วันนี้( 10 พ.ย. 47 ) เวลา 10.30 น. ณ ที่ทำการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ และ นายสาธิต ปิตุเตชะ รองโฆษกพรรคฯ ได้ยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.วาสนา เพิ่มลาภ ประธานกรรมการการเลือกตั้ง เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบการจัดงานเหลียวหลังแลหน้าจากรากหญ้าสู่รากแก้ว ซึ่งเข้าข่ายการกระทำผิดกฎหมายการเลือกตั้ง
นายองอาจ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าพบประธานกกต. ว่า ตนได้นำหนังสือของท่านหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และข้อมูลต่างๆ มายื่นให้กับประธานกกต.กรณีที่รัฐบาลจัดงานเหลียวหลังแลหน้าจากรากหญ้าสู่รากแก้ว ที่เมืองทองธานี ซึ่งการจัดงานดังกล่าวน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายข้อ ‘พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ได้ดำเนินการหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรมของการเลือกตั้งที่ดี ซึ่งรัฐบาลนี้มีอำนาจมากมายอยู่แล้วควรจะใช้โอกาสนี้เป็นแบบอย่างที่ดีให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุดไม่ใช่พยายามเอารัดเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา และการนำเงินภาษีอากรของพี่น้องประชาชนมาหาเสียงให้พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาล และกล่าวโจมตีพรรคการเมืองอื่นค่อนข้างชัดเจน ’ นายองอาจ กล่าว และกล่าวต่อกว่า การยื่นหนังสือในครั้งนี้ยังได้นำข้อมูลหลักฐานมามอบให้กับกกต. ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาต่อไป
โฆษกพรรคปชป. กล่าวว่า ข้อมูลที่นำมามอบให้ในครั้งนี้ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการนำงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนมาใช้ ซึ่งมีกฎหมายหลายมาตราที่ระบุไว้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถดำเนินการในลักษณะนี้ได้ ‘รัฐบาลไม่ควรใช้การเลี่ยงบาลี พยายามเลี่ยงกฎหมาย และหาประโยชน์ใส่ตัวเอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ในฐานะที่รัฐบาลมีอำนาจรัฐอยู่ค่อนข้างมาก มีเงินมากมายก่ายกองแล้ว จึงไม่ควรที่จะนำเงินภาษีอากรของประชาชน และ อำนาจรัฐมาใช้เอาเปรียบผู้อื่น’โฆษกพรรคปชป.กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการออกมาอ้างว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีผู้สมัครที่ชัดเจนจึงไม่เข้าข่ายที่จะผิดกฎหมาย นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้คงไม่สามารถพูดได้ชัดเจนว่าไม่มีผู้สมัคร ไม่เข้าข่าย ซึ่งตนคิดว่าเวลาที่กกต.ให้ใบเหลือง ใบแดง จะใช้คำว่าเชื่อได้ว่า เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็เชื่อได้ว่า ทางรัฐบาล ทางแกนนำพรรคไทยรักไทยจำนวนหนึ่งจะต้องเป็นผู้สมัครแน่นอน โดยเฉพาะท่านหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน นอกจากท่านจะประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ตนเชื่อว่าท่านคงลงสมัครรับเลือกตั้ง และก็เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป
นายองอาจ กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ว่า การประชุมในครั้งนี้มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง แต่กับมีการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพมากมายในการประชุม ตนคิดว่าเป็นเรี่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ดูเหมือนกับเป็นการประชุมบริษัท เพราะนายกรัฐมนตรีค่อนข้างใช้อำนาจแบบเบ็ตเสร็จในการแสดงความคิดเห็น นอกจากนั้นยังพยายามสั่งการโดยการขู่ตะคอก ซึ่งท่านควรละลึกอยู่เสมอว่าท่านเป็นนายกฯของประเทศ และบริหารราชการแผ่นดินซึ่งมีข้าราชการทำงานในส่วนของภาคปฏิบัติ ข้าราชการเหล่านี้ไม่ใช่ลูกจ้างในบริษัทของท่าน กริยาท่าทางการแสดงออกต่างๆ ควรเป็นไปด้วยความเหมาะสม และการเผยแพร่ออกไปแบบนี้ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม ‘ผมคิดว่าการตำหนิติติงการทำงานควรตำหนิเพื่อหาทางแก้ไขมากกว่าที่จะตำหนิเพื่อระบายอารมณ์ของตนเอง ซึ่งผมคิดว่านายกฯควรปรับปรุงวิธีการบริหารราชการแผ่นดินในลักษณะนี้ด้วย ’ นายองอาจ กล่าว
ด้านนายสาธิต กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ปรากฏหลักฐานที่ควรเชื่อได้ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเข้าข่ายมาตรา 47 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของข้าราชการในการช่วยเหลือพรรคการเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการเข้าพบประธานกกต. ว่า ตนได้นำหนังสือของท่านหัวหน้าพรรค ในฐานะผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และข้อมูลต่างๆ มายื่นให้กับประธานกกต.กรณีที่รัฐบาลจัดงานเหลียวหลังแลหน้าจากรากหญ้าสู่รากแก้ว ที่เมืองทองธานี ซึ่งการจัดงานดังกล่าวน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายเลือกตั้ง และกฎหมายรัฐธรรมนูญหลายข้อ ‘พรรคไทยรักไทยซึ่งเป็นแกนนำรัฐบาลอยู่ในขณะนี้ ได้ดำเนินการหลายอย่างที่ไม่ถูกต้องตามครรลองครองธรรมของการเลือกตั้งที่ดี ซึ่งรัฐบาลนี้มีอำนาจมากมายอยู่แล้วควรจะใช้โอกาสนี้เป็นแบบอย่างที่ดีให้การเลือกตั้งบริสุทธิ์ยุติธรรมมากที่สุดไม่ใช่พยายามเอารัดเอาเปรียบพรรคการเมืองอื่นอยู่ตลอดเวลา และการนำเงินภาษีอากรของพี่น้องประชาชนมาหาเสียงให้พรรคการเมืองที่เป็นแกนนำรัฐบาล และกล่าวโจมตีพรรคการเมืองอื่นค่อนข้างชัดเจน ’ นายองอาจ กล่าว และกล่าวต่อกว่า การยื่นหนังสือในครั้งนี้ยังได้นำข้อมูลหลักฐานมามอบให้กับกกต. ซึ่งคาดว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาต่อไป
โฆษกพรรคปชป. กล่าวว่า ข้อมูลที่นำมามอบให้ในครั้งนี้ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับใช้อำนาจหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของรัฐ และการนำงบประมาณแผ่นดิน ซึ่งเป็นเงินภาษีอากรของประชาชนมาใช้ ซึ่งมีกฎหมายหลายมาตราที่ระบุไว้ว่าเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่สามารถดำเนินการในลักษณะนี้ได้ ‘รัฐบาลไม่ควรใช้การเลี่ยงบาลี พยายามเลี่ยงกฎหมาย และหาประโยชน์ใส่ตัวเอง ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง ในฐานะที่รัฐบาลมีอำนาจรัฐอยู่ค่อนข้างมาก มีเงินมากมายก่ายกองแล้ว จึงไม่ควรที่จะนำเงินภาษีอากรของประชาชน และ อำนาจรัฐมาใช้เอาเปรียบผู้อื่น’โฆษกพรรคปชป.กล่าว
สำหรับกรณีที่มีการออกมาอ้างว่าตอนนี้ยังไม่ได้มีผู้สมัครที่ชัดเจนจึงไม่เข้าข่ายที่จะผิดกฎหมาย นายองอาจ กล่าวว่า ขณะนี้คงไม่สามารถพูดได้ชัดเจนว่าไม่มีผู้สมัคร ไม่เข้าข่าย ซึ่งตนคิดว่าเวลาที่กกต.ให้ใบเหลือง ใบแดง จะใช้คำว่าเชื่อได้ว่า เพราะฉะนั้นคราวนี้ก็เชื่อได้ว่า ทางรัฐบาล ทางแกนนำพรรคไทยรักไทยจำนวนหนึ่งจะต้องเป็นผู้สมัครแน่นอน โดยเฉพาะท่านหัวหน้าพรรคซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน นอกจากท่านจะประกาศไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่ตนเชื่อว่าท่านคงลงสมัครรับเลือกตั้ง และก็เป็นหัวหน้าพรรคไทยรักไทยต่อไป
นายองอาจ กล่าวถึงการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) นอกสถานที่ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน ว่า การประชุมในครั้งนี้มีการเผยแพร่อย่างกว้างขวาง แต่กับมีการใช้คำพูดที่ไม่สุภาพมากมายในการประชุม ตนคิดว่าเป็นเรี่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง ดูเหมือนกับเป็นการประชุมบริษัท เพราะนายกรัฐมนตรีค่อนข้างใช้อำนาจแบบเบ็ตเสร็จในการแสดงความคิดเห็น นอกจากนั้นยังพยายามสั่งการโดยการขู่ตะคอก ซึ่งท่านควรละลึกอยู่เสมอว่าท่านเป็นนายกฯของประเทศ และบริหารราชการแผ่นดินซึ่งมีข้าราชการทำงานในส่วนของภาคปฏิบัติ ข้าราชการเหล่านี้ไม่ใช่ลูกจ้างในบริษัทของท่าน กริยาท่าทางการแสดงออกต่างๆ ควรเป็นไปด้วยความเหมาะสม และการเผยแพร่ออกไปแบบนี้ก็ไม่น่าจะเป็นผลดีต่อการบริหารราชการแผ่นดินโดยรวม ‘ผมคิดว่าการตำหนิติติงการทำงานควรตำหนิเพื่อหาทางแก้ไขมากกว่าที่จะตำหนิเพื่อระบายอารมณ์ของตนเอง ซึ่งผมคิดว่านายกฯควรปรับปรุงวิธีการบริหารราชการแผ่นดินในลักษณะนี้ด้วย ’ นายองอาจ กล่าว
ด้านนายสาธิต กล่าวว่า การจัดงานในครั้งนี้ปรากฏหลักฐานที่ควรเชื่อได้ว่า เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของพรรคการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ซึ่งน่าจะเข้าข่ายมาตรา 47 ของกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ ในเรื่องของการใช้ตำแหน่งหน้าที่ของข้าราชการในการช่วยเหลือพรรคการเมือง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 10 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-