ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ธปท.ติดตามภาวะเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงินบาท
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.กำลังจับตาการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นจาก
ต่างประเทศ ที่เริ่มเข้ามามากขึ้นหลังจากการอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งอาจทำให้ค่า
เงินบาทผันผวนและเกิดการเก็งกำไรจากค่าเงินบาทได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การไหลเข้าออกของเงินยังมี
ไม่มากนัก โดยเงินที่เข้ามาในประเทศไทยนั้นเป็นการไหลเข้าผ่าน ตลาดทุน ตลาด พธบ. และเงินฝากในบัญชี
ซึ่งสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องมีการดำเนินมาตรการใดๆ แต่หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้น ธปท.ก็พร้อมที่จะดำเนิน
การทันที นอกจากนี้ ธปท.จะคอยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อความสามารถใน
การแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังขยายตัวในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ไทยยังขยายตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง หลังจากที่ตื่นตัวอย่างจริงจัง
ในปี 45 จากแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐ ทั้งการลดภาษีการโอนที่ดิน การออกโครงการการให้สินเชื่อ
เพื่อซื้อบ้านสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ โครงการบ้านเอื้ออาทรของธนาคารอาคารสงเคราะห์และ
ธนาคารออมสิน โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 47 นี้แม้จะไม่ขยายตัวอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกับปี 46 แต่เป็น
การเติบโตที่มีความสมดุล และมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะเกิดจากความต้องการซื้อจริง ไม่ใช่ความต้องการซื้อ
เทียมหรือการเก็งกำไร แต่ปัญหาที่จะต้องดูแลคือทำอย่างไรที่จะคงความต้องการซื้อบ้านและสินค้าในตลาดให้ยังคง
สมดุลต่อไป สำหรับในปี 48 คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังขยายตัวได้ทั้งด้านความต้องการซื้อและสินค้า
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยยอมรับว่า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากอยู่ในระดับต่ำมานานมากแล้ว ซึ่งย่อมส่งผลกระทบ
ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง อย่างไรก็ตาม ธปท.จะควบคุมไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
(โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
3. 90% ของบริษัทจดทะเบียนใน ต.ล.ท.มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี
เพิ่มขึ้น 50% และ 39% ตามลำดับ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงาน
ประจำไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด 30 ก.ย.47 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่จำนวน
434 บริษัทหรือ 90% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดว่า มีกำไรสุทธิรวม 125,560 ล.บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 83,430 ล.บาท หรือเพิ่มขึ้น 50% ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิรวมกัน
314,874 ล.บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 226,814 ล.บาท หรือเพิ่มขึ้น 39% ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม
ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง
(กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ข่าวสด)
4. บีโอไอกำหนดแนวทางส่งเสริมการลงทุนโดยการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้บีโอไอกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการ
ใช้กลไกในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของภาครัฐบาล ที่ขณะนี้กำลังร่วมมือในการ
ศึกษาลงลึกกับ ก.อุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้
ไทยวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองให้มากขึ้น จากอดีตที่การลงทุนจะเกิดจากการมองเห็นโอกาส
ทางธุรกิจของนักลงทุนเองแล้วจึงมาขอส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ จากการหารือเบื้องต้นกับ ก.อุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่จะต้องมุ่งเน้นเป็นเชิงนโยบายที่จะทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ 1)อุตสาหกรรม
เทคโนโลยีขั้นสูง 2)กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน 3)อุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญที่จะทดแทนการนำ
เข้าจากต่างประเทศ และ 4)อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับระบบการขนส่งหรือลอจิสติกส์ของประเทศ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ต.ค.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 18 พ.ย.47 The Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.
ในเดือน ต.ค.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ 115.1 หรือลดลงร้อยละ 0.3 นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
รวมทั้งลดลงเป็นจำนวนร้อยละเดียวกันกับเดือน ส.ค.และ ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การลดลงของดัชนีในเดือน
ต.ค.นั้น มีสาเหตุจากตัวเลขชี้บ่งหลายประการที่ลดลงอย่างชัดเจน เช่น ความคาดหวังของผู้บริโภค ปริมาณเงิน
และช่วงห่างอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามดัชนีพ้องภาวะเศรษฐกิจ (The coincident index)
ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของ สรอ. ในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
ส่วนดัชนีตามภาวะเศรษฐกิจ (The lagging index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอดีตในเดือน
ต.ค.ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ การลดลงของดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจติดต่อกัน 5 เดือนนั้น ไม่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์
กังวลเท่าใดนัก เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจของ สรอ. เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่าง
แข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจของเขตยูโรยังทรงตัว แม้ค่าเงินยูโรจะแข็งตัวขึ้น รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต
ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 18 พ.ย.47 Axel Weber ผู้ว่าการ ธ.กลางของเยอรมนี และสมาชิกสภาผู้ว่าการ
ธ.กลางสหภาพยุโรป กล่าวว่า เศรษฐกิจของเขตยูโรยังทรงตัว แม้ว่าในระยะหลังนี้ค่าเงินยูโรจะแข็งตัวขึ้นซึ่ง
เป็นสิ่งที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ต้องการ แต่ก็ยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะกระทบต่อการส่งออก
ที่เป็นปัจจัยหลักในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเขตยูโร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ
ฟื้นตัวและเติบโตยังคงมีอยู่ ส่วนการที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวลดลงจะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่
ธ.กลางสหภาพยุโรปตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปี 48 โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 47 จะ
อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.2 และร้อยละ 1.8 ในปี 48 ส่วนการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. นั้นมีความ
เป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่งที่ค่าเงินจะลดลงต่อไปอีกในอนาคตขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวด้านนโยบายการเงินของ สรอ.
ที่ส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยในการสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าอาจจะเห็นเศรษฐกิจของ สรอ. เติบโต
สูงกว่าของสหภาพยุโรปในระยะกลางถึงระยะยาว (รอยเตอร์)
3. GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3 ที่ใช้สูตรการคำนวณใหม่ลดลง รายงานจากโตเกียวเมื่อ
วันที่ 18 พ.ย. 47 สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า สูตรคำนวณอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP)
ใหม่ของญี่ปุ่นที่จะนำมาใช้ในเดือนหน้าจะส่งผลให้ GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3 หดตัวลงร้อยละ 0.03 จาก
ไตรมาสที่แล้ว โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ตามการคำนวณแบบปัจจุบันว่า
ขยายตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.1 หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้การเปลี่ยนรูป
แบบการคำนวณ GDP ของญี่ปุ่นมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะลดความเบี่ยงเบนที่ไม่ถูกต้องในการคำนวณ GDP ที่ใช้อยู่
ในปัจจุบัน ภายใต้การคำนวณแบบใหม่นั้น GDP ในไตรมาสที่ 2 ปี 47 ขยายตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน
ในขณะที่หากการคำนวณในปัจจุบัน GDP ขยายตัวร้อยละ 0.3 ทั้งนี้การคำนวณแบบใหม่นั้นปีฐานที่ใช้ในการคำนวณ
จะมีการปรับทุกๆปีในขณะที่การคำนวณในระบบปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนปีฐานในทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้รัฐบาลได้ยอมรับข้อ
บกพร่องในระบบการคำนวณ GDP ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างราคาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีการปรับลดลง
อย่างรวดเร็วในทุกๆปี แต่ในการคำนวณ GDP แบบปัจจุบันไม่มีการปรับปีฐานเป็นเหตุให้ราคาคอมพิวเตอร์สูงเกิน
ความจริงเมื่อนำมาใช้ในการคำนวณ อนึ่งการคำนวณแบบใหม่จะนำมาใช้อย่างเป็นทางการในการประกาศตัวเลข
GDP ของไตรมาสที่ 3 ในวันที่ 8 ธ.ค. โดยในเวลานั้นจะมีการทบทวนตัวเลข GDP ที่ผ่านมาด้วย (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้สูงกว่าที่คาดไว้แต่ภาคเศรษฐกิจ
หลักยังคงอ่อนแอ รายงานจากโซล เมื่อ 19 พ.ย.47 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่ 3
ปีนี้เทียบกับไตรมาสก่อนสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจของรอยเตอร์ และหาก
เทียบต่อปีแล้ว GDP ไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ชะลอตัวจากร้อยละ 5.5 ในไตรมาสก่อน แม้ว่าตัวเลข GDP
ต่อไตรมาสของไตรมาสที่ 3 ปีนี้จะออกมาดีเท่ากับไตรมาสก่อนแต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าภาคเศรษฐกิจหลัก
ไม่ว่าจะการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการส่งออกล้วนมีแนวโน้มลดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ธ.กลางเกาหลีใต้
จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลังจากตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ
3.25 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์โดยเปลี่ยนนโยบายมาให้ความสำคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องเงินเฟ้อ
โดยการบริโภคในประเทศในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ลดลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อน หลังจากคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงในไตรมาส
ก่อนและลดลงร้อยละ 0.3 ในไตรมาสแรกปีนี้ เช่นเดียวกับการลงทุนในประเทศที่ลดลงร้อยละ 4.8 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7
ในไตรมาสก่อนและการส่งออกซึ่งเป็นตัวหลักในการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในช่วงปีที่ผ่านมาขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4
หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.0 และร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสแรกปีนี้ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 พ.ย. 47 18 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.095 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.9175/40.2021 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 646.93/ 16.94 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,350/8,450 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 32.32 32.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ธปท.ติดตามภาวะเงินทุนไหลเข้าจากต่างประเทศเพื่อป้องกันความผันผวนของค่าเงินบาท
ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ธปท.กำลังจับตาการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นจาก
ต่างประเทศ ที่เริ่มเข้ามามากขึ้นหลังจากการอ่อนตัวอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ สรอ. ซึ่งอาจทำให้ค่า
เงินบาทผันผวนและเกิดการเก็งกำไรจากค่าเงินบาทได้ อย่างไรก็ตาม ขณะนี้การไหลเข้าออกของเงินยังมี
ไม่มากนัก โดยเงินที่เข้ามาในประเทศไทยนั้นเป็นการไหลเข้าผ่าน ตลาดทุน ตลาด พธบ. และเงินฝากในบัญชี
ซึ่งสถานการณ์ยังไม่ถึงขั้นที่ต้องมีการดำเนินมาตรการใดๆ แต่หากมีความผิดปรกติเกิดขึ้น ธปท.ก็พร้อมที่จะดำเนิน
การทันที นอกจากนี้ ธปท.จะคอยดูแลไม่ให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวมากเกินไปจนส่งผลกระทบต่อความสามารถใน
การแข่งขันด้านการส่งออกของประเทศ (โลกวันนี้, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
2. ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยยังขยายตัวในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่อง ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)
เปิดเผยว่า อัตราการขยายตัวของอสังหาริมทรัพย์ไทยยังขยายตัวในระดับที่ดีต่อเนื่อง หลังจากที่ตื่นตัวอย่างจริงจัง
ในปี 45 จากแรงกระตุ้นจากมาตรการของภาครัฐ ทั้งการลดภาษีการโอนที่ดิน การออกโครงการการให้สินเชื่อ
เพื่อซื้อบ้านสำหรับข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ โครงการบ้านเอื้ออาทรของธนาคารอาคารสงเคราะห์และ
ธนาคารออมสิน โดยตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปี 47 นี้แม้จะไม่ขยายตัวอย่างร้อนแรงเช่นเดียวกับปี 46 แต่เป็น
การเติบโตที่มีความสมดุล และมีเสถียรภาพมากขึ้น เพราะเกิดจากความต้องการซื้อจริง ไม่ใช่ความต้องการซื้อ
เทียมหรือการเก็งกำไร แต่ปัญหาที่จะต้องดูแลคือทำอย่างไรที่จะคงความต้องการซื้อบ้านและสินค้าในตลาดให้ยังคง
สมดุลต่อไป สำหรับในปี 48 คาดว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์จะยังขยายตัวได้ทั้งด้านความต้องการซื้อและสินค้า
ในส่วนอัตราดอกเบี้ยยอมรับว่า มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นเนื่องจากอยู่ในระดับต่ำมานานมากแล้ว ซึ่งย่อมส่งผลกระทบ
ต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์บ้าง อย่างไรก็ตาม ธปท.จะควบคุมไม่ให้เป็นอุปสรรคต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค
(โลกวันนี้, ผู้จัดการรายวัน, ไทยโพสต์)
3. 90% ของบริษัทจดทะเบียนใน ต.ล.ท.มีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี
เพิ่มขึ้น 50% และ 39% ตามลำดับ รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยผลการดำเนินงาน
ประจำไตรมาสที่ 3 สิ้นสุด 30 ก.ย.47 ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ใหม่จำนวน
434 บริษัทหรือ 90% ของบริษัทจดทะเบียนทั้งหมดว่า มีกำไรสุทธิรวม 125,560 ล.บาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกัน
ของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 83,430 ล.บาท หรือเพิ่มขึ้น 50% ส่วนงวด 9 เดือนแรกปี 47 มีกำไรสุทธิรวมกัน
314,874 ล.บาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีกำไรสุทธิรวม 226,814 ล.บาท หรือเพิ่มขึ้น 39% ทั้งนี้ กลุ่มอุตสาหกรรม
ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่มทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง
(กรุงเทพธุรกิจ, โลกวันนี้, ข่าวสด)
4. บีโอไอกำหนดแนวทางส่งเสริมการลงทุนโดยการกำหนดกลุ่มอุตสาหกรรมเป้าหมาย เลขาธิการ
สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า ขณะนี้บีโอไอกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาการ
ใช้กลไกในการส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่เป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายของภาครัฐบาล ที่ขณะนี้กำลังร่วมมือในการ
ศึกษาลงลึกกับ ก.อุตสาหกรรมเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้
ไทยวางยุทธศาสตร์การพัฒนาอุตสาหกรรมของตนเองให้มากขึ้น จากอดีตที่การลงทุนจะเกิดจากการมองเห็นโอกาส
ทางธุรกิจของนักลงทุนเองแล้วจึงมาขอส่งเสริมการลงทุน ทั้งนี้ จากการหารือเบื้องต้นกับ ก.อุตสาหกรรม
อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่ที่จะต้องมุ่งเน้นเป็นเชิงนโยบายที่จะทำให้เกิดการลงทุนมากขึ้น ได้แก่ 1)อุตสาหกรรม
เทคโนโลยีขั้นสูง 2)กลุ่มอุตสาหกรรมพลังงานและพลังงานทดแทน 3)อุตสาหกรรมต้นน้ำที่สำคัญที่จะทดแทนการนำ
เข้าจากต่างประเทศ และ 4)อุตสาหกรรมที่เกี่ยวกับระบบการขนส่งหรือลอจิสติกส์ของประเทศ (ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.ในเดือน ต.ค.47 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 รายงาน
จากวอชิงตัน เมื่อ 18 พ.ย.47 The Conference Board เปิดเผยว่า ดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจของ สรอ.
ในเดือน ต.ค.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ 115.1 หรือลดลงร้อยละ 0.3 นับเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5
รวมทั้งลดลงเป็นจำนวนร้อยละเดียวกันกับเดือน ส.ค.และ ก.ย.ที่ผ่านมา ทั้งนี้ การลดลงของดัชนีในเดือน
ต.ค.นั้น มีสาเหตุจากตัวเลขชี้บ่งหลายประการที่ลดลงอย่างชัดเจน เช่น ความคาดหวังของผู้บริโภค ปริมาณเงิน
และช่วงห่างอัตราดอกเบี้ย เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามดัชนีพ้องภาวะเศรษฐกิจ (The coincident index)
ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในปัจจุบันของ สรอ. ในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4
ส่วนดัชนีตามภาวะเศรษฐกิจ (The lagging index) ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจในอดีตในเดือน
ต.ค.ก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน ทั้งนี้ การลดลงของดัชนีชี้นำภาวะเศรษฐกิจติดต่อกัน 5 เดือนนั้น ไม่ได้ทำให้นักเศรษฐศาสตร์
กังวลเท่าใดนัก เนื่องจากข้อมูลส่วนใหญ่เมื่อเร็ว ๆ นี้ มีสัญญาณว่าเศรษฐกิจของ สรอ. เริ่มฟื้นตัวดีขึ้นอย่าง
แข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
2. เศรษฐกิจของเขตยูโรยังทรงตัว แม้ค่าเงินยูโรจะแข็งตัวขึ้น รายงานจากเมืองแฟรงเฟิร์ต
ประเทศเยอรมนี เมื่อวันที่ 18 พ.ย.47 Axel Weber ผู้ว่าการ ธ.กลางของเยอรมนี และสมาชิกสภาผู้ว่าการ
ธ.กลางสหภาพยุโรป กล่าวว่า เศรษฐกิจของเขตยูโรยังทรงตัว แม้ว่าในระยะหลังนี้ค่าเงินยูโรจะแข็งตัวขึ้นซึ่ง
เป็นสิ่งที่ ธ.กลางสหภาพยุโรปไม่ต้องการ แต่ก็ยังต้องจับตามองอย่างใกล้ชิด เพราะอาจจะกระทบต่อการส่งออก
ที่เป็นปัจจัยหลักในการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในเขตยูโร อย่างไรก็ตาม ปัจจัยสำคัญหลายอย่างที่จะช่วยให้เศรษฐกิจ
ฟื้นตัวและเติบโตยังคงมีอยู่ ส่วนการที่ราคาน้ำมันดิบเริ่มปรับตัวลดลงจะช่วยทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับที่
ธ.กลางสหภาพยุโรปตั้งเป้าหมายไว้ที่ระดับไม่เกินร้อยละ 2 ในปี 48 โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อในปี 47 จะ
อยู่ที่ระดับร้อยละ 2.2 และร้อยละ 1.8 ในปี 48 ส่วนการเคลื่อนไหวของค่าเงินดอลลาร์ สรอ. นั้นมีความ
เป็นไปได้ครึ่งต่อครึ่งที่ค่าเงินจะลดลงต่อไปอีกในอนาคตขึ้นอยู่กับความเคลื่อนไหวด้านนโยบายการเงินของ สรอ.
ที่ส่งผ่านอัตราดอกเบี้ยในการสนับสนุนค่าเงินดอลลาร์ สรอ. และคาดว่าอาจจะเห็นเศรษฐกิจของ สรอ. เติบโต
สูงกว่าของสหภาพยุโรปในระยะกลางถึงระยะยาว (รอยเตอร์)
3. GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3 ที่ใช้สูตรการคำนวณใหม่ลดลง รายงานจากโตเกียวเมื่อ
วันที่ 18 พ.ย. 47 สำนักนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นเปิดเผยว่า สูตรคำนวณอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP)
ใหม่ของญี่ปุ่นที่จะนำมาใช้ในเดือนหน้าจะส่งผลให้ GDP ของญี่ปุ่นในไตรมาสที่ 3 หดตัวลงร้อยละ 0.03 จาก
ไตรมาสที่แล้ว โดยเมื่อสัปดาห์ที่แล้วได้มีการประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ตามการคำนวณแบบปัจจุบันว่า
ขยายตัวจากไตรมาสก่อนร้อยละ 0.1 หรือขยายตัวร้อยละ 0.3 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้การเปลี่ยนรูป
แบบการคำนวณ GDP ของญี่ปุ่นมีวัตถุประสงค์เพื่อที่จะลดความเบี่ยงเบนที่ไม่ถูกต้องในการคำนวณ GDP ที่ใช้อยู่
ในปัจจุบัน ภายใต้การคำนวณแบบใหม่นั้น GDP ในไตรมาสที่ 2 ปี 47 ขยายตัวไม่เปลี่ยนแปลงจากไตรมาสก่อน
ในขณะที่หากการคำนวณในปัจจุบัน GDP ขยายตัวร้อยละ 0.3 ทั้งนี้การคำนวณแบบใหม่นั้นปีฐานที่ใช้ในการคำนวณ
จะมีการปรับทุกๆปีในขณะที่การคำนวณในระบบปัจจุบันจะมีการเปลี่ยนปีฐานในทุกๆ 5 ปี ทั้งนี้รัฐบาลได้ยอมรับข้อ
บกพร่องในระบบการคำนวณ GDP ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน โดยยกตัวอย่างราคาคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลที่มีการปรับลดลง
อย่างรวดเร็วในทุกๆปี แต่ในการคำนวณ GDP แบบปัจจุบันไม่มีการปรับปีฐานเป็นเหตุให้ราคาคอมพิวเตอร์สูงเกิน
ความจริงเมื่อนำมาใช้ในการคำนวณ อนึ่งการคำนวณแบบใหม่จะนำมาใช้อย่างเป็นทางการในการประกาศตัวเลข
GDP ของไตรมาสที่ 3 ในวันที่ 8 ธ.ค. โดยในเวลานั้นจะมีการทบทวนตัวเลข GDP ที่ผ่านมาด้วย (รอยเตอร์)
4. เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่ 3 ปีนี้สูงกว่าที่คาดไว้แต่ภาคเศรษฐกิจ
หลักยังคงอ่อนแอ รายงานจากโซล เมื่อ 19 พ.ย.47 เศรษฐกิจเกาหลีใต้ขยายตัวร้อยละ 0.6 ในไตรมาสที่ 3
ปีนี้เทียบกับไตรมาสก่อนสูงกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 จากผลสำรวจของรอยเตอร์ และหาก
เทียบต่อปีแล้ว GDP ไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.6 ชะลอตัวจากร้อยละ 5.5 ในไตรมาสก่อน แม้ว่าตัวเลข GDP
ต่อไตรมาสของไตรมาสที่ 3 ปีนี้จะออกมาดีเท่ากับไตรมาสก่อนแต่เมื่อดูในรายละเอียดแล้วจะเห็นว่าภาคเศรษฐกิจหลัก
ไม่ว่าจะการบริโภคในประเทศ การลงทุน และการส่งออกล้วนมีแนวโน้มลดลง ทำให้มีความเป็นไปได้ว่า ธ.กลางเกาหลีใต้
จะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกหลังจากตัดสินใจลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างไม่คาดมาก่อนร้อยละ 0.25 เป็นร้อยละ
3.25 ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์โดยเปลี่ยนนโยบายมาให้ความสำคัญกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจมากกว่าเรื่องเงินเฟ้อ
โดยการบริโภคในประเทศในไตรมาสที่ 3 ปีนี้ลดลงร้อยละ 0.1 จากไตรมาสก่อน หลังจากคงที่ไม่เปลี่ยนแปลงในไตรมาส
ก่อนและลดลงร้อยละ 0.3 ในไตรมาสแรกปีนี้ เช่นเดียวกับการลงทุนในประเทศที่ลดลงร้อยละ 4.8 หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.7
ในไตรมาสก่อนและการส่งออกซึ่งเป็นตัวหลักในการผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวในช่วงปีที่ผ่านมาขยายตัวเพียงร้อยละ 0.4
หลังจากขยายตัวร้อยละ 1.0 และร้อยละ 4.9 ในไตรมาสที่ 2 และไตรมาสแรกปีนี้ตามลำดับ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 19 พ.ย. 47 18 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.095 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.9175/40.2021 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 646.93/ 16.94 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,350/8,450 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 32.32 32.95 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.59/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-