นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แจ้งผลการพิจารณาภาวะเศรษฐกิจการเงินการคลังของไทยประจำปี 2547 ของคณะกรรมการบริหารกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่รายงานใน Article IV Consultation ว่าคณะกรรมการบริหารของกองทุนการเงินระหว่างประเทศได้ชื่นชมคณะผู้บริหารประเทศของไทยที่ได้มีการใช้นโยบายทางเศรษฐกิจที่เหมาะสม เป็นผลให้เศรษฐกิจไทยมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ทั้งอัตราเงินเฟ้อและอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำ ดุลงบประมาณของรัฐบาลยังอยู่ในสภาพเกินดุล และการพัฒนาตลาดการเงินมีแนวโน้มที่พัฒนาดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะส่งผลให้เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ดีต่อไป นอกจากนี้ ความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยต่อความผันผวนภายนอกประเทศได้ปรับตัวลดน้อยลง จากการที่ประเทศไทยได้เปลี่ยนมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่ยืดหยุ่นมากขึ้น (Flexible Exchange Rate Regime) ทั้งยังสามารถปรับลดหนี้ต่างประเทศ และทุนสำรองเงินตราต่างประเทศก็ปรับตัวสูงขึ้นได้อย่างชัดเจน
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯได้เสนอแนะว่าควรจะดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและกฎหมาย (Structural and legal reforms) มากขึ้น โดยรัฐบาลควรใช้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขยายผลจากการเน้นใช้เฉพาะนโยบายการเงินการคลังไปสู่การปรับปรุงจุดอ่อนทางเศรษฐกิจและกฎหมายเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาล คณะกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลในปัจจุบันมีความเหมาะสมดี แต่ได้เตือนว่าการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะเหมาะสมกับช่วงของเศรษฐกิจขาขึ้น ดังนั้น การที่มีงบประมาณเกินดุลเล็กน้อยเป็นผลดีต่อภาวะหนี้สินของประเทศและยังเป็นการสะสมทุนเพื่อใช้ในอนาคตได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีนโยบายงบประมาณสมดุลในปีงบประมาณ 2548 ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สำหรับการลงทุนของภาครัฐด้านโครงสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) นั้น คณะกรรมการฯ เสนอแนะว่าการลงทุนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจมหภาค และต้องสามารถควบคุมไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นทั้งนี้ คณะกรรมการฯได้ชมเชยรัฐบาล ในการริเริ่มให้มีระบบตรวจสอบทางบัญชีของการบริการภาครัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบ (Accountability) และความโปร่งใสในนโยบายต่างๆ จะช่วยให้สามารถตรวจสอบกิจกรรมการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่เป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สำหรับการแก้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คณะกรรมการฯ สนับสนุนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ช่วยให้การโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จากธนาคารพาณิชย์ไปสู่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ TMAC ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ได้เร็วขึ้น ในปัจจุบันบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (TAMC) ก็มีผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจอยู่แล้ว
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงการควบคุมดูแลการบริหารของภาคธุรกิจและภาครัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายและกฎหมายทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) อีกด้วย
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 88/2547 3 พฤศจิกายน 2547--
ทั้งนี้ คณะกรรมการฯได้เสนอแนะว่าควรจะดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจและกฎหมาย (Structural and legal reforms) มากขึ้น โดยรัฐบาลควรใช้ประโยชน์จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี ขยายผลจากการเน้นใช้เฉพาะนโยบายการเงินการคลังไปสู่การปรับปรุงจุดอ่อนทางเศรษฐกิจและกฎหมายเพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ
สำหรับฐานะการคลังของรัฐบาล คณะกรรมการฯ ได้ให้ความเห็นว่า ฐานะการคลังของรัฐบาลในปัจจุบันมีความเหมาะสมดี แต่ได้เตือนว่าการใช้งบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะเหมาะสมกับช่วงของเศรษฐกิจขาขึ้น ดังนั้น การที่มีงบประมาณเกินดุลเล็กน้อยเป็นผลดีต่อภาวะหนี้สินของประเทศและยังเป็นการสะสมทุนเพื่อใช้ในอนาคตได้ ซึ่งรัฐบาลก็ได้มีนโยบายงบประมาณสมดุลในปีงบประมาณ 2548 ซึ่งสอดคล้องกับคำแนะนำของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ
สำหรับการลงทุนของภาครัฐด้านโครงสร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) นั้น คณะกรรมการฯ เสนอแนะว่าการลงทุนจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ และไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของเศรษฐกิจมหภาค และต้องสามารถควบคุมไม่ให้หนี้สาธารณะเพิ่มสูงขึ้นทั้งนี้ คณะกรรมการฯได้ชมเชยรัฐบาล ในการริเริ่มให้มีระบบตรวจสอบทางบัญชีของการบริการภาครัฐ ซึ่งเป็นการเพิ่มความรับผิดชอบ (Accountability) และความโปร่งใสในนโยบายต่างๆ จะช่วยให้สามารถตรวจสอบกิจกรรมการปล่อยกู้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐที่เป็นผลสืบเนื่องจากนโยบายของรัฐบาลได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ สำหรับการแก้หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ คณะกรรมการฯ สนับสนุนการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงกฎหมายที่ช่วยให้การโอนหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ จากธนาคารพาณิชย์ไปสู่บรรษัทบริหารสินทรัพย์ หรือ TMAC ช่วยให้สามารถดำเนินการแก้ปัญหาหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ได้เร็วขึ้น ในปัจจุบันบรรษัทบริหารสินทรัพย์ (TAMC) ก็มีผลการดำเนินงานในระดับที่น่าพอใจอยู่แล้ว
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ยังสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายเพื่อปรับปรุงการควบคุมดูแลการบริหารของภาคธุรกิจและภาครัฐ โดยเฉพาะการสนับสนุนรัฐบาลในการปฏิรูปกฎหมายล้มละลายและกฎหมายทางด้านเศรษฐกิจ รวมถึงการแปรรูปรัฐวิสาหกิจ (Privatization) อีกด้วย
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 88/2547 3 พฤศจิกายน 2547--