นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรีวันนี้ ที่ประชุมได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของกระทรวงการคลัง เกี่ยวกับมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ซึ่งจะทำให้ระบบการเงินของประเทศมีเสถียรภาพและประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น โดยขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาแผนการควบรวมกิจการที่สถาบันการเงินเสนอมา เพื่อให้มีรูปแบบของสถาบันการเงินเพียง 4 รูปแบบ คือ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารพาณิชย์เพื่อรายย่อย ธนาคารพาณิชย์ที่เป็นบริษัทลูกของธนาคารต่างประเทศ (Subsidiary) และสาขาของธนาคารต่างประเทศ (Full Branch) และการควบรวมกิจการจะต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 ทั้งนี้ อาจขยายเวลาออกไปได้อีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
สำหรับมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในวันนี้สรุปได้ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่สถาบันการเงิน สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ รายรับหรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากการที่สถาบันการเงินควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
2. ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่สถาบันการเงินสำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากการที่สถาบันการเงินมีการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน
3. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงิน สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการที่สถาบันการเงินควบหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
4. ยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ภาษีของสำนักงานวิเทศธนกิจ (IBF) และเปลี่ยนมาให้สิทธิประโยชน์ภาษีเฉพาะการประกอบธุรกรรม Out-Out ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้จะมีบทเฉพาะกาลเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อยังคงสิทธิประโยชน์ภาษีสำหรับการรับฝากและให้กู้ยืมที่ได้กระทำก่อนกฎหมายที่เสนอมีผลใช้บังคับของธุรกรรม Out-Out และ Out-In ของธนาคารพาณิชย์
5. ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01
6. ส่วนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนรถยนต์ และเครื่องจักร เป็นต้น นั้น ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนตามความเหมาะสมต่อไป
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีความเห็นเพิ่มเติมว่า
1. มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้เป็นไปตามกำหนดเวลา กล่าวคือภายหลังจากกระทรวงการคลังเห็นชอบภายในวันที่ 31 มกราคม 2548 แล้ว การควบรวม/โอนกิจการสถาบันการเงินจะต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 ทั้งนี้ อาจขยายเวลาออกไปได้อีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
2. ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของนิติบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินบางประเด็น เช่น การควบรวมกิจการของสาขาของธนาคารต่างประเทศ และกรณีการโอนกิจการบางส่วน เป็นต้น และการควบรวมกิจการนี้เป็นการควบรวมเฉพาะสถาบันการเงิน จึงเห็นควรออกเป็นกฎหมายใหม่แยกต่างหากจากนิติบุคคลทั่วไป โดยยังคงยึดแนวทางการให้สิทธิประโยชน์เดียวกัน เพื่อให้แนวทางปฏิบัติสอดคล้องกันและความเป็นธรรมของระบบภาษี ทั้งนี้ การควบรวมกิจการของสถาบันการเงินดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันการเงินและความมีเสถียรภาพของระบบการเงิน ตลอดจนช่วยให้การให้บริการของสถาบันการเงินมีความทั่วถึงมากขื้น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 97/2547 23 พฤศจิกายน 2547--
สำหรับมาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมที่คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบในวันนี้สรุปได้ดังนี้
1. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่สถาบันการเงิน สำหรับเงินได้พึงประเมินที่ได้รับ รายรับหรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากการที่สถาบันการเงินควบเข้ากันหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กัน
2. ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ให้แก่สถาบันการเงินสำหรับมูลค่าของฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสารที่เกิดขึ้นหรือเนื่องจากการที่สถาบันการเงินมีการโอนกิจการบางส่วนให้แก่กัน
3. ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล และภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาให้แก่ผู้ถือหุ้นของสถาบันการเงิน สำหรับผลประโยชน์ที่ได้จากการที่สถาบันการเงินควบหรือโอนกิจการทั้งหมดให้แก่กันตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน
4. ยกเลิกการให้สิทธิประโยชน์ภาษีของสำนักงานวิเทศธนกิจ (IBF) และเปลี่ยนมาให้สิทธิประโยชน์ภาษีเฉพาะการประกอบธุรกรรม Out-Out ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งนี้จะมีบทเฉพาะกาลเป็นระยะเวลา 3 ปี เพื่อยังคงสิทธิประโยชน์ภาษีสำหรับการรับฝากและให้กู้ยืมที่ได้กระทำก่อนกฎหมายที่เสนอมีผลใช้บังคับของธุรกรรม Out-Out และ Out-In ของธนาคารพาณิชย์
5. ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมอสังหาริมทรัพย์และอาคารชุด จากร้อยละ 2 เหลือร้อยละ 0.01
6. ส่วนค่าธรรมเนียมอื่น ๆ เช่น ค่าธรรมเนียมจดทะเบียนโอนรถยนต์ และเครื่องจักร เป็นต้น นั้น ให้กระทรวงคมนาคมและกระทรวงอุตสาหกรรมพิจารณายกเว้นหรือลดหย่อนตามความเหมาะสมต่อไป
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง มีความเห็นเพิ่มเติมว่า
1. มาตรการภาษีและค่าธรรมเนียมดังกล่าว จะช่วยสนับสนุนการดำเนินการตามแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินให้เป็นไปตามกำหนดเวลา กล่าวคือภายหลังจากกระทรวงการคลังเห็นชอบภายในวันที่ 31 มกราคม 2548 แล้ว การควบรวม/โอนกิจการสถาบันการเงินจะต้องเสร็จสิ้นภายในวันที่ 31 มกราคม 2549 ทั้งนี้ อาจขยายเวลาออกไปได้อีก 6 เดือน ถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2549
2. ปัจจุบันกระทรวงการคลังได้มีมาตรการภาษีเพื่อสนับสนุนการควบรวมกิจการของนิติบุคคลทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครอบคลุมถึงการควบรวมกิจการของสถาบันการเงินบางประเด็น เช่น การควบรวมกิจการของสาขาของธนาคารต่างประเทศ และกรณีการโอนกิจการบางส่วน เป็นต้น และการควบรวมกิจการนี้เป็นการควบรวมเฉพาะสถาบันการเงิน จึงเห็นควรออกเป็นกฎหมายใหม่แยกต่างหากจากนิติบุคคลทั่วไป โดยยังคงยึดแนวทางการให้สิทธิประโยชน์เดียวกัน เพื่อให้แนวทางปฏิบัติสอดคล้องกันและความเป็นธรรมของระบบภาษี ทั้งนี้ การควบรวมกิจการของสถาบันการเงินดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของสถาบันการเงินและความมีเสถียรภาพของระบบการเงิน ตลอดจนช่วยให้การให้บริการของสถาบันการเงินมีความทั่วถึงมากขื้น
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 97/2547 23 พฤศจิกายน 2547--