สินค้าวัสดุก่อสร้าง:
การส่งออกวัสดุก่อสร้างในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 370.11 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายนปี 2547 ร้อยละ 5.71 คาดว่าการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างในเดือนตุลาคม 2547 มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นโดยมีมูลค่า 389.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพรวมการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้าง:
การส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างระยะ 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) 2547 มีมูลค่าการส่งออก 3,152 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 38.94 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546
มูลค่าการส่งออกสินค้าวัสดุก่อสร้างโดยรวมเพิ่มขึ้นเนื่องจากประเทศแถบเอเชียได้แก่ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และกลุ่มประเทศในเอเชีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญมีการขยายตัวทางอุตสาหกรรมต่างๆอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเป็นช่วงส่งมอบของเพื่อใช้เป็นวัตถุดิบผลิตสินค้าอุสาหกรรมในช่วงปลายปี ส่วนตลาดสำคัญอย่างจีนมีแนวโน้มชลอตัวเนื่องจากนโยบายการชลอการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนส่งผลให้การนำเข้าผลิตภัณฑ์และสินค้าทุนลดลงประกอบกับต้นทุนวัตถุดิบและค่าขนส่งที่สูงขึ้นเนื่องจากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันในตลาดโลก
สำหรับอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ผู้ผลิตรายใหญ่มีแนวโน้มลดปริมาณ การส่งออกลง สืบเนื่องจากปริมาณความต้องการใช้ภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของทั้งภาครัฐและเอกชนต่อเนื่องกว่าร้อยละ 75 ประกอบกับสถานการณ์ราคาน้ำมันในตลาดโลกในช่วง 2เดือนที่ผ่านมามีแนวโน้มลดลงส่งผลให้ต้นทุนการผลิตและการขนส่งชลอตัวและไม่เพิ่มสูงขึ้นจากที่เคยปรับตัวขึ้นมาก่อนหน้านี้กว่าร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546
เป้าหมายการส่งออกปี 2547:
มูลค่า 3,030 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับปี 2546
เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์:
การส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 263.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเดือนกันยายน 2547 ร้อยละ 15.1 คาดว่าการส่งออกเหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์ในเดือนพฤศจิกายนมีการขยายตัวมีมูลค่า 278.37 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพรวมการส่งออก เหล็ก เหล็กกล้า และผลิตภัณฑ์:
การส่งออกเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ระยะ 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 2,063.58 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.79 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546
คาดว่าการส่งออกในไตรมาสที่สี่จะมีการชลอตัวลงเล็กน้อยเนื่องจากภาวะความผันผวนของราคาน้ำมันในตลาดโลกที่มีแนวโน้มสูงขึ้นและการอ่อนค่าลงของเงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐส่งผลทางจิตวิทยาและเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นของผู้ส่งออก
เป้าหมายการส่งออกปี 2547:
มูลค่า 2,028 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี
ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม:
การส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 42.25 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงเล็กน้อยจากเดือนกันยายนปี 2547 ร้อยละ 8.14 คาดว่าการส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมในเดือนพฤศจิกายนจะมีมูลค่า 44.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพรวมการส่งออก ผลิตภัณฑ์อลูมิเนียม:
การส่งออกผลิตภัณฑ์อลูมิเนียมระยะ 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 409.26 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.32 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีมูลค่าการส่งออก 242 ล้านเหรียญสหรัฐ
คาดการณ์ว่าการส่งออกไตรมาสที่สี่จะเพิ่มสูงขึ้นเช่นเดียวกับสินค้าเหล็กในอัตราที่ชลอตัวลง โดยเฉพาะตลาดแถบเอเชียได้แก่ มาเลเซีย ญี่ปุ่น ฮ่องกงและอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นตลาดสำคัญและมีการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่างๆ อย่างต่อเนื่อง
เป้าหมายการส่งออกปี 2547:
มูลค่า406 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เมื่อเทียบกับปี 2546
ปูนซีเมนต์:
การส่งออกปูนซีเมนต์ในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 22.22 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ลดลงจากเดือนกันยายนปี 2547 ร้อยละ 24.37 คาดว่าการส่งออกปูนซีเมนต์ในเดือนพฤศจิกายนมีมูลค่า 25.80 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพรวมการส่งออกปูนซีเมนต์:
การส่งออกปูนซีเมนต์ระยะ 10 เดือนแรก (ม.ค.-ต.ค.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 266 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 9.68 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ซึ่งมีมูลค่า 228 ล้านเหรียญสหรัฐ
เป้าหมายการส่งออกปี 2547:
มูลค่า 318 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2546 (ประมาณ 10 ล้านเมตริกตัน)
โพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิว:
การส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิวในเดือนตุลาคมมีมูลค่าการส่งออก 13.15 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเล็กน้อยหรือประมาณร้อยละ 1.15 เมื่อเทียบกับเดือนกันยายนปี 2547 คาดว่าการส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ ขัดผิวในเดือนตุลาคมมีมูลค่า 11.19 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ภาพรวมการส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิว:
การส่งออกโพล์ตกลาสและแก้วที่ขัดผิวระยะ 10 เดือนแรก (ม.ค.- ต.ค.) ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออก 117.53 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.65 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546
เป้าหมายการส่งออกปี 2547:
มูลค่า 117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปี 2546
ที่มา: http://www.depthai.go.th
-ดท-