทนั้นจะได้เปรียบเหนือคู่แข่งอย่างมาก คือหุ้นของบริษัทดังกล่าวจะมีมูลค่าที่สูงขึ้น ซึ่งต่อไปการระดมทุนหากออกหุ้นในจำนวนน้อย ก็สามารถที่จะได้ทุนในจำนวนที่สูง เป็นการได้เปรียบคู่แข่งอย่างชัดเจน ตนคิดว่ารัฐบาลน่าจะรับฟังและนำไปพิจารณาด้วย
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-