รองหัวหน้าพรรค ปชป. “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ระบุ ขึ้นเงินเดือน “ส.ส. — ส.ว.” ต้องขึ้นตามความเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ ระบุ ภาพพจน์ของสภาฯ เหมือนทำงานไม่เต็มที่ เพราะนายกฯไม่ให้ความสำคัญกับระบบสภาฯ
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 กรณีคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ขึ้นเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ว่า ทุกครั้งที่มีการขึ้นเงินเดือนให้นักการเมือง ก็มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก ก่อนหน้านี้ก็มีการเสนอขึ้นเงินเดือนให้นักการเมืองมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นตนได้แสดงความเห็นไปว่ายังไม่เหมาะสม เพราะถ้าจะมีการขึ้นเงินเดือนให้นักการเมือง ก็ควรจะขึ้นเงินเดือนให้ระบบบริหารราชการภาครัฐทั้งระบบ อีกทั้งการขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองในขณะนั้นยังไม่เหมาะสม ซึ่งตนได้เสนอทางออกให้ปรับทั้งระบบ และสำหรับ ส.ส.ก็ให้ปรับในชุดต่อไป ถึงวันนี้ผ่านมา 2 — 3 ปี ระบบราชการและระบบต่างๆได้มีการปรับขึ้นเงินเดือนกันมากพอสมควร
ดังนั้นหากการขึ้นเงินเดือนนักการเมืองยังยึดถือตามหลัก เช่น เงินเดือนประธานสภาฯเท่านายกรัฐมนตรีและประธานศาลฏีกา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ และถ้าเป็นการขึ้นสำหรับสภาฯชุดหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของหลักการ ทั้งนี้ตนขอย้ำว่าการขึ้นเงินเดือนต้องขึ้นตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ‘ผมไม่อยากให้พูดว่าขึ้นแล้วจะได้ไม่โกง เพราะความคิดที่บอกว่ารวยแล้วไม่โกง มันไม่จริง และอย่าไปคิดว่าคนเราโกงไม่โกงเป็นเพราะว่ารวยหรือไม่รวย มีหรือไม่มี จริงๆแล้วคนโกงหรือไม่โกงอยู่ที่ว่าอยากได้ อยากมี ในสิ่งที่พึงได้พึงมีหรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนบำเหน็จบำนาญของนักการเมือง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การให้บำเหน็จบำนาญนักการเมืองเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าให้มี ซึ่งตนยังไม่ทราบในรายละเอียดว่ามีหลักเกณฑ์ในการให้บำเหน็จบำนาญอย่างไร แต่ในอดีตการจะรับบำนาญได้ต้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ใช่แค่เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. และปัจจุบันมีแนวโน้มว่าสภาฯจะอยู่ครบเทอมมากขึ้น เพราะฉะนั้นการกำหนดหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวด้วย และต้องคำนึงถึงปัญหาความซ้ำซ้อนด้วยหากนักการเมืองผู้นั้นเคยรับราชการมาก่อน
สำหรับการที่นักการเมืองสามารถทำธุรกิจและประกอบอาชีพอื่นได้ทำให้มีรายได้อื่นอยู่แล้ว จึงมีเสียงวิจารณ์ว่าการขึ้นเงินเดือนอาจจะไม่เหมาะสม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าผู้ที่เป็นนักการเมือง หากจะทำอาชีพใดก็ควรแจ้งให้ทราบว่ามีรายได้จากทางอื่นหรือไม่ ซึ่งจุดประสงค์หลักคงไม่ได้อยู่ที่ว่ามีเงินมากหรือไม่ แต่เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าจะมีผลประโยชน์ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานการเมืองหรือไม่ และมีการทุ่มเททำงานมากน้อยแค่ไหน
ส่วนที่มีคำถามว่าสภาฯชุดนี้ทำงานคุ้มเงินเดือนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาหลักคงเป็นภาพของการทำงานของนักการเมือง ทั้งการขาดประชุม การทำหน้าที่ในการตรวจสอบ รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯ จึงทำให้สภาฯทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ ส่วนเรื่องการออกกฎหมายก็มีปัญหา เนื่องจากคิดกันแค่อยากจะวัดผลงานว่าออกกฎมายไปกี่ฉบับ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เราต้องดูที่คุณภาพของการออกกฎหมาย ว่าได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและรัดกุมที่สุดหรือยัง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่าสภาฯชุดนี้มีปัญหาในการออกกฎหมายค่อนข้างมาก เช่น การพระราชทานคืนร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัชกาลปัจจุบัน จึงทำให้ภาพของสภาฯชุดนี้ดูเหมือนทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งสภาฯชุดต่อไปต้องดูไว้เป็นบทเรียน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวให้สัมภาษณ์ในรายการข่าวยามเช้า ทางสถานีวิทยุเอฟเอ็ม 101.0 กรณีคณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้ขึ้นเงินเดือนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)และสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ว่า ทุกครั้งที่มีการขึ้นเงินเดือนให้นักการเมือง ก็มักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ค่อนข้างมาก ก่อนหน้านี้ก็มีการเสนอขึ้นเงินเดือนให้นักการเมืองมาแล้ว ซึ่งครั้งนั้นตนได้แสดงความเห็นไปว่ายังไม่เหมาะสม เพราะถ้าจะมีการขึ้นเงินเดือนให้นักการเมือง ก็ควรจะขึ้นเงินเดือนให้ระบบบริหารราชการภาครัฐทั้งระบบ อีกทั้งการขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองในขณะนั้นยังไม่เหมาะสม ซึ่งตนได้เสนอทางออกให้ปรับทั้งระบบ และสำหรับ ส.ส.ก็ให้ปรับในชุดต่อไป ถึงวันนี้ผ่านมา 2 — 3 ปี ระบบราชการและระบบต่างๆได้มีการปรับขึ้นเงินเดือนกันมากพอสมควร
ดังนั้นหากการขึ้นเงินเดือนนักการเมืองยังยึดถือตามหลัก เช่น เงินเดือนประธานสภาฯเท่านายกรัฐมนตรีและประธานศาลฏีกา ก็น่าจะเป็นเรื่องที่อธิบายได้ และถ้าเป็นการขึ้นสำหรับสภาฯชุดหน้าก็ไม่น่าจะมีปัญหาในเรื่องของหลักการ ทั้งนี้ตนขอย้ำว่าการขึ้นเงินเดือนต้องขึ้นตามความเหมาะสมและสอดคล้องกับสถานการณ์ ‘ผมไม่อยากให้พูดว่าขึ้นแล้วจะได้ไม่โกง เพราะความคิดที่บอกว่ารวยแล้วไม่โกง มันไม่จริง และอย่าไปคิดว่าคนเราโกงไม่โกงเป็นเพราะว่ารวยหรือไม่รวย มีหรือไม่มี จริงๆแล้วคนโกงหรือไม่โกงอยู่ที่ว่าอยากได้ อยากมี ในสิ่งที่พึงได้พึงมีหรือไม่’ นายอภิสิทธิ์กล่าว
ส่วนบำเหน็จบำนาญของนักการเมือง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า การให้บำเหน็จบำนาญนักการเมืองเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ เพราะรัฐธรรมนูญกำหนดไว้ว่าให้มี ซึ่งตนยังไม่ทราบในรายละเอียดว่ามีหลักเกณฑ์ในการให้บำเหน็จบำนาญอย่างไร แต่ในอดีตการจะรับบำนาญได้ต้องดำรงตำแหน่งทางการเมืองไม่ใช่แค่เป็น ส.ส. หรือ ส.ว. และปัจจุบันมีแนวโน้มว่าสภาฯจะอยู่ครบเทอมมากขึ้น เพราะฉะนั้นการกำหนดหลักเกณฑ์ต้องคำนึงถึงเรื่องดังกล่าวด้วย และต้องคำนึงถึงปัญหาความซ้ำซ้อนด้วยหากนักการเมืองผู้นั้นเคยรับราชการมาก่อน
สำหรับการที่นักการเมืองสามารถทำธุรกิจและประกอบอาชีพอื่นได้ทำให้มีรายได้อื่นอยู่แล้ว จึงมีเสียงวิจารณ์ว่าการขึ้นเงินเดือนอาจจะไม่เหมาะสม นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ตนคิดว่าผู้ที่เป็นนักการเมือง หากจะทำอาชีพใดก็ควรแจ้งให้ทราบว่ามีรายได้จากทางอื่นหรือไม่ ซึ่งจุดประสงค์หลักคงไม่ได้อยู่ที่ว่ามีเงินมากหรือไม่ แต่เพื่อให้เห็นชัดเจนว่าจะมีผลประโยชน์ที่จะเป็นอุปสรรคต่อการทำงานการเมืองหรือไม่ และมีการทุ่มเททำงานมากน้อยแค่ไหน
ส่วนที่มีคำถามว่าสภาฯชุดนี้ทำงานคุ้มเงินเดือนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ปัญหาหลักคงเป็นภาพของการทำงานของนักการเมือง ทั้งการขาดประชุม การทำหน้าที่ในการตรวจสอบ รวมถึงการที่นายกรัฐมนตรีไม่ให้ความสำคัญกับสภาฯ จึงทำให้สภาฯทำหน้าที่ได้ไม่เต็มที่ ส่วนเรื่องการออกกฎหมายก็มีปัญหา เนื่องจากคิดกันแค่อยากจะวัดผลงานว่าออกกฎมายไปกี่ฉบับ ซึ่งเป็นความคิดที่ไม่ถูกต้อง เราต้องดูที่คุณภาพของการออกกฎหมาย ว่าได้พิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบและรัดกุมที่สุดหรือยัง เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน ซึ่งต้องยอมรับว่าสภาฯชุดนี้มีปัญหาในการออกกฎหมายค่อนข้างมาก เช่น การพระราชทานคืนร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในรัชกาลปัจจุบัน จึงทำให้ภาพของสภาฯชุดนี้ดูเหมือนทำงานได้ไม่เต็มที่ ซึ่งสภาฯชุดต่อไปต้องดูไว้เป็นบทเรียน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-