สศอ.เผยการจัดทำโครงการศึกษาวิจัยแนวทางความร่วมมือของอุตฯไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทย-จีน เทียบขีดความสามารถแข่งขัน ชี้ผู้ผลิตกลุ่มไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ไทยควรทำวิจัยและพัฒนามากขึ้น นำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ผลิต ส่วนผลการศึกษาการค้าและการลงทุนระบุ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน โดยเฉพาะ จ.เชียงราย จะเอื้อประโยชน์ผู้ประกอบการ ใช้เป็นฐานการผลิตและแหล่งกระจายสินค้าสู่ภูมิภาคอาเซียน
นางสาวสุชาดา วราภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สศอ.ร่วมกับ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จัดทำโครงการศึกษาวิจัยแนวทางความร่วมมือของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างไทย-จีน โดยเน้นศึกษาในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยเปรียบเทียบกับจีนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อเสนอช่องทางในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งจากจีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ
ในการศึกษาได้ทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์เป้าหมายแล้ว โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณา คือ 1. พิจารณาจากมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกของสินค้าทั้งของไทย-จีน 2.เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยดำเนินกิจการอยู่แล้ว 3.เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ หรือเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศ
โดยแบ่งการศึกษาผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม รวม 9 ผลิตภัณฑ์ คือ 1. ผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีศักยภาพด้านการแข่งขันสูงกว่า หรือมีแนวโน้มที่จะสามารถส่งออกไปจีน ได้แก่ วงจรพิมพ์ที่มีการประกอบชิ้นส่วนแล้ว หลอดภาพโทรทัศน์ และคอมเพรสเซอร์เครื่องทำความเย็น ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐานสูงภายใต้ต้นทุนที่ต่ำ เนื่องจาก มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคต จีนได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ หลอดภาพโทรทัศน์ ที่ปัจจุบันตลาดผู้บริโภคมีความต้องการการผลิตเครื่องโทรทัศน์แบบจอภาพ LCD : Liquid Crystal Display และ PDP : Plasma Display แทนที่จอภาพแบบหลอดแก้ว ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำการวิจัยและพัฒนา [R&D
] ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่มากขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์ที่จีนมีศักยภาพการผลิตสูงกว่าไทย ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์ หม้อแปลงฟ้าและส่วนประกอบ เซมิคอนดักเตอร์ มีสาเหตุมาจากการที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ยังขาดอุตสาหกรรมต้นน้ำ และปลายน้ำ เพื่อรองรับการบริหารจัดการสินค้า ทำให้โครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการและการวิจัยและพัฒนาไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
3. ผลิตภัณฑ์ที่ไทยและจีนเป็นคู่แข่งขันในตลาดโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า โดยผู้ประกอบการได้เปรียบด้านความประณีต คุณภาพ และมาตรฐานสินค้า ประกอบกับ สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่ถูกกำหนดตลาดการกระจายสินค้าโดยบริษัทแม่ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ไทยและจีนถูกจำกัดไม่ให้เข้าแข่งขันในตลาดเดียวกันทั้งในแง่ของพื้นที่ และกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า
นอกจากนี้ สศอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้สำรวจพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคของจีน ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมการลงทุน โดยจากการศึกษา พบว่า เขตส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันตก เช่น มณฑลยูนนาน และนครคุนหมิง จะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะ พื้นที่ภาคเหนือของไทย เช่น จ.เชียงราย จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตและแหล่งกระจายสินค้าออกของจีนเข้าสู่เขตการค้าเสรีอาเซียน [AFTA
] ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [GMS
] และเขตการค้าเสรีไทย-จีนที่มีอยู่
“จากผลการศึกษาในระยะยาวผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับปัจจัยหลายด้านที่ไม่เอื้อต่อการขยายตลาด กล่าวคือ โครงสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่าของจีน การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และการกำหนดนโยบายของรัฐบาลจีนที่มีเป้าหมายชัดเจน ดังนั้น แนวทางที่จะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์ คือการสร้างความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทย-จีนมากกว่าจะเป็นการแข่งขัน โดยจีนจะได้รับประโยชน์จากการใช้พื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย เป็นฐานการผลิตและเป็นแหล่งกระจายสินค้าที่มีศักยภาพให้จีนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลก ส่วนไทยจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ตลาดจีนได้”นางสาวสุชาดากล่าว
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
นางสาวสุชาดา วราภรณ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า สศอ.ร่วมกับ สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ จัดทำโครงการศึกษาวิจัยแนวทางความร่วมมือของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างไทย-จีน โดยเน้นศึกษาในเรื่องของขีดความสามารถในการแข่งขันของอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของไทยเปรียบเทียบกับจีนทั้งในปัจจุบันและอนาคต เพื่อเสนอช่องทางในการแข่งขันแก่ผู้ประกอบการไทยในกลุ่มอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ที่ต้องเผชิญกับการแข่งขันทั้งจากจีนและประเทศอื่นๆ รวมถึงการเตรียมความพร้อมในการเปิดประเทศไปสู่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจในรูปแบบต่างๆ
ในการศึกษาได้ทำการคัดเลือกผลิตภัณฑ์เป้าหมายแล้ว โดยใช้หลักเกณฑ์การพิจารณา คือ 1. พิจารณาจากมูลค่าการนำเข้า-ส่งออกของสินค้าทั้งของไทย-จีน 2.เป็นผลิตภัณฑ์ที่ปัจจุบันผู้ประกอบการไทยดำเนินกิจการอยู่แล้ว 3.เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอุตสาหกรรมต้นน้ำ หรือเป็นอุตสาหกรรมต่อเนื่องภายในประเทศ
โดยแบ่งการศึกษาผลิตภัณฑ์ออกเป็น 3 กลุ่ม รวม 9 ผลิตภัณฑ์ คือ 1. ผลิตภัณฑ์ที่ไทยมีศักยภาพด้านการแข่งขันสูงกว่า หรือมีแนวโน้มที่จะสามารถส่งออกไปจีน ได้แก่ วงจรพิมพ์ที่มีการประกอบชิ้นส่วนแล้ว หลอดภาพโทรทัศน์ และคอมเพรสเซอร์เครื่องทำความเย็น ซึ่งผู้ประกอบการไทยสามารถผลิตสินค้าได้มาตรฐานสูงภายใต้ต้นทุนที่ต่ำ เนื่องจาก มีการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม แนวโน้มในอนาคต จีนได้เร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะ หลอดภาพโทรทัศน์ ที่ปัจจุบันตลาดผู้บริโภคมีความต้องการการผลิตเครื่องโทรทัศน์แบบจอภาพ LCD : Liquid Crystal Display และ PDP : Plasma Display แทนที่จอภาพแบบหลอดแก้ว ดังนั้น ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำการวิจัยและพัฒนา [R&D
] ที่ใช้เทคโนโลยีใหม่มากขึ้น
2. ผลิตภัณฑ์ที่จีนมีศักยภาพการผลิตสูงกว่าไทย ได้แก่ เครื่องรับโทรทัศน์ หม้อแปลงฟ้าและส่วนประกอบ เซมิคอนดักเตอร์ มีสาเหตุมาจากการที่ กลุ่มผลิตภัณฑ์นี้ยังขาดอุตสาหกรรมต้นน้ำ และปลายน้ำ เพื่อรองรับการบริหารจัดการสินค้า ทำให้โครงสร้างต้นทุนของผู้ประกอบการและการวิจัยและพัฒนาไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
3. ผลิตภัณฑ์ที่ไทยและจีนเป็นคู่แข่งขันในตลาดโลก ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้าน ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า โดยผู้ประกอบการได้เปรียบด้านความประณีต คุณภาพ และมาตรฐานสินค้า ประกอบกับ สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าที่ถูกกำหนดตลาดการกระจายสินค้าโดยบริษัทแม่ซึ่งเป็นบริษัทข้ามชาติที่มีฐานการผลิตอยู่ในประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ไทยและจีนถูกจำกัดไม่ให้เข้าแข่งขันในตลาดเดียวกันทั้งในแง่ของพื้นที่ และกำลังซื้อของกลุ่มลูกค้า
นอกจากนี้ สศอ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้สำรวจพื้นที่ในแต่ละภูมิภาคของจีน ที่กำหนดให้เป็นพื้นที่เขตส่งเสริมการลงทุน โดยจากการศึกษา พบว่า เขตส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่ภาคตะวันตก เช่น มณฑลยูนนาน และนครคุนหมิง จะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้รับประโยชน์อย่างมาก โดยเฉพาะ พื้นที่ภาคเหนือของไทย เช่น จ.เชียงราย จะเป็นศูนย์กลางในการผลิตและแหล่งกระจายสินค้าออกของจีนเข้าสู่เขตการค้าเสรีอาเซียน [AFTA
] ซึ่งจะสามารถใช้ประโยชน์จากความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง [GMS
] และเขตการค้าเสรีไทย-จีนที่มีอยู่
“จากผลการศึกษาในระยะยาวผู้ประกอบการไทยอาจต้องเผชิญกับปัจจัยหลายด้านที่ไม่เอื้อต่อการขยายตลาด กล่าวคือ โครงสร้างต้นทุนที่ต่ำกว่าของจีน การวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เชิงพาณิชย์ และการกำหนดนโยบายของรัฐบาลจีนที่มีเป้าหมายชัดเจน ดังนั้น แนวทางที่จะทำให้ผู้ประกอบการไทยได้ประโยชน์ คือการสร้างความร่วมมือทางการค้าระหว่างไทย-จีนมากกว่าจะเป็นการแข่งขัน โดยจีนจะได้รับประโยชน์จากการใช้พื้นที่ภาคเหนือ จังหวัดเชียงราย เป็นฐานการผลิตและเป็นแหล่งกระจายสินค้าที่มีศักยภาพให้จีนสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตลาดโลก ส่วนไทยจะได้รับประโยชน์จากการส่งออกสินค้า โดยเฉพาะ ชิ้นส่วนไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์เข้าสู่ตลาดจีนได้”นางสาวสุชาดากล่าว
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-