นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางคลื่นวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 ถึงกระแสพระราชดำรัสของสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถที่ทรงห่วงใยต่อสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้ ว่า สิ่งสำคัญในวันนี้คือ ทุกฝ่ายต้องน้อมรับพระราชเสาวนีย์ โดยทุกคนจะต้องสามัคคี และอยู่ร่วมกันอย่างสันติ แม้จะมีความแตกต่างกันในเรื่องของวัฒนธรรม ศาสนา หรือ ความหลากหลายต่างๆ ซึ่งหลายฝ่ายพยายามดำเนินการในเรื่องนี้มาโดยตลอด ‘ประชาชนควรสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณนอกเหนือจากพระราชเสาวนีย์ที่ได้พระราชทานให้ เพราะไม่ใช่เฉพาะในช่วง 1-2 เดือน ที่ทรงเหน็ดเหนื่อย แต่พระองค์ท่าน และ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงเหน็ดเหนื่อยมาหลายสิบปี เพื่อให้เกิดความสงบสุขในบ้านเมืองของเรา สิ่งสำคัญที่สุดคือการน้อมรับ และร่วมมือกันสร้างบรรยากาศเพื่อที่จะให้เกิดสันติขึ้น ‘ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
พร้อมกันนี้นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังนี้
1. การสร้างบรรยากาศ คือ ทุกฝ่ายต้องอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง ไม่หวาดกลัว หรือ ระแวงซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ ไทยมุสลิม เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมถึงคนนอกพื้นที่ก็ต้องพยามลดการกระทำที่จะไปเติมเชื้อของปัญหาความขัดแย้งด้วย
2. กล้าเผชิญกับความจริง ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ซึ่งมีคณะกรรมการประกอบอยู่ ตรงนี้ตนเข้าใจว่าเป็นภาระที่หนัก แต่อยากให้เร่งทำงาน เพราะยิ่งปล่อยเวลาออกไป การแสดงความคิดเห็น การนำเสนอข้อมูลต่างฯ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ 3 อาศัยเงื่อนไขของการปรับโครงสร้างดำเนินการสร้างความสงบ กรณีการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนักวิชาการ และมีการเสนอแนวความคิดในเรื่องกรรมการสมานฉันท์ ถือว่าเป็นรูปธรรมที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เพราะแนวคิดดังกล่าวเป็นการปรับและวางรากฐานสำหรับอนาคต รัฐบาลควรเอาใจใส่ในเรื่องนี้มากกว่าการพับนก เพราะถ้าทำได้ก็เป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น
ส่วนกรณีที่พรรคต้นตระกูลไทย ยุบรวมกับพรรคชาติไทยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การยุบรวมพรรคเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งพรรคไม่เคยประมาทพรรคชาติไทยและไม่ลืมว่าพรรคชาติไทยมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เหมือนกัน และพรรคชาติไทยอาจต้องการที่จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากสนามการเลือกตั้งกทม. เพราะฉะนั้นถ้าคุณบรรหารประเมินว่าการยุบรวมพรรคเป็นกลยุทธหนึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ ต่อข้อถามที่ว่าพรรคปชป.รู้สึกหวั่นไหวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ คุ้นเคยกับการแข่งขันมาตลอด ซึ่งหลายฝ่ายต่างต้องการที่จะเสนอแนวทาง หรือนโยบายของตนเอง แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน สำหรับการยุบรวมของทั้ง 2 พรรค จะทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น ตนไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้ เพราะยังไม่ทราบว่าจะมีการนำเสนอในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรอดูต่อไป
เมื่อถามว่าความแตกต่างระหว่างสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กับสนามเลือกตั้งส.ส. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แตกต่างกันแน่นอน โดยจะเห็นได้จากกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ได้รับคะแนนเสียงกว่า 1,000,000 คะแนน แต่พรรคประชากรไทยกลับไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งใหญ่ ตนคิดว่าประชาชนเข้าใจเงื่อนไขของการเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นอย่างดี ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด ‘สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะไม่ใช้อำนาจของผู้ว่าฯกทม.เอาเปรียบทางการเมือง และพรรคก็เข้าใจดีว่าการเลือกตั้งส.ส.ประเด็นของการตัดสินใจจะหมุนมาสู่ภาระหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรชุดต่อไป ตรงนี้คือสิ่งที่พรรคต้องนำเสนอ และต้องพิสูจน์ตัวเองต่อพี่น้องประชาชน ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับกรณีที่ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระบุผลสำรวจความพึงพอใจต่อบริการของกรุงเทพมหานคร และความเชื่อมั่นในตัวผู้บริหาร กทม. ของประชาชนกรุงเทพฯ อยู่ในระดับปานกลาง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวเป็นนโยบายของคุณอภิรักษ์ที่ต้องการให้มีการประเมิน และสำรวจการทำงานโดยสถาบันการศึกษา เพราะฉะนั้นถือว่าผลการสำรวจนี้เป็นการทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมิน ‘ในส่วนของความพึงพอใจมากที่สุด คงจะเป็นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน เพราะมีการเดินหน้าทำตามคำมั่นสัญญาเรื่องไฟสว่าง ซึ่งค่อนข้างทำได้รวดเร็วและตรงกับนโยบาย แต่มีอีกหลายเรื่องที่ประชาชนคาดหวังไว้สูงมาก คือในเรื่องของการจราจร และอีกหลายปัญหา ซึ่งบางเรื่องก็ได้ดำเนินการอยู่ และบางโครงการก็ต้องใช้เวลา ตรงนี้เราจะทำให้ประชาชนพอใจอย่างเต็มใจ ไม่ใช่ครึ่งใจ ซึ่งคิดว่าข้อมูลจากประชาชนจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของผู้ว่าฯกทม.’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับกรณีที่ไปร่วมงาน set in the city นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า งานดังกล่าวถือว่าดี เพราะมีความพยายามที่จะใช้โอกาสของงานประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์ของตลาดทุน และยังได้มีการกระตุ้นประชาชนว่า ไม่ใช่ไปเล่นหุ้นเพื่อเกร็งกำไร แต่นำเสนอให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหลักสำคัญ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เพราะเราต้องการให้การระดมแหล่งลงทุนมีความหลากลาย โดยในอดีตเราพึ่งแต่ธนาคาร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็มี 2 ส่วนที่พรรคได้ตั้งข้อสังเกตไป คือ
1. ขณะนี้มีความห่วงใย หรือความเสี่ยงที่คนมองเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องของปัญหาไข้หวัดนกบ้าง ปัญหาภาคใต้ หลายส่วนจึงต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายของรัฐบาล
2. ปัญหาของผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมันกระทบต่อแรงจูงใจของนักลงทุนที่เป็นนักลงุทนรายย่อย หรือนักลงทุนที่ไม่มีส่วนได้เสียกับอำนาจทางการเมือง ‘ตัวเลขที่น่ากลัวคือ ตัวเลขของคนในรัฐบาลมีส่วนได้เสียอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 40 ซึ่งต้องพยายามที่จะลดในเรื่องนี้ เพื่อเกิดความโปร่งใส และความมั่นใจในการลงทุนกลับมา ‘ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
พร้อมกันนี้นายอภิสิทธิ์ ได้เสนอแนวทางในการแก้ไขปัญหาดังนี้
1. การสร้างบรรยากาศ คือ ทุกฝ่ายต้องอยู่ด้วยกันอย่างปรองดอง ไม่หวาดกลัว หรือ ระแวงซึ่งกันและกัน ไม่ว่าจะเป็นไทยพุทธ ไทยมุสลิม เจ้าหน้าที่ ทหาร ตำรวจ พลเรือน รวมถึงคนนอกพื้นที่ก็ต้องพยามลดการกระทำที่จะไปเติมเชื้อของปัญหาความขัดแย้งด้วย
2. กล้าเผชิญกับความจริง ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้นถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาล ซึ่งมีคณะกรรมการประกอบอยู่ ตรงนี้ตนเข้าใจว่าเป็นภาระที่หนัก แต่อยากให้เร่งทำงาน เพราะยิ่งปล่อยเวลาออกไป การแสดงความคิดเห็น การนำเสนอข้อมูลต่างฯ อาจทำให้เกิดความขัดแย้งได้ 3 อาศัยเงื่อนไขของการปรับโครงสร้างดำเนินการสร้างความสงบ กรณีการหารือระหว่างนายกรัฐมนตรีกับนักวิชาการ และมีการเสนอแนวความคิดในเรื่องกรรมการสมานฉันท์ ถือว่าเป็นรูปธรรมที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ เพราะแนวคิดดังกล่าวเป็นการปรับและวางรากฐานสำหรับอนาคต รัฐบาลควรเอาใจใส่ในเรื่องนี้มากกว่าการพับนก เพราะถ้าทำได้ก็เป็นโอกาสพลิกสถานการณ์ให้ดีขึ้น
ส่วนกรณีที่พรรคต้นตระกูลไทย ยุบรวมกับพรรคชาติไทยนายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า การยุบรวมพรรคเป็นเรื่องปกติ และเป็นสิทธิ์ที่สามารถทำได้ อีกทั้งยังเป็นทางเลือกให้กับประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งพรรคไม่เคยประมาทพรรคชาติไทยและไม่ลืมว่าพรรคชาติไทยมีสมาชิกสภากรุงเทพมหานคร (สก.) เหมือนกัน และพรรคชาติไทยอาจต้องการที่จะแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจากสนามการเลือกตั้งกทม. เพราะฉะนั้นถ้าคุณบรรหารประเมินว่าการยุบรวมพรรคเป็นกลยุทธหนึ่งก็เป็นสิทธิ์ที่จะทำได้ ต่อข้อถามที่ว่าพรรคปชป.รู้สึกหวั่นไหวหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ คุ้นเคยกับการแข่งขันมาตลอด ซึ่งหลายฝ่ายต่างต้องการที่จะเสนอแนวทาง หรือนโยบายของตนเอง แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่ที่ประชาชนเป็นผู้ตัดสิน สำหรับการยุบรวมของทั้ง 2 พรรค จะทำให้ภาพลักษณ์ของพรรคชาติไทยเปลี่ยนแปลงหรือไม่นั้น ตนไม่ขอวิจารณ์ในเรื่องนี้ เพราะยังไม่ทราบว่าจะมีการนำเสนอในรูปแบบใด เพราะฉะนั้นเป็นเรื่องที่ต้องรอดูต่อไป
เมื่อถามว่าความแตกต่างระหว่างสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กับสนามเลือกตั้งส.ส. นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า แตกต่างกันแน่นอน โดยจะเห็นได้จากกรณีของนายสมัคร สุนทรเวช ที่ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ได้รับคะแนนเสียงกว่า 1,000,000 คะแนน แต่พรรคประชากรไทยกลับไม่ประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งใหญ่ ตนคิดว่าประชาชนเข้าใจเงื่อนไขของการเลือกตั้งแต่ละครั้งเป็นอย่างดี ซึ่งอาจมีความเชื่อมโยงกันบ้าง แต่คงไม่ใช่ทั้งหมด ‘สำหรับการเลือกตั้ง ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร พรรคประชาธิปัตย์ยืนยันว่าจะไม่ใช้อำนาจของผู้ว่าฯกทม.เอาเปรียบทางการเมือง และพรรคก็เข้าใจดีว่าการเลือกตั้งส.ส.ประเด็นของการตัดสินใจจะหมุนมาสู่ภาระหน้าที่ของสภาผู้แทนราษฎรชุดต่อไป ตรงนี้คือสิ่งที่พรรคต้องนำเสนอ และต้องพิสูจน์ตัวเองต่อพี่น้องประชาชน ’ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
สำหรับกรณีที่ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ ระบุผลสำรวจความพึงพอใจต่อบริการของกรุงเทพมหานคร และความเชื่อมั่นในตัวผู้บริหาร กทม. ของประชาชนกรุงเทพฯ อยู่ในระดับปานกลาง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ผลสำรวจดังกล่าวเป็นนโยบายของคุณอภิรักษ์ที่ต้องการให้มีการประเมิน และสำรวจการทำงานโดยสถาบันการศึกษา เพราะฉะนั้นถือว่าผลการสำรวจนี้เป็นการทำตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้ ซึ่งเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการประเมิน ‘ในส่วนของความพึงพอใจมากที่สุด คงจะเป็นเรื่องความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สิน เพราะมีการเดินหน้าทำตามคำมั่นสัญญาเรื่องไฟสว่าง ซึ่งค่อนข้างทำได้รวดเร็วและตรงกับนโยบาย แต่มีอีกหลายเรื่องที่ประชาชนคาดหวังไว้สูงมาก คือในเรื่องของการจราจร และอีกหลายปัญหา ซึ่งบางเรื่องก็ได้ดำเนินการอยู่ และบางโครงการก็ต้องใช้เวลา ตรงนี้เราจะทำให้ประชาชนพอใจอย่างเต็มใจ ไม่ใช่ครึ่งใจ ซึ่งคิดว่าข้อมูลจากประชาชนจะเป็นประโยชน์ต่อการทำงานของผู้ว่าฯกทม.’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
สำหรับกรณีที่ไปร่วมงาน set in the city นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า งานดังกล่าวถือว่าดี เพราะมีความพยายามที่จะใช้โอกาสของงานประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์ของตลาดทุน และยังได้มีการกระตุ้นประชาชนว่า ไม่ใช่ไปเล่นหุ้นเพื่อเกร็งกำไร แต่นำเสนอให้ประชาชนร่วมเป็นเจ้าของกิจการ ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหลักสำคัญ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์ มองว่าตลาดทุนมีบทบาทสำคัญในระบบเศรษฐกิจ เพราะเราต้องการให้การระดมแหล่งลงทุนมีความหลากลาย โดยในอดีตเราพึ่งแต่ธนาคาร ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์ให้ความสำคัญในเรื่องนี้เป็นอย่างมาก แต่ก็มี 2 ส่วนที่พรรคได้ตั้งข้อสังเกตไป คือ
1. ขณะนี้มีความห่วงใย หรือความเสี่ยงที่คนมองเกี่ยวกับการลงทุน ซึ่งเป็นเรื่องของปัญหาไข้หวัดนกบ้าง ปัญหาภาคใต้ หลายส่วนจึงต้องยอมรับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมาจากนโยบายของรัฐบาล
2. ปัญหาของผลประโยชน์ทับซ้อน เพราะมันกระทบต่อแรงจูงใจของนักลงทุนที่เป็นนักลงุทนรายย่อย หรือนักลงทุนที่ไม่มีส่วนได้เสียกับอำนาจทางการเมือง ‘ตัวเลขที่น่ากลัวคือ ตัวเลขของคนในรัฐบาลมีส่วนได้เสียอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ถึงร้อยละ 40 ซึ่งต้องพยายามที่จะลดในเรื่องนี้ เพื่อเกิดความโปร่งใส และความมั่นใจในการลงทุนกลับมา ‘ นายอภิสิทธิ์ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 17 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-