ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ยืนยันค่าเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า เงินบาทในขณะนี้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เหตุผลเนื่องจากเงิน
ดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หากเทียบเงินบาทกับทุกสกุลเงินที่ไทยมีการค้า
ขายโดยรวม พบว่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ไม่แข็งค่าเกินไป โดยยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม และ ธปท.ไม่จำเป็น
ต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดหรือระดับราคา นอกจากนี้ หากมองในด้านความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของ
ไทยจากค่าเงินบาท จะเห็นว่าค่าเงินบาทยังช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ โดยค่าความสามารถใน
การแข่งขันวัดจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ยังอยู่ในระดับเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะค่า
เงินบาทปรับตัวไปพร้อมกับตลาดในทิศทางเดียวกัน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยไม่ลด
ลง ทั้งนี้ ธปท.จะจัดทำตารางแสดงค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลายสกุล เช่น ยูโร เยน ดอลลาร์
สิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อให้เห็นทิศทางค่าเงินบาทที่แท้จริงว่า แม้เงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงิน
ดอลลาร์ สรอ. แต่ภาพรวมต่อทุกสกุลเงินและความสามารถในการแข่งขันของไทยเป็นอย่างไร (กรุงเทพ
ธุรกิจ, โลกวันนี้)
2. การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 4 ประการ เลขาธิการสำนักงานคณะ
กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ขึ้นอยู่กับ
4 ปัจจัยหลักคือ 1)ภาครัฐจะต้องมีการกระตุ้นโดยการออก พธบ.อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตลาดตราสารหนี้เป็นทาง
เลือกให้กับผู้ที่จะลงทุน 2)จะต้องมีการกระตุ้นให้เกิดการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน (ซีเคียวรีไทเซชั่น) มากขึ้น
3)การเพิ่มบทบาทมาร์เกตเมคเกอร์ในตลาดตราสารหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และ 4)จะต้องมีระบบป้องกันความ
เสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ ควรมีองค์กรที่เข้ามาทำหน้าที่ให้ยืมหลักทรัพย์ให้ชัดเจน เช่น ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(ประเทศไทย) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. คาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวลดลงในปี 48 นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัด
ก.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในปี 48 จะมีอัตราลดลงอยู่ที่ 8-9% จากปัจจุบันอยู่
ที่ 12-13% สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการที่ภาคการผลิตและภาคการเกษตรได้
รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยนักวิชาการคาดการณ์ว่า ในปีหน้าจะเกิดปรากฎการณ์เอลนิโน่ ซึ่งจะทำให้ผล
ผลิตทางการเกษตรลดลง และกระทบต่อเนื่องถึงการส่งออกของประเทศ และเชื่อว่าการขยายตัวของภาค
อุตสาหกรรมจะลดลงต่อเนื่องไปอีก 4 ปี โดยในปี 51 จะเลวร้ายสุด เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดเดา
ได้ เช่น การเจรจาการค้าเสรีซึ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในเดือน ต.ค.47 ต่ำกว่าประมาณการ อธิบดีกรม
สรรพสามิต เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้ประจำเดือน ต.ค.47 ว่า สามารถจัดเก็บภาษีได้รวมทั้งสิ้น 22,187 ล.บาท
สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.1% แต่ต่ำกว่าประมาณการ 7.12% โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลการจัด
เก็บต่ำกว่าประมาณการ คือ นโยบายการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์และนโยบายประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ผู้
บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้รถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์, มติชน)
5. ออสเตรเลียเตรียมลงนามรับรองเอฟทีเอกับไทย รัฐมนตรีการค้าออสเตรเลีย เปิดเผยว่า
รัฐบาลออสเตรเลียจะเสนอกฎหมายใหม่ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อรับรองข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย
หลังจากได้ลงนามทำเอฟทีเอร่วมกันเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการกำหนดข้อกฎหมายเพื่อรองรับการทำเอฟที
เอดังกล่าวของออสเตรเลียได้ล่าช้าออกไป เนื่องจากมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย (โพสต์ทูเดย์)
6. กรมสรรพสามิตเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศมีผลวันที่ 1 ธ.ค.47
อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตจะเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับ
อากาศจากเดิมที่ใช้สติ๊กเกอร์มาใช้การปิดแสตมป์ภายในวันที่ 1 ธ.ค.47 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและ
ภาครัฐมากกว่าวิธีเดิม เนื่องจากจะมีส่วนช่วยทำให้ระบบการค้าขายมีความเป็นธรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันการ
ตรวจสอบการเลี่ยงภาษีก็ทำได้ง่ายขึ้น สำหรับข้อจำกัดด้านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการ เนื่องจากต้องสำรอง
เงินเพื่อซื้อแสตมป์ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาแนวทางในการแก้ไข โดยอาจจะใช้วิธีการรับประกันวงเงินจากธนาคาร
(แบงก์การันตี) แทนการใช้เงินสด ซึ่งน่าจะช่วยลดปัญหาในส่วนนี้ได้ (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. เดือน ต.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจาก
เมืองชิคาโก ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 15 พ.ย.47 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของนัก
เศรษฐศาสตร์ว่า คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. ในเดือน ต.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบกับร้อย
ละ 0.2 ในเดือน ก.ย.47 ซึ่งจะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยพลังงานเป็นปัจจัยหลัก
ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่นำเข้าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12
ในขณะที่ราคาอาหารคาดว่าจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยชดเชยและลดแรงกดดัน
จากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมอาหารและต้นทุนด้าน
พลังงาน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน ก.ย.47 (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านในอังกฤษลดลงในอัตราเร็วสุดในรอบ 12 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 16 พ.ย.47
The Royal Institution of Chartered Surveyors หรือ RICS รายงานผลสำรวจความเห็น
ของสมาชิกซึ่งร้อยละ 41 รายงานว่าราคาบ้านลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ต.ค.47 ส่งผล
ให้ดัชนีชี้วัดราคาบ้านลดลงอยู่ในระดับ — 41 ในเดือน ต.ค.47 จากระดับ — 30 ในเดือน ก.ย.47 ต่ำสุดนับ
ตั้งแต่เดือน ธ.ค.35 เมื่อภาวะฟองสบู่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์แตกครั้งล่าสุดและต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาด
ไว้ว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ — 35 ชี้ให้เห็นว่าความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มตั้งแต่ปลายทศวรรษ
1990 ซึ่งส่งผลให้ราคาบ้านโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าและทำให้ 2 ใน 3 ของชาวอังกฤษซึ่งมีบ้านเป็น
ของตนเองมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการกู้เงินมาซื้อบ้านได้สิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยร้อย
ละ 4.75 ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดแล้วหลังจาก ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 5 ครั้งในรอบ 1 ปี
ที่ผ่านมาเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับรายงานจาก Halifax bank ซึ่งเป็นผู้ให้
สินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่ระบุว่าราคาบ้านในเดือน ต.ค.47 ลดลงมากสุดในรอบ 4 ปี และยอดขาย
บ้านลดลงร้อยละ 25 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจนอยู่ในต่ำสุดในรอบ 9 ปี (รอยเตอร์)
3. ยอดการขายปลีกและการลงทุนจากต่างประเทศของจีนในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่
คาดการณ์ไว้ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ 15 พ.ย.47 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า ยอดการขายปลีกของ
จีนในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5
เดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.8 เมื่อเดือน พ.ค.47 และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการไว้ก่อน
หน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 โดยสาเหตุที่ส่งผลให้ยอดการขายปลีกแข็งแกร่งในเดือน ต.ค.ส่วนหนึ่งมาจาก
ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.และ ส.ค.ที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงในรอบเกือบ 7 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้
บริโภคของจีนเมื่อเดือน ต.ค.47 เริ่มลดต่ำลงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.3 อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ซึ่ง
อาจสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อของจีนผ่อนคลายลงได้ ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนใน
เดือน ต.ค.47 ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้
ตัวเลขการลงทุนในปี 47 นับถึงเดือน ต.ค.สูงกว่าตัวเลขรวมของทั้งปี 46 อย่างไรก็ตาม จีนก็ยังคงมีความ
พยายามในการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศลง ซึ่งจากตัวเลขชี้วัดอื่น ๆ ในเดือน ต.ค. เช่น ผล
ผลิตโรงงาน และดัชนีราคาผู้บริโภค มีสัญญาณแสดงว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7
ของโลกนั้นเศรษฐกิจได้เริ่มลดความร้อนแรงลง รวมทั้งมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน
เร็ว ๆ นี้ (รอยเตอร์)
4. เกาหลีใต้คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 47 รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.47 Lee Hun-jai รมว.คลังของเกาหลีใต้ กล่าวว่า การเติบโตทาง
เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงครึ่งหลังปี 47 อาจจะขยายตัวลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 และ 4.7 ต่อปี เทียบ
กับร้อยละ 5.4 ในช่วงครึ่งแรกปี 47 สอดคล้องกับที่เขาเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การส่งออกที่ชะลอตัวและ
ความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ก.ค. — ธ.ค.47
อยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ในขณะที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมตลอดทั้งปี 47 คาดว่าจะถึงระดับ
ร้อยละ 5 ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ โดยรัฐบาลมีแผนที่ใช้เงินกว่าพันล้านดอลลาร์ สรอ. จากเงินบำเหน็จ
บำนาญและกองทุนสาธารณะอื่น ๆ ในโครงการก่อสร้างและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว
ได้อย่างน้อยร้อยละ 5 ในปี 48 ซึ่งถ้าไม่มีแผนงานดังกล่าวที่เป็นแผนเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจใน
ระยะยาว เศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโตเพียงร้อยละ 4 ทั้งนี้ จีดีพีในปี 46 เติบโตเพียงร้อยละ 3.1 สำหรับ
นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลมีวัตถุประสงค์ที่จะดูแลให้เงินวอนมีเสถียรภาพและเหมาะ
สม เพื่อสะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการจัดสมดุลย์ระหว่างการส่งออกและความต้องการบริโภคภายในประเทศ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 พ.ย. 47 15 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.375 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.1761/40.4638 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 647.56/ 30.14 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,300/8,400 8,300/8,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 32.72 33.19 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.59*/14.59 21.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 12 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.ยืนยันค่าเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า เงินบาทในขณะนี้แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. เหตุผลเนื่องจากเงิน
ดอลลาร์ สรอ.อ่อนค่าลงมากที่สุดในรอบ 6 เดือน อย่างไรก็ตาม หากเทียบเงินบาทกับทุกสกุลเงินที่ไทยมีการค้า
ขายโดยรวม พบว่าเงินบาทอยู่ในระดับที่ไม่แข็งค่าเกินไป โดยยังคงอยู่ในระดับที่เหมาะสม และ ธปท.ไม่จำเป็น
ต้องเข้าไปแทรกแซงตลาดหรือระดับราคา นอกจากนี้ หากมองในด้านความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของ
ไทยจากค่าเงินบาท จะเห็นว่าค่าเงินบาทยังช่วยรักษาความสามารถในการแข่งขันไว้ได้ โดยค่าความสามารถใน
การแข่งขันวัดจากอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินบาทที่แท้จริง (REER) ยังอยู่ในระดับเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เพราะค่า
เงินบาทปรับตัวไปพร้อมกับตลาดในทิศทางเดียวกัน ทำให้ความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของไทยไม่ลด
ลง ทั้งนี้ ธปท.จะจัดทำตารางแสดงค่าเงินบาทเทียบกับสกุลเงินหลักๆ หลายสกุล เช่น ยูโร เยน ดอลลาร์
สิงคโปร์ เป็นต้น เพื่อให้เห็นทิศทางค่าเงินบาทที่แท้จริงว่า แม้เงินบาทจะอ่อนค่าหรือแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงิน
ดอลลาร์ สรอ. แต่ภาพรวมต่อทุกสกุลเงินและความสามารถในการแข่งขันของไทยเป็นอย่างไร (กรุงเทพ
ธุรกิจ, โลกวันนี้)
2. การพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทยขึ้นอยู่กับปัจจัยหลัก 4 ประการ เลขาธิการสำนักงานคณะ
กรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า การที่จะพัฒนาตลาดตราสารหนี้ขึ้นอยู่กับ
4 ปัจจัยหลักคือ 1)ภาครัฐจะต้องมีการกระตุ้นโดยการออก พธบ.อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ตลาดตราสารหนี้เป็นทาง
เลือกให้กับผู้ที่จะลงทุน 2)จะต้องมีการกระตุ้นให้เกิดการแปลงสินทรัพย์ให้เป็นทุน (ซีเคียวรีไทเซชั่น) มากขึ้น
3)การเพิ่มบทบาทมาร์เกตเมคเกอร์ในตลาดตราสารหนี้เพื่อเพิ่มสภาพคล่อง และ 4)จะต้องมีระบบป้องกันความ
เสี่ยงในการลงทุน นอกจากนี้ ควรมีองค์กรที่เข้ามาทำหน้าที่ให้ยืมหลักทรัพย์ให้ชัดเจน เช่น ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์
(ประเทศไทย) เพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นในตลาดตราสารหนี้ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. คาดว่าภาคอุตสาหกรรมจะขยายตัวลดลงในปี 48 นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช ปลัด
ก.อุตสาหกรรม เปิดเผยว่า การขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมในปี 48 จะมีอัตราลดลงอยู่ที่ 8-9% จากปัจจุบันอยู่
ที่ 12-13% สอดคล้องตามภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง ประกอบกับการที่ภาคการผลิตและภาคการเกษตรได้
รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ โดยนักวิชาการคาดการณ์ว่า ในปีหน้าจะเกิดปรากฎการณ์เอลนิโน่ ซึ่งจะทำให้ผล
ผลิตทางการเกษตรลดลง และกระทบต่อเนื่องถึงการส่งออกของประเทศ และเชื่อว่าการขยายตัวของภาค
อุตสาหกรรมจะลดลงต่อเนื่องไปอีก 4 ปี โดยในปี 51 จะเลวร้ายสุด เนื่องจากปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถคาดเดา
ได้ เช่น การเจรจาการค้าเสรีซึ่งมีความเข้มข้นมากขึ้น เป็นต้น (กรุงเทพธุรกิจ, โพสต์ทูเดย์)
4. ผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในเดือน ต.ค.47 ต่ำกว่าประมาณการ อธิบดีกรม
สรรพสามิต เปิดเผยผลการจัดเก็บรายได้ประจำเดือน ต.ค.47 ว่า สามารถจัดเก็บภาษีได้รวมทั้งสิ้น 22,187 ล.บาท
สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 2.1% แต่ต่ำกว่าประมาณการ 7.12% โดยสาเหตุหลักที่ทำให้ผลการจัด
เก็บต่ำกว่าประมาณการ คือ นโยบายการปรับโครงสร้างภาษีรถยนต์และนโยบายประหยัดพลังงาน ส่งผลให้ผู้
บริโภคปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหันมาใช้รถยนต์ขนาดเล็กเพิ่มมากขึ้น (กรุงเทพธุรกิจ, ไทยโพสต์, มติชน)
5. ออสเตรเลียเตรียมลงนามรับรองเอฟทีเอกับไทย รัฐมนตรีการค้าออสเตรเลีย เปิดเผยว่า
รัฐบาลออสเตรเลียจะเสนอกฎหมายใหม่ภายในสัปดาห์นี้ เพื่อรับรองข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) กับไทย
หลังจากได้ลงนามทำเอฟทีเอร่วมกันเมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งการกำหนดข้อกฎหมายเพื่อรองรับการทำเอฟที
เอดังกล่าวของออสเตรเลียได้ล่าช้าออกไป เนื่องจากมีการเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย (โพสต์ทูเดย์)
6. กรมสรรพสามิตเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับอากาศมีผลวันที่ 1 ธ.ค.47
อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า กรมสรรพสามิตจะเปลี่ยนระบบการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตเครื่องปรับ
อากาศจากเดิมที่ใช้สติ๊กเกอร์มาใช้การปิดแสตมป์ภายในวันที่ 1 ธ.ค.47 นี้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและ
ภาครัฐมากกว่าวิธีเดิม เนื่องจากจะมีส่วนช่วยทำให้ระบบการค้าขายมีความเป็นธรรมมากขึ้น ขณะเดียวกันการ
ตรวจสอบการเลี่ยงภาษีก็ทำได้ง่ายขึ้น สำหรับข้อจำกัดด้านต้นทุนที่สูงขึ้นของผู้ประกอบการ เนื่องจากต้องสำรอง
เงินเพื่อซื้อแสตมป์ ขณะนี้อยู่ระหว่างหาแนวทางในการแก้ไข โดยอาจจะใช้วิธีการรับประกันวงเงินจากธนาคาร
(แบงก์การันตี) แทนการใช้เงินสด ซึ่งน่าจะช่วยลดปัญหาในส่วนนี้ได้ (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. เดือน ต.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 รายงานจาก
เมืองชิคาโก ประเทศ สรอ. เมื่อวันที่ 15 พ.ย.47 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานผลสำรวจความคิดเห็นของนัก
เศรษฐศาสตร์ว่า คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของ สรอ. ในเดือน ต.ค.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบกับร้อย
ละ 0.2 ในเดือน ก.ย.47 ซึ่งจะทำให้ดัชนีราคาผู้บริโภคเทียบต่อปีเพิ่มขึ้นร้อยละ 3 โดยพลังงานเป็นปัจจัยหลัก
ที่ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือนนี้ เนื่องจากราคาน้ำมันดิบที่นำเข้าเพิ่มสูงขึ้นถึงร้อยละ 12
ในขณะที่ราคาอาหารคาดว่าจะเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยในเดือน ต.ค.นี้ ซึ่งจะช่วยชดเชยและลดแรงกดดัน
จากราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นค่อนข้างมาก ในขณะที่ ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ไม่รวมอาหารและต้นทุนด้าน
พลังงาน เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 0.1 เทียบกับที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 ในเดือน ก.ย.47 (รอยเตอร์)
2. ราคาบ้านในอังกฤษลดลงในอัตราเร็วสุดในรอบ 12 ปี รายงานจากลอนดอน เมื่อ 16 พ.ย.47
The Royal Institution of Chartered Surveyors หรือ RICS รายงานผลสำรวจความเห็น
ของสมาชิกซึ่งร้อยละ 41 รายงานว่าราคาบ้านลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้นในช่วง 3 เดือนสิ้นสุดเดือน ต.ค.47 ส่งผล
ให้ดัชนีชี้วัดราคาบ้านลดลงอยู่ในระดับ — 41 ในเดือน ต.ค.47 จากระดับ — 30 ในเดือน ก.ย.47 ต่ำสุดนับ
ตั้งแต่เดือน ธ.ค.35 เมื่อภาวะฟองสบู่ของตลาดอสังหาริมทรัพย์แตกครั้งล่าสุดและต่ำกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาด
ไว้ว่าจะลดลงอยู่ที่ระดับ — 35 ชี้ให้เห็นว่าความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่เริ่มตั้งแต่ปลายทศวรรษ
1990 ซึ่งส่งผลให้ราคาบ้านโดยเฉลี่ยเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าและทำให้ 2 ใน 3 ของชาวอังกฤษซึ่งมีบ้านเป็น
ของตนเองมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นจากการกู้เงินมาซื้อบ้านได้สิ้นสุดลงแล้ว นอกจากนี้ยังเป็นสัญญาณว่าอัตราดอกเบี้ยร้อย
ละ 4.75 ในปัจจุบันอยู่ในระดับสูงสุดแล้วหลังจาก ธ.กลางอังกฤษขึ้นอัตราดอกเบี้ยติดต่อกัน 5 ครั้งในรอบ 1 ปี
ที่ผ่านมาเพื่อลดความร้อนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ เช่นเดียวกับรายงานจาก Halifax bank ซึ่งเป็นผู้ให้
สินเชื่อเพื่ออสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ที่ระบุว่าราคาบ้านในเดือน ต.ค.47 ลดลงมากสุดในรอบ 4 ปี และยอดขาย
บ้านลดลงร้อยละ 25 ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาจนอยู่ในต่ำสุดในรอบ 9 ปี (รอยเตอร์)
3. ยอดการขายปลีกและการลงทุนจากต่างประเทศของจีนในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นมากกว่าที่
คาดการณ์ไว้ รายงานจากปักกิ่ง เมื่อ 15 พ.ย.47 สำนักงานสถิติแห่งชาติจีน เปิดเผยว่า ยอดการขายปลีกของ
จีนในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 14.2 เทียบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 5
เดือน หลังจากที่เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 17.8 เมื่อเดือน พ.ค.47 และสูงกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์ประมาณการไว้ก่อน
หน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.3 โดยสาเหตุที่ส่งผลให้ยอดการขายปลีกแข็งแกร่งในเดือน ต.ค.ส่วนหนึ่งมาจาก
ภาวะเงินเฟ้อในเดือน ก.ค.และ ส.ค.ที่ผ่านมาอยู่ในระดับสูงในรอบเกือบ 7 ปี แต่อย่างไรก็ตาม ดัชนีราคาผู้
บริโภคของจีนเมื่อเดือน ต.ค.47 เริ่มลดต่ำลงเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 4.3 อันเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือน ซึ่ง
อาจสนับสนุนให้อัตราเงินเฟ้อของจีนผ่อนคลายลงได้ ขณะเดียวกัน การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศของจีนใน
เดือน ต.ค.47 ก็เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้เช่นกัน โดยเพิ่มขึ้นมากกว่าร้อยละ 50 จากปีก่อนหน้า ส่งผลให้
ตัวเลขการลงทุนในปี 47 นับถึงเดือน ต.ค.สูงกว่าตัวเลขรวมของทั้งปี 46 อย่างไรก็ตาม จีนก็ยังคงมีความ
พยายามในการลดความร้อนแรงของเศรษฐกิจในประเทศลง ซึ่งจากตัวเลขชี้วัดอื่น ๆ ในเดือน ต.ค. เช่น ผล
ผลิตโรงงาน และดัชนีราคาผู้บริโภค มีสัญญาณแสดงว่า จีนซึ่งเป็นประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 7
ของโลกนั้นเศรษฐกิจได้เริ่มลดความร้อนแรงลง รวมทั้งมีแนวโน้มว่ารัฐบาลจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายใน
เร็ว ๆ นี้ (รอยเตอร์)
4. เกาหลีใต้คาดว่าจีดีพีจะขยายตัวลดลงในช่วงครึ่งหลังปี 47 รายงานจากกรุงโซล ประเทศ
เกาหลีใต้ เมื่อวันที่ 15 พ.ย.47 Lee Hun-jai รมว.คลังของเกาหลีใต้ กล่าวว่า การเติบโตทาง
เศรษฐกิจของเกาหลีใต้ในช่วงครึ่งหลังปี 47 อาจจะขยายตัวลดลงอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.5 และ 4.7 ต่อปี เทียบ
กับร้อยละ 5.4 ในช่วงครึ่งแรกปี 47 สอดคล้องกับที่เขาเคยคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่า การส่งออกที่ชะลอตัวและ
ความต้องการบริโภคภายในประเทศที่ลดลงจะส่งผลให้การเติบโตทางเศรษฐกิจในช่วงเดือน ก.ค. — ธ.ค.47
อยู่ที่ระดับต่ำกว่าร้อยละ 5 ต่อปี ในขณะที่ การเติบโตทางเศรษฐกิจโดยรวมตลอดทั้งปี 47 คาดว่าจะถึงระดับ
ร้อยละ 5 ตามที่รัฐบาลคาดการณ์ไว้ โดยรัฐบาลมีแผนที่ใช้เงินกว่าพันล้านดอลลาร์ สรอ. จากเงินบำเหน็จ
บำนาญและกองทุนสาธารณะอื่น ๆ ในโครงการก่อสร้างและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อช่วยให้เศรษฐกิจขยายตัว
ได้อย่างน้อยร้อยละ 5 ในปี 48 ซึ่งถ้าไม่มีแผนงานดังกล่าวที่เป็นแผนเพิ่มศักยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจใน
ระยะยาว เศรษฐกิจในปีหน้าจะเติบโตเพียงร้อยละ 4 ทั้งนี้ จีดีพีในปี 46 เติบโตเพียงร้อยละ 3.1 สำหรับ
นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ รัฐบาลมีวัตถุประสงค์ที่จะดูแลให้เงินวอนมีเสถียรภาพและเหมาะ
สม เพื่อสะท้อนพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการจัดสมดุลย์ระหว่างการส่งออกและความต้องการบริโภคภายในประเทศ
(รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 16 พ.ย. 47 15 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.375 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.1761/40.4638 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 647.56/ 30.14 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,300/8,400 8,300/8,400 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 32.72 33.19 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.59*/14.59 21.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 12 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-