เมื่อเวลา 10.30 น. วันนี้ (21 พ.ย. 47) ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการออกมาวิจารณ์การเมืองปัจจุบันว่า เป็น ‘การเมืองสีเทา’ หรือ ‘พรรคไทยรักเทา’ และมีความพยายาม จากพรรคไทยรักที่จะอธิบายการเมืองไทย ว่าเดิมการเมือง เป็นสีดำ แล้วไทยรักไทยพยายามที่จะเอาสีขาวเข้ามาใส่ ทำให้ภาพกากรเมืองปัจจุบันเป็นสีเทา ตนคิดว่าคำธิบายนี้เป็นพียงอธิบายเพื่อจะหาเหตุผลมาตอบโต้นักวิชาการมากกว่าที่จะอธิบายความเป็นจริงของสังคมการเมือง
เพราะในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับว่าการเมืองไทยตามรัฐธรรมนูญใหม่ในยุคปฏิรูปการเมือง หรือเรียกได้ว่าเป็นการเมืองที่เข้าสู่บรรยากาศของการเมืองสีขาว แต่ปรากฎว่าเมื่อมีการปฏิรูปการเมืองโดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และมีการเลือกตั้งมาแล้ว1 ครั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
การเมืองกลับมีลักษณะสีเทามากขึ้น ตนคิดว่าคนในสังคมรับทราบได้ดีว่าคำว่า ‘สีเทา’ มีความหมายว่าอย่างไร ถ้าการเมืองเป็นเรื่องของขาวดำ น่าจะเป็นการเมืองในอดีตซึ่งเป็นการเมืองระห่างฝ่ายเผด็จการและฝ่ายประชาธิปไตย แต่การเมืองในปัจจุบันภายหลังการปฏิรูปการเมืองแล้ว เราต้องยอมรับความจริงว่า มีความพยายามจากนักการเมืองหลายส่วน ที่ทำให้การเมืองเป็นสีเทาอย่างเช่นนักวิชาการออกมาวิจารณ์ และนับวันจะเพิ่มดีกรีสีเทาให้มากขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้สร้างกลไกล เงื่อนไข ทางการเมือง รวมทั้งพยายามสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้คนที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามความหมายของการปฏิรูปการเมือง เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีความพยายามใช้การเมือง ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองไปเคลือบยาพิษ แล้วนำเสนอให้กับสังคม
‘การเมือง 4 ปีที่ผ่านมาดูภายนอกเหมือนเป็นขนมหวาน น่าสดใส แต่ในตความเป็นจริงเป็นขนมหวานที่เคลือบยาพิษ ซึ่งผู้รับยาพิษเข้าไปอาจจะยังไม่รับผลทันที เพราะเป็นยาพิษยุคใหม่ที่ฝังตัวลึกลงไปพอสมควร และจะใช้เวลาออกพิษเป็นระยะ แต่วันใดที่พิษยาออกเต็มที่เมื่อไหร่ คนในสังคมจะรับรู้ถึงการเมืองเคลือบยาพิษ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นใน 4 ปีต่อไปเป็นอย่างดี’ นายองอาจกล่าว
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ อยากจะชี้ให้เห็นว่าสภาพทางการเมือง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นมีแนวโน้มว่าจะมีความทุจริตเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาจาก 4 ปี ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าได้มีความพยายามที่จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เฉพาะพรรคพวก อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในอดีต เพราะฉะนั้นการเมืองสีเทาที่จะเข้มขึ้น น่าจะมีสาเหตุมาจาก 5 ประการคือ
ประการแรก จะพบว่ามีการใช้เงินซื้อเสียง ทั้งทางตรง ทางอ้อม อย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงที่เป็นรัฐบาล และในช่วงที่การเลือกตั้งซ่อม หลายๆครั้งที่ผ่าน เมื่อมีการตรวจสอบลึกลงไปจะพบว่าเงินเหล่านี้ มีจากส่วนสำคัญ2 ส่วนคือ จากการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย หรือ เงินที่ได้จากผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ เงินอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ได้มาจากการฉ้อฉลด้วยวิธีการต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ มีวิธีการที่จะดำเนินการให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ออกมาเป็นเงินใช้จ่ายในทางการเมืองอย่างถูกกฎหมาย และยากที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ และในทางปฏิบัติจริงพบว่ากลไกลของรัฐนั้น ไม่พยายามที่จะเข้าไปตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
ประการที่ 2 พบว่ามีกลไกการใช้อำนาจรัฐมากยิ่งขึ้นตลอดเวลา ข้าราชการไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย ถูกดึงเข้าไปรับใช้ความไม่ถูกต้องในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง และถ้าใครก็ตามที่พยายามที่จะมีอิทธิพล ขัดขวางอำนาจรัฐ ก็จะถูกกำจัดออกจากวงจรดังกล่าวทันที
ประการที่ 3 ทั้งในช่วงที่มีการเลือกตั้งซ่อม และช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้ง มีการใช้ผู้มีอิทิพล ทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าไปข่มขู่คุกคาม ประการที่ 4.การพยายามใช้ช่องว่างของกำหมายเลเยงบาลี นำเงินภาษีของประชาชนมาหาเสียงให้พรรคการเมือง รวมทั้งนำเงินงบประมาณในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองหลายรูปแบบ ประการที่ 5.การพยายามองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบต่างๆ ทำให้องค์กรในการตรวจสอบไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอิสระเพียงพอ ในการที่จะทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แต่ทำให้องค์กรตรวจสอบกลายเป็นเครื่องมือ ในการช่วยเหลือพรรคการเมืองบางพรรค และยังเป็นเครื่องมือในการทำให้เรื่องผิดเป็นเรื่องถูก กลายป็นบรรทัดฐานของสังคมต่อไป ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
และหากพรรคไทยรักไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอีก การเมืองมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นการเมืองสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาไปสู่การเมืองสีดำ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
เพราะในความเป็นจริงแล้วต้องยอมรับว่าการเมืองไทยตามรัฐธรรมนูญใหม่ในยุคปฏิรูปการเมือง หรือเรียกได้ว่าเป็นการเมืองที่เข้าสู่บรรยากาศของการเมืองสีขาว แต่ปรากฎว่าเมื่อมีการปฏิรูปการเมืองโดยรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และมีการเลือกตั้งมาแล้ว1 ครั้งตามรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าว
การเมืองกลับมีลักษณะสีเทามากขึ้น ตนคิดว่าคนในสังคมรับทราบได้ดีว่าคำว่า ‘สีเทา’ มีความหมายว่าอย่างไร ถ้าการเมืองเป็นเรื่องของขาวดำ น่าจะเป็นการเมืองในอดีตซึ่งเป็นการเมืองระห่างฝ่ายเผด็จการและฝ่ายประชาธิปไตย แต่การเมืองในปัจจุบันภายหลังการปฏิรูปการเมืองแล้ว เราต้องยอมรับความจริงว่า มีความพยายามจากนักการเมืองหลายส่วน ที่ทำให้การเมืองเป็นสีเทาอย่างเช่นนักวิชาการออกมาวิจารณ์ และนับวันจะเพิ่มดีกรีสีเทาให้มากขึ้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมานั้น รัฐบาลได้สร้างกลไกล เงื่อนไข ทางการเมือง รวมทั้งพยายามสร้างปรากฎการณ์ใหม่ๆ ที่จะทำให้คนที่บริสุทธิ์ ยุติธรรม ตามความหมายของการปฏิรูปการเมือง เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง จะเห็นได้ว่าในช่วงที่ผ่านมามีความพยายามใช้การเมือง ซึ่งเป็นเรื่องการเมืองไปเคลือบยาพิษ แล้วนำเสนอให้กับสังคม
‘การเมือง 4 ปีที่ผ่านมาดูภายนอกเหมือนเป็นขนมหวาน น่าสดใส แต่ในตความเป็นจริงเป็นขนมหวานที่เคลือบยาพิษ ซึ่งผู้รับยาพิษเข้าไปอาจจะยังไม่รับผลทันที เพราะเป็นยาพิษยุคใหม่ที่ฝังตัวลึกลงไปพอสมควร และจะใช้เวลาออกพิษเป็นระยะ แต่วันใดที่พิษยาออกเต็มที่เมื่อไหร่ คนในสังคมจะรับรู้ถึงการเมืองเคลือบยาพิษ ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาและที่จะเกิดขึ้นใน 4 ปีต่อไปเป็นอย่างดี’ นายองอาจกล่าว
ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ อยากจะชี้ให้เห็นว่าสภาพทางการเมือง การเลือกตั้งที่จะมีขึ้นมีแนวโน้มว่าจะมีความทุจริตเพิ่มขึ้น โดยพิจารณาจาก 4 ปี ที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าได้มีความพยายามที่จะทำให้การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์เฉพาะกลุ่ม เฉพาะพรรคพวก อย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในอดีต เพราะฉะนั้นการเมืองสีเทาที่จะเข้มขึ้น น่าจะมีสาเหตุมาจาก 5 ประการคือ
ประการแรก จะพบว่ามีการใช้เงินซื้อเสียง ทั้งทางตรง ทางอ้อม อย่างต่อเนื่อง ทั้งในช่วงที่เป็นรัฐบาล และในช่วงที่การเลือกตั้งซ่อม หลายๆครั้งที่ผ่าน เมื่อมีการตรวจสอบลึกลงไปจะพบว่าเงินเหล่านี้ มีจากส่วนสำคัญ2 ส่วนคือ จากการทุจริตคอรัปชั่น ทั้งการทุจริตเชิงนโยบาย หรือ เงินที่ได้จากผลประโยชน์ทับซ้อนต่างๆ เงินอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่ได้มาจากการฉ้อฉลด้วยวิธีการต่างๆในตลาดหลักทรัพย์ มีวิธีการที่จะดำเนินการให้การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ออกมาเป็นเงินใช้จ่ายในทางการเมืองอย่างถูกกฎหมาย และยากที่จะเข้าไปตรวจสอบได้ และในทางปฏิบัติจริงพบว่ากลไกลของรัฐนั้น ไม่พยายามที่จะเข้าไปตรวจสอบในเรื่องดังกล่าว
ประการที่ 2 พบว่ามีกลไกการใช้อำนาจรัฐมากยิ่งขึ้นตลอดเวลา ข้าราชการไม่ว่าชั้นผู้ใหญ่ ชั้นผู้น้อย ถูกดึงเข้าไปรับใช้ความไม่ถูกต้องในการบริหารราชการแผ่นดินอย่างต่อเนื่อง และถ้าใครก็ตามที่พยายามที่จะมีอิทธิพล ขัดขวางอำนาจรัฐ ก็จะถูกกำจัดออกจากวงจรดังกล่าวทันที
ประการที่ 3 ทั้งในช่วงที่มีการเลือกตั้งซ่อม และช่วงที่ไม่มีการเลือกตั้ง มีการใช้ผู้มีอิทิพล ทั้งในและนอกเครื่องแบบ เข้าไปข่มขู่คุกคาม ประการที่ 4.การพยายามใช้ช่องว่างของกำหมายเลเยงบาลี นำเงินภาษีของประชาชนมาหาเสียงให้พรรคการเมือง รวมทั้งนำเงินงบประมาณในรูปแบบต่างๆ เช่น เงินจากสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล มาใช้ประโยชน์ในทางการเมืองหลายรูปแบบ ประการที่ 5.การพยายามองค์กรที่ทำหน้าที่ตรวจสอบต่างๆ ทำให้องค์กรในการตรวจสอบไม่เป็นตัวของตัวเอง ไม่เป็นอิสระเพียงพอ ในการที่จะทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ แต่ทำให้องค์กรตรวจสอบกลายเป็นเครื่องมือ ในการช่วยเหลือพรรคการเมืองบางพรรค และยังเป็นเครื่องมือในการทำให้เรื่องผิดเป็นเรื่องถูก กลายป็นบรรทัดฐานของสังคมต่อไป ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่ง
และหากพรรคไทยรักไทยได้กลับมาเป็นรัฐบาลบริหารประเทศอีก การเมืองมีแนวโน้มที่จะกลายเป็นการเมืองสีเทาเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนพัฒนาไปสู่การเมืองสีดำ
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-