ที่อาคารรัฐสภา นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ประธานคณะกรรมการประสานงาน (วิป) พรรคร่วมฝ่ายค้าน แถลงภายหลังการประชุมถึงการจัดงานมหกรรม ‘เหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้ว’ ซึ่ง ทางวิปฝ่ายค้านมีความคิดว่า มีข้อเท็จจริงอีกหลายเรื่องที่รัฐบาล ไม่ได้บอกกับประชาชนและพยายามที่จะปกปิดมาโดยตลอด ซึ่งเป็นหน้าที่ของฝ่ายค้านที่จะต้องบอกความจริงอีกด้านหนึ่งให้ประชาชนได้รับทราบ ตนเข้าใจว่า ช่วงระยะเวลาเกือบ 4 ปีที่รัฐบาลบริหารประเทศมาก็จะเห็นข้อเท็จจริงหลายประการเกิดขึ้น ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากภาระหนี้สินของประชาชนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งหนี้ภาคประชาชน และหนี้ที่รัฐบาลชุดนี้ก่อขึ้นเป็นภาระต่อประเทศในอนาคต และในปัจจุบัน นอกจากนั้นถ้าเหลียวหลังกับไปจะเห็นชัดเจนว่า ขณะนี้ไฟใต้กำลังรุกโฉน ไข้หวัดนกก็กำลังรุกรามบานปลาย ขณะเดียวกันการทุจริตคอร์รัปชั่น อบายมุขเต็มบ้านเต็มเมือง และที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งก็คือการปฏิรูปการศึกษาล้มเหลวสนิท ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ตนคิดว่าเป็นอีกด้านหนึ่งที่ประชาชนควรจะได้รับทราบ
สำหรับภาระหนี้สินเมื่อเหลียวหลังกลับไปจะเห็นได้ชัดเจน เฉพาะในส่วนของหนี้ภาคประชาชน เวลาที่รัฐบาลชุดนี้พูดก็จะพูดถึงตัวเลขตัวเดียว เพราะไม่กล้าพูดตัวเลขตัวอื่น คือพูดแต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่รัฐบาลไม่กล้าพูดว่ารายจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ เพราะในความเป็นจริงรายจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น 2,300 บาท ขณะที่รายได้ที่บอกว่าเพิ่มขึ้น 2,500 บาทต่อเดือนนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการไปกู้หนี้ยืมสินมาด้วย ซึ่งนับเป็นรายได้เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อหักลกกลบหนี้แล้วครัวเรือนโดยเฉลี่ยของคนไทยเป็นหนี้จนถึงเดือนมิถุนายน 2547 เป็นจำนวนถึง 103,940 บาท ต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาเกือบ 3 ปี ครึ่งที่รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศถึงครอบครัวละ 35,535 บาท และการเป็นหนี้ก็รุกรามไปทุกหย่อมหญ้า ทุกสาขาอาชีพ ‘ในกลุ่มข้าราชการนั้นปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันข้าราชการเป็นหนี้ถึง 82 %ของปริมาณข้าราชการทั้งหมด หมายความว่าข้าราชการ 100 คน เป็น หนี้82 คน และหนี้ต่อครัวเรือนของข้าราชการนั้นปัจจุบันคิดเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงถึง ครัวละ 492,253 บาทต่อครัวเรือน เฉพาะข้าราชการ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลไม่พยายามพูดกับประชาชน’ นายจุรินทร์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ระบุว่าเหลียวหลังไปจะเห็นไฟใต้รุกโฉน ปธ.วิปฝ่ายค้านกล่าวว่า เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นชัดเจนจากการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ที่สำคัญก็คือทำให้สังคมแตกแยก จนกระทั่งวันนี้ท่านนายกฯไม่กล้าที่จะไปเผชิญหน้าชาว ไม่กล้าที่จะไปประชุมเอเปค โดยรัฐบาลนี้ได้ละเมิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากกรณีกรือเซะมาจนถึงกรณีตากใบ และการที่ไม่กล้าไปประชุมในงานดังกล่าว เป็นเพราะเชื่อว่าต้องไปเผชิญกับคำถามของชาวโลกที่มองประเทศไทยเป็นลบอยู่ในขณะนี้ ‘ในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนคิดว่า 4 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อเหลียวหลังกับไปรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศมีแต่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีผลประโยชน์ส่วนตัวซ่อนอยู่ข้างหลัง และมีการนำเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้เพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียงของพรรคแกนนำรัฐบาล และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่จะทำแบบนี้’ ปธ.วิปฝ่ายค้าน กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ถ้าเราแลไปข้างหน้าโดยติดตามอย่างรู้ทันรัฐบาล จะพบว่าเป็นการจัดฉากทำการตลาด ใช้เงินฟาดหัวเพื่อการหาเสียงของพรรคไทยรักไทย เช่น กรณีที่รัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการ แต่ว่าจะขึ้นเมื่อปี 2549 กับ 2551 ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายในเรื่องนี้คืออะไร หรือ กรณีของการไปสัญญากับเกษตร ในเรื่องของกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ซึ่งความจริงกฏหมายในเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และจัดเงินให้เสร็จสิ้นแล้ว 1,800 ล้าน บาท แต่ปรากฏกว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยให้ความสนใจกับการใช้เงินกองทุนฟื้นฟูไปแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกร แต่ตรงกันข้ามกับส่งผู้อำนวยการพรรคไทยรักไทยไปเป็นผู้อำนวยการบริหาร และมีการผลาญเงินงบประมาณไปประมาณ 200 ล้านบาท จาก 1,800 ล้าน ยังไม่มีเงินตกไปถึงมือเกษตรกรเลย ซึ่งก็เป็นกรณีของการจัดฉากหาเสียง ที่จะสัญญาตกเขียวเอาคะแนนไปข้างหน้าอีก ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง คำถามก็คือถ้ามีความจริงใจก่อนนี้ 4 ปีทำไมไม่ทำ ไม่แก้ปัญหาโดยใช้กองทุนฟื้นฟูให้กับเกษตรกร
‘ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขก็เป็นเรื่องที่ชัดเจน ท่านนายกฯได้สอนเกษตรกรที่ทำเนียบบอกว่าอย่าเล่น หวย แต่รัฐบาลชุดนี้กับขายหวย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สวนทางระหว่างคำพูดกับการกระทำ เป็นการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่ละอายที่จะทำอะไรก็ได้ คือพูดไปวันๆ คิดไปวันๆ และก็สอนคนในทางที่ผิดไปวันๆ แต่ว่าพูดอย่างก็ทำอีกอย่าง และในเรื่องของการปฏิรูปการศึกษาที่บอกว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะจนถึงปัจจุบันกฎหมายสำคัญ 23 ฉบับของการปฏิรูปการศึกษาเพิ่งบังคับใช้ไปได้ 6 ฉบับ เป็นรัฐบาลมาเกือบ 4 ปีเต็มแล้ว’ นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับกรณีล่าสุดคือการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เมืองทองธานี ตรงนี้ชัดเจน เพราะที่สุดก็คือ การจัดฉากทำการตลาดโฆษณาหาเสียงโครงการโคล้านตัวให้กับพรรคไทยรักไทยนั้นเอง สิ่งเหล่าเป็นการใช้เงินแบบมือเติบ เป็นการใช้เงินแบบประชานิยมลดแลกแจกแถมเดินหน้าลูกเดียว ในที่สุดผลก็นำมาสู่การสร้างหนี้สินเป็นภาระให้ประเทศมากมาย ‘ตัวเลขหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณเมื่อปี 43 ก่อนรัฐบาลนี้เข้ามาตก 971,162 ล้านบาท แต่รัฐบาลชุดนี้มาบริหารประเทศมาจนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ คือ ปี2547 หนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่อเงินงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้น 1,749,499 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 778,337 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 80% เดิมหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณก่อนรัฐบาลนี้เข้ามา 100 บาท แต่พอรัฐบาลนี้เข้ามากลายเป็น 180 บาท ที่จะเป็นภาระต่อคนทั้งประเทศต่อไปในอนาคต’ นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับกรณีการขนคนมาร่วมงานมหกรรมเหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้วนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่าไม่มีประโยชน์ที่พรรคไทยรักไทย และรัฐมนตรีบางท่านจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายรับทราบกันดีอยู่แล้ว ซึ่งวิปได้รับทราบข้อมูลว่า มีการระดมคนมาจากเขตเลือกตั้งละ 250 คน โดยใช้สำนักงานเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อน และตั้งงบไว้หัวละประมาณ 1,000 บาท ซึ่งทั้งหมดมี 400เขต ก็จะตกประมาณ 100,000 คน ซึ่งจะใช้เงินเป็นจำนวนถึง 100 ล้านบาท โดยที่สำนักงานเกษตรต้องทดลองจ่ายไปก่อนด้วย ซึ่งเป็นภาระอย่างยิ่งสำหรับข้าราชการในปัจจุบัน ที่สำคัญเป็นการใช้ข้าราชการเป็นกลไกในการนำคนมาหาเสียงให้กับพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ‘ในอดีตที่เราตรวจสอบรัฐบาลก็คือ รัฐบาลไม่ละอายในการกระทำสิ่งที่มิชอบลับหลัง แต่ปัจจุบัน นี้ดูเหมือนทำต่อหน้าโดยไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น เพราะถือว่ามีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นงานที่เมืองทองธานีก็เหมือนกับเงินของประชาชนขนคนมาทัวร์กรุงเทพฯ เพื่อหาเสียงให้กับพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ กกต.ควรเข้าตรวจสอบว่าการจัดงานดังกล่าวถูกหรือผิด และไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด ซึ่งตนคิดว่าถ้าฉลาดก็ฉลาดแกมโกง ไม่ได้ฉลาดปกติเหมือนคนทั่วไปที่เขาฉลาดโดยชอบ และในส่วนที่บอกว่าเอาผิดยาก ตนคิดว่าจะเอาผิดยาก หรือเอาผิดง่าย ถ้าผิดก็ต้องว่ากันตามผิด กกต.ต้องดำเนินการอย่างใกล้ชิด’ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายกฯออกมาระบุว่า ประชาธิปัตย์หาเสียงไม่เคยเสนอนโยบาย แสดงให้เห็นว่าจะต้องเป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต ว่า พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าจะอยู่อีกยืนยาวแน่นอน และอดีตก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่สิ่งที่ควรระวังคือชีวิตของพรรคไทยรักไทย อาจจะไปก่อนนายกฯทักษิณ เหมือนพรรคพลังธรรม หรือว่านายกฯทักษิณ อาจจะไปก่อน พรรคไทยรักไทย ตนคิดว่าก็จะต้องรอดูกันต่อไป วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอนโยบายไปทั่วประเทศอย่างน้อย 5 ภารกิจ ซึ่งถือเป็นนโยบายเบื้องต้นคือ 1.) เรียนฟรี คือฟรีจริงๆตามรัฐธรรมนูญ 2.) จบมามีงานทำ ประกันการว่างงาน 1 ปี 3.) มีนโยบายล้างหนี้ด้วยการทำงานชดใช้ 4.) มีเบี้ยเลี้ยงให้กับคนชราปีละ 12,000 บาท และ 5.) รักษาฟรี คือฟรีแบบมีคุณภาพไม่ใช่ฟรีแบบพาราเซตามอลอย่างเดียว นี่คือนโยบายที่ได้ประกาศอย่างชัดเจน เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูด และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีกลไกเครื่องมือที่จะไปโฆษณาให้ประชาชนได้รับรู้ทุกวันเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยทำ ซึ่งใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้พรรคจะประกาศนโยบายฉบับเต็มออกมาเป็นระยะในโอกาสต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
สำหรับภาระหนี้สินเมื่อเหลียวหลังกลับไปจะเห็นได้ชัดเจน เฉพาะในส่วนของหนี้ภาคประชาชน เวลาที่รัฐบาลชุดนี้พูดก็จะพูดถึงตัวเลขตัวเดียว เพราะไม่กล้าพูดตัวเลขตัวอื่น คือพูดแต่ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ทำให้รายได้ครัวเรือนเพิ่มขึ้นเท่านั้น แต่รัฐบาลไม่กล้าพูดว่ารายจ่ายต่อเดือนเท่าไหร่ เพราะในความเป็นจริงรายจ่ายต่อเดือนเพิ่มขึ้น 2,300 บาท ขณะที่รายได้ที่บอกว่าเพิ่มขึ้น 2,500 บาทต่อเดือนนั้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการไปกู้หนี้ยืมสินมาด้วย ซึ่งนับเป็นรายได้เข้าไปด้วย เพราะฉะนั้นเมื่อหักลกกลบหนี้แล้วครัวเรือนโดยเฉลี่ยของคนไทยเป็นหนี้จนถึงเดือนมิถุนายน 2547 เป็นจำนวนถึง 103,940 บาท ต่อครัวเรือน เพิ่มขึ้นในช่วงระยะเวลาเกือบ 3 ปี ครึ่งที่รัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศถึงครอบครัวละ 35,535 บาท และการเป็นหนี้ก็รุกรามไปทุกหย่อมหญ้า ทุกสาขาอาชีพ ‘ในกลุ่มข้าราชการนั้นปรากฏว่าจนถึงปัจจุบันข้าราชการเป็นหนี้ถึง 82 %ของปริมาณข้าราชการทั้งหมด หมายความว่าข้าราชการ 100 คน เป็น หนี้82 คน และหนี้ต่อครัวเรือนของข้าราชการนั้นปัจจุบันคิดเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงถึง ครัวละ 492,253 บาทต่อครัวเรือน เฉพาะข้าราชการ นี่คือสิ่งที่รัฐบาลไม่พยายามพูดกับประชาชน’ นายจุรินทร์ กล่าว
ส่วนกรณีที่ระบุว่าเหลียวหลังไปจะเห็นไฟใต้รุกโฉน ปธ.วิปฝ่ายค้านกล่าวว่า เป็นปรากฏการที่เกิดขึ้นชัดเจนจากการบริหารของรัฐบาลชุดนี้ เพราะรัฐบาลชุดนี้ล้มเหลวในการแก้ไขปัญหาความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชน ที่สำคัญก็คือทำให้สังคมแตกแยก จนกระทั่งวันนี้ท่านนายกฯไม่กล้าที่จะไปเผชิญหน้าชาว ไม่กล้าที่จะไปประชุมเอเปค โดยรัฐบาลนี้ได้ละเมิดในเรื่องสิทธิมนุษยชนเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดจากกรณีกรือเซะมาจนถึงกรณีตากใบ และการที่ไม่กล้าไปประชุมในงานดังกล่าว เป็นเพราะเชื่อว่าต้องไปเผชิญกับคำถามของชาวโลกที่มองประเทศไทยเป็นลบอยู่ในขณะนี้ ‘ในเรื่องของการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนคิดว่า 4 ปีที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า เมื่อเหลียวหลังกับไปรัฐบาลชุดนี้บริหารประเทศมีแต่เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน มีผลประโยชน์ส่วนตัวซ่อนอยู่ข้างหลัง และมีการนำเงินงบประมาณแผ่นดินมาใช้เพื่อผลประโยชน์ในการหาเสียงของพรรคแกนนำรัฐบาล และไม่มีทีท่าว่าจะลดน้อยถอยลง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องที่จะทำแบบนี้’ ปธ.วิปฝ่ายค้าน กล่าว
นายจุรินทร์ กล่าวต่อว่า ถ้าเราแลไปข้างหน้าโดยติดตามอย่างรู้ทันรัฐบาล จะพบว่าเป็นการจัดฉากทำการตลาด ใช้เงินฟาดหัวเพื่อการหาเสียงของพรรคไทยรักไทย เช่น กรณีที่รัฐบาลประกาศจะขึ้นเงินเดือนให้กับข้าราชการ แต่ว่าจะขึ้นเมื่อปี 2549 กับ 2551 ซึ่งเห็นชัดเจนว่าเป้าหมายในเรื่องนี้คืออะไร หรือ กรณีของการไปสัญญากับเกษตร ในเรื่องของกองทุนฟื้นฟูเกษตรกร ซึ่งความจริงกฏหมายในเรื่องนี้ออกมาตั้งแต่ปลายรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ และจัดเงินให้เสร็จสิ้นแล้ว 1,800 ล้าน บาท แต่ปรากฏกว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลชุดนี้ไม่เคยให้ความสนใจกับการใช้เงินกองทุนฟื้นฟูไปแก้ปัญหาหนี้สินให้เกษตรกร แต่ตรงกันข้ามกับส่งผู้อำนวยการพรรคไทยรักไทยไปเป็นผู้อำนวยการบริหาร และมีการผลาญเงินงบประมาณไปประมาณ 200 ล้านบาท จาก 1,800 ล้าน ยังไม่มีเงินตกไปถึงมือเกษตรกรเลย ซึ่งก็เป็นกรณีของการจัดฉากหาเสียง ที่จะสัญญาตกเขียวเอาคะแนนไปข้างหน้าอีก ในการเลือกตั้งที่จะมาถึง คำถามก็คือถ้ามีความจริงใจก่อนนี้ 4 ปีทำไมไม่ทำ ไม่แก้ปัญหาโดยใช้กองทุนฟื้นฟูให้กับเกษตรกร
‘ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับอบายมุขก็เป็นเรื่องที่ชัดเจน ท่านนายกฯได้สอนเกษตรกรที่ทำเนียบบอกว่าอย่าเล่น หวย แต่รัฐบาลชุดนี้กับขายหวย ซึ่งสิ่งเหล่านี้สวนทางระหว่างคำพูดกับการกระทำ เป็นการชี้ให้เห็นว่า รัฐบาลนี้ไม่ละอายที่จะทำอะไรก็ได้ คือพูดไปวันๆ คิดไปวันๆ และก็สอนคนในทางที่ผิดไปวันๆ แต่ว่าพูดอย่างก็ทำอีกอย่าง และในเรื่องของการปฏิรูปการศึกษาที่บอกว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง เพราะจนถึงปัจจุบันกฎหมายสำคัญ 23 ฉบับของการปฏิรูปการศึกษาเพิ่งบังคับใช้ไปได้ 6 ฉบับ เป็นรัฐบาลมาเกือบ 4 ปีเต็มแล้ว’ นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับกรณีล่าสุดคือการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เมืองทองธานี ตรงนี้ชัดเจน เพราะที่สุดก็คือ การจัดฉากทำการตลาดโฆษณาหาเสียงโครงการโคล้านตัวให้กับพรรคไทยรักไทยนั้นเอง สิ่งเหล่าเป็นการใช้เงินแบบมือเติบ เป็นการใช้เงินแบบประชานิยมลดแลกแจกแถมเดินหน้าลูกเดียว ในที่สุดผลก็นำมาสู่การสร้างหนี้สินเป็นภาระให้ประเทศมากมาย ‘ตัวเลขหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณเมื่อปี 43 ก่อนรัฐบาลนี้เข้ามาตก 971,162 ล้านบาท แต่รัฐบาลชุดนี้มาบริหารประเทศมาจนถึงเดือนสิงหาคมปีนี้ คือ ปี2547 หนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่อเงินงบประมาณแผ่นดินเพิ่มขึ้น 1,749,499 ล้านบาทเพิ่มขึ้นถึง 778,337 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึง 80% เดิมหนี้สาธารณะที่เป็นภาระต่องบประมาณก่อนรัฐบาลนี้เข้ามา 100 บาท แต่พอรัฐบาลนี้เข้ามากลายเป็น 180 บาท ที่จะเป็นภาระต่อคนทั้งประเทศต่อไปในอนาคต’ นายจุรินทร์ กล่าว
สำหรับกรณีการขนคนมาร่วมงานมหกรรมเหลียวหลังแลหน้า จากรากหญ้าสู่รากแก้วนั้น นายจุรินทร์ กล่าวว่าไม่มีประโยชน์ที่พรรคไทยรักไทย และรัฐมนตรีบางท่านจะออกมาปฏิเสธว่าไม่ใช่เรื่องจริง เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นทุกฝ่ายรับทราบกันดีอยู่แล้ว ซึ่งวิปได้รับทราบข้อมูลว่า มีการระดมคนมาจากเขตเลือกตั้งละ 250 คน โดยใช้สำนักงานเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อน และตั้งงบไว้หัวละประมาณ 1,000 บาท ซึ่งทั้งหมดมี 400เขต ก็จะตกประมาณ 100,000 คน ซึ่งจะใช้เงินเป็นจำนวนถึง 100 ล้านบาท โดยที่สำนักงานเกษตรต้องทดลองจ่ายไปก่อนด้วย ซึ่งเป็นภาระอย่างยิ่งสำหรับข้าราชการในปัจจุบัน ที่สำคัญเป็นการใช้ข้าราชการเป็นกลไกในการนำคนมาหาเสียงให้กับพรรคการเมือง ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่สมควรอย่างยิ่ง ‘ในอดีตที่เราตรวจสอบรัฐบาลก็คือ รัฐบาลไม่ละอายในการกระทำสิ่งที่มิชอบลับหลัง แต่ปัจจุบัน นี้ดูเหมือนทำต่อหน้าโดยไม่เกรงใจใครทั้งสิ้น เพราะถือว่ามีอำนาจรัฐอยู่ในมือ เพราะฉะนั้นงานที่เมืองทองธานีก็เหมือนกับเงินของประชาชนขนคนมาทัวร์กรุงเทพฯ เพื่อหาเสียงให้กับพรรคไทยรักไทย ทั้งนี้ กกต.ควรเข้าตรวจสอบว่าการจัดงานดังกล่าวถูกหรือผิด และไม่ควรด่วนสรุปว่าเป็นการกระทำที่ฉลาด ซึ่งตนคิดว่าถ้าฉลาดก็ฉลาดแกมโกง ไม่ได้ฉลาดปกติเหมือนคนทั่วไปที่เขาฉลาดโดยชอบ และในส่วนที่บอกว่าเอาผิดยาก ตนคิดว่าจะเอาผิดยาก หรือเอาผิดง่าย ถ้าผิดก็ต้องว่ากันตามผิด กกต.ต้องดำเนินการอย่างใกล้ชิด’ นายจุรินทร์ กล่าว
นายจุรินทร์ ยังได้กล่าวถึงกรณีที่นายกฯออกมาระบุว่า ประชาธิปัตย์หาเสียงไม่เคยเสนอนโยบาย แสดงให้เห็นว่าจะต้องเป็นฝ่ายค้านไปตลอดชีวิต ว่า พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าจะอยู่อีกยืนยาวแน่นอน และอดีตก็พิสูจน์ให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ แต่สิ่งที่ควรระวังคือชีวิตของพรรคไทยรักไทย อาจจะไปก่อนนายกฯทักษิณ เหมือนพรรคพลังธรรม หรือว่านายกฯทักษิณ อาจจะไปก่อน พรรคไทยรักไทย ตนคิดว่าก็จะต้องรอดูกันต่อไป วันนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้นำเสนอนโยบายไปทั่วประเทศอย่างน้อย 5 ภารกิจ ซึ่งถือเป็นนโยบายเบื้องต้นคือ 1.) เรียนฟรี คือฟรีจริงๆตามรัฐธรรมนูญ 2.) จบมามีงานทำ ประกันการว่างงาน 1 ปี 3.) มีนโยบายล้างหนี้ด้วยการทำงานชดใช้ 4.) มีเบี้ยเลี้ยงให้กับคนชราปีละ 12,000 บาท และ 5.) รักษาฟรี คือฟรีแบบมีคุณภาพไม่ใช่ฟรีแบบพาราเซตามอลอย่างเดียว นี่คือนโยบายที่ได้ประกาศอย่างชัดเจน เพียงแต่สิ่งเหล่านี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีการหยิบยกขึ้นมาพูด และพรรคประชาธิปัตย์ไม่มีกลไกเครื่องมือที่จะไปโฆษณาให้ประชาชนได้รับรู้ทุกวันเหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยทำ ซึ่งใช้สื่อของรัฐเป็นเครื่องมือ ทั้งนี้พรรคจะประกาศนโยบายฉบับเต็มออกมาเป็นระยะในโอกาสต่อไป
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 9 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-