ภาวะเศรษฐกิจโลกในช่วงไตรมาส 3/2547 ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากสถานการณ์การก่อการร้ายในภูมิภาคต่าง ๆ ราคาน้ำมันที่ยังปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยและอัตราเงินเฟ้อในประเทศต่าง ๆ ปรับตัวสูงขึ้น เช่น สหรัฐอเมริกา ฮ่องกง เป็นต้น ยกเว้นเกาหลีใต้ที่ได้ลดอัตราดอกเบี้ยลงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่งผลให้ภาวะเงินฝืดเริ่มคลี่คลายลงบ้าง แต่ญี่ปุ่นยังไม่ปรับอัตราดอกเบี้ยเนื่องจากภาวะเงินฝืดยังตึงตัวไม่คลี่คลาย ซึ่งปัจจัยเสี่ยงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อภาวะความ เชื่อมั่นของผู้บริโภคและผู้ผลิตในแต่ละประเทศ อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจโลกยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากภาวะการส่งออกที่เพิ่มขึ้น โดยภาวะเศรษฐกิจสหภาพยุโรป และประเทศต่าง ๆ ในเอเชีย ได้แก่ จีน สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ฮ่องกง มาเลเซีย เกาหลีใต้ ได้ขยายตัวดีขึ้น ในขณะที่อินโดนีเซียเศรษฐกิจค่อนข้างทรงตัวแต่มีเพียงฟิลิปปินส์ที่เศรษฐกิจชะลอตัวลงจากไตรมาสแรกแต่ยังขยายตัวดีกว่าที่คาดการณ์ จากการฟื้นตัวของการส่งออก ส่วนสหรัฐอเมริกาได้ชะลอตัวลงจากการใช้จ่ายภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงอัตราดอกเบี้ยเพิ่มสูงขึ้น อัตราการว่างงานที่ยังไม่ฟื้นตัว แต่ภาคการผลิตยังคงขยายตัวช้า ๆ อย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญในไตรมาส 3/2547 มีดังนี้
1. จากการที่สหรัฐอเมริกายังประสบปัญหาการขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสถานการณ์ความมั่นคงด้านการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ความเชื่อถือในสกุลเงินของสหรัฐฯ ลดน้อยลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่ามากขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ ปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ในรอบปี 2547 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และ 21 กันยายน 2547 โดยอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์ (Fed Funds) เป็นร้อยละ 1.50 และร้อยละ 1.75 ตามลำดับ และอัตรา ดอกเบี้ยดิสเคาท์เรท (Discount Rate) เป็นร้อยละ 2.50 และร้อยละ 2.75 ตามลำดับ และคาดว่าในเดือนพฤศจิกายน 2547 ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในรอบปี ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคต่าง ๆ มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นแต่เพิ่มขึ้นในอัตราช้า ๆ เพื่อลดปัญหา เงินไหลออกและรักษาเสถียรภาพทางการเงินในประเทศไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป
2. จากการที่จีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแบบชะลอลงอย่างช้า ๆ (Soft Landing) ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเอเชียในระยะยาว ที่จีนจะชะลอการลงทุนและการส่งออก แต่จะใช้นโยบายปรับประสิทธิภาพการลงทุนเพื่อการส่งออกสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งยกระดับเสถียรภาพทางการเงินและการคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยเน้นให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีรากฐานทางการศึกษาที่ดีและมีงานทำ นำไปสู่การจ้างงานและรายได้ เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมในสังคม อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคม 2547 การบริโภคภายในประเทศ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของจีนยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
3. สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขับเคลื่อนไปได้ดีโดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 3 นี้ จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวจากความต้องการสินค้าของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพของแรงงานทำให้อัตราค่าจ้างสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่ดีจากภาวะธุรกิจที่แจ่มใสขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเงินฝืดที่ยังไม่ผ่อนคลาย ทำให้อัตราเงินเฟ้อคงที่อยู่ในระดับต่ำ
4. สำหรับสถานการณ์การค้าโลก เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าในช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2547 สหรัฐอเมริกามีมูลค่าสินค้าส่งออก 532,999.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 946,436.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 413,436.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 98,786.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ญี่ปุ่นมีมูลค่าสินค้าส่งออก 365,158.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 292,610.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 72,547.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 40,425.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับจีนนั้น มีมูลค่าสินค้าส่งออก 360,610.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 360,829.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุล การค้า 218.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจีนจะเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาและยุโรปจำนวน 46,400.5 และ 19,541.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ แต่จะขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น อาเซียน และไทย จำนวน 15,896.0 13,707.8 และ 3,971.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และร้อยละ 4.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น และการจ้างงานที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายนปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 94.2 จากร้อยละ 95.9 ในเดือนสิงหาคม
สำหรับภาคการผลิตยังมีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 4.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตามการผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing Index) ในเดือนกันยายนปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 58.5 จากระดับ 62.0 และ 59.0 ในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ตามลำดับด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกันยายนอยู่ในระดับร้อยละ 77.3 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเดือนสิงหาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 77.1
การขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ 2547 ดุลงบประมาณขาดดุลรวม 412.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าปี 2546 ที่ขาดดุล 377.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2/2547 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 166.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับไตรมาสที่ 1/2547 ที่ 147.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.7 ของ GDP ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวเป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดพันด์ (Fed Funds) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2547 เป็นร้อยละ 1.50 และ 1.75 ตามลำดับ และอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรท (Discount Rate) เป็นร้อยละ 2.50 และ 2.75 ตามลำดับและคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็น ครั้งที่ 4 ในรอบปีประมาณเดือนพฤศจิกายน 2547 นี้
เศรษฐกิจจีน
เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 9.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และไตรมาส 3 เศรษฐกิจในภาพรวมอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง จากการบริโภคภาคเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งในเมืองและชนบท โดยยอดค้าปลีกในประเทศขยายตัวร้อยละ 13.1 ในเดือนสิงหาคม เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ร้อยละ 13.2
ด้านผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม ขยายตัวร้อยละ 15.9 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 15.5 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงประเภทเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่รัฐบาลควบคุมยังมีภาวะไม่ชัดเจน โดยการผลิตซีเมนต์และอลูมิเนียมชะลอตัวลงในขณะที่การผลิตเหล็กขยายตัวเร่งขึ้น
การค้าของจีนขยายตัวสูงในช่วง 8 เดือนแรกของปี การส่งออกเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 37.5 เร่งขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 33.8 ซึ่งขยายตัวสูงกว่าตลาดที่คาดการณ์ไว้ และการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 35.6 สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี จีนขาดดุลการค้า 218.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น อาเซียน และไทย แต่จะเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาและยุโรป
จีนยังประสบปัญหาแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 5.3 เท่ากับเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี เป็นผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาอาหารที่สูงขึ้น โดยราคาอาหารสูงขึ้นร้อยละ 13.9 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม สำหรับราคาสินค้าผู้ผลิตเดือนสิงหาคมสูงขึ้นร้อยละ 6.8 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ร้อยละ 6.4 เนื่องจากราคาน้ำมันและเหล็กปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวนนั้น เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางจีนและกรมการประกันภัยของจีนได้ร่วมกันประกาศกฏเกณฑ์ใหม่ อนุญาตให้บริษัทประกันภัยของจีนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถลงทุนในพันธบัตรในตลาดต่างประเทศได้ ทำให้บริษัทประกันภัยของจีนมีขอบเขตการลงทุนที่กว้างขึ้น สามารถกระจายความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
อนึ่ง คณะกรรมการกำกับธนาคารจีน ได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามารถให้บริการเกี่ยวกับธุรกรรมเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นอีก 3 เมือง ได้แก่ ปักกิ่ง คุนหมิง และเซียะเหมิน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้จำนวนเมืองที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามารถทำธุรกรรมเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 เมือง นับเป็นการให้ความสำคัญกับการเปิดการค้าเสรีทางด้านการเงินของจีนมากขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยไตรมาส 2/2547 ขยายตัว ร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือร้อยละ 1.3 เทียบกับไตรมาสที่ 1/2547 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าประเภท กล้องถ่ายภาพดิจิตอล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ และรถยนต์ ทั้งนี้การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 17.9 เทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว เร่งขึ้นจากร้อยละ 15.1 ในไตรมาสที่ 1/2547 อย่างไร ก็ตามการส่งออกเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง โดยในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ส่งออกของญี่ปุ่น
แม้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 5.9 แต่ยังมีความเสี่ยงในเรื่องการสะสมสินค้าคงคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งหากมีสินค้าคงคลังมาก ๆ แต่ไม่ได้มียอดสั่งซื้อก็จะทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2/2547 ยังทรงตัวจากไตรมาสที่ 1/2547 สะท้อนการบริโภคของภาคครัวเรือนที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 4.8 เทียบกับช่วงต้นปีที่ร้อยละ 5.0 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 49.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2534 นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากรายได้และความมั่งคั่ง (Wealth) จากการเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์ในญี่ปุ่น
ทางด้านการลงทุน ผลสำรวจความเห็นบริษัทญี่ปุ่น (Tankan) ซึ่งเป็นดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นมาก โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ดัชนีที่สำรวจเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ (Large Manufacturing Firms) ขยายตัวร้อยละ 26.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 12.0 และ 22.0 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nikkei ที่ปรับสูงขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินฝืดของญี่ปุ่นยังคงไม่คลี่คลาย โดยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเดือนสิงหาคมยังคงลดลงร้อยละ 0.2 และ 0.2 ตามลำดับ เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 0.1 และ 0.2 ตามลำดับ ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยืนยันที่จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะมีเสถียรภาพเหนือระดับศูนย์
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับดีขึ้น แต่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะต่อไป ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไม่มั่นใจในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจว่าจะยั่งยืน สะท้อนมาที่ค่าเงินเยนเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาที่เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน และโดยรวมแล้วอ่อนค่าลง ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะสั้นยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ชะลอลงเล็กน้อยในครึ่งหลังของปี 2547 เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการชะลอลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของญี่ปุ่น
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรปยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องโดยไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 1.3 โดยภาคการส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ยังขยายตัวดี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงจากผลกระทบของราคาน้ำมัน
สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ส่งผลให้เดือนสิงหาคมอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เท่ากับเดือนกรกฎาคม ซึ่งสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้หากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อไป คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2.2 ต่อไปจนถึงต้นปี 2548
สำหรับดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมลดลงมาอยู่ที่ 53.9 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ 54.7 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2547 อย่างไรก็ดีดัชนีดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ที่ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งยังสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาค อุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production Index) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบกับเดือนที่แล้ว และชะลอลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากการผลิตในภาคพลังงานและ Non durable consumer goods ที่ชะลอลง ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการได้ปรับลดลงเช่นเดียวกัน โดยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 54.5 เทียบกับ 55.3 ในเดือนกรกฎาคม โดย PMI ภาคบริการของทุกประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปล้วนชะลอตัวทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มการประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มสหภาพยุโรปในปี 2547 จากร้อยละ 1.7 เป็นร้อยละ 2.0 และประมาณการการขยายตัวในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 2.3
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สำหรับประเด็นเศรษฐกิจโลกที่สำคัญในไตรมาส 3/2547 มีดังนี้
1. จากการที่สหรัฐอเมริกายังประสบปัญหาการขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งขาดดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งสถานการณ์ความมั่นคงด้านการเมืองทั้งภายในและภายนอกประเทศ ปัญหาการว่างงานและอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ความเชื่อถือในสกุลเงินของสหรัฐฯ ลดน้อยลง ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่ามากขึ้น ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาได้ ปรับอัตราดอกเบี้ยครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 ในรอบปี 2547 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และ 21 กันยายน 2547 โดยอัตราดอกเบี้ยเฟดฟันด์ (Fed Funds) เป็นร้อยละ 1.50 และร้อยละ 1.75 ตามลำดับ และอัตรา ดอกเบี้ยดิสเคาท์เรท (Discount Rate) เป็นร้อยละ 2.50 และร้อยละ 2.75 ตามลำดับ และคาดว่าในเดือนพฤศจิกายน 2547 ภายหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อาจจะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งที่ 4 ในรอบปี ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยในภูมิภาคต่าง ๆ มีแนวโน้มขยับตัวสูงขึ้นแต่เพิ่มขึ้นในอัตราช้า ๆ เพื่อลดปัญหา เงินไหลออกและรักษาเสถียรภาพทางการเงินในประเทศไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป
2. จากการที่จีนประกาศชะลอความร้อนแรงทางเศรษฐกิจแบบชะลอลงอย่างช้า ๆ (Soft Landing) ซึ่งจะส่งผลต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจของเอเชียในระยะยาว ที่จีนจะชะลอการลงทุนและการส่งออก แต่จะใช้นโยบายปรับประสิทธิภาพการลงทุนเพื่อการส่งออกสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น รวมทั้งยกระดับเสถียรภาพทางการเงินและการคลังให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจให้มีความมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว โดยเน้นให้ประชาชนมีสภาพความเป็นอยู่ที่ดี มีรากฐานทางการศึกษาที่ดีและมีงานทำ นำไปสู่การจ้างงานและรายได้ เกิดการกระจายรายได้ที่เป็นธรรมในสังคม อย่างไรก็ตามในเดือนสิงหาคม 2547 การบริโภคภายในประเทศ ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมและการส่งออกของจีนยังคงขยายตัวสูงอย่างต่อเนื่อง
3. สำหรับเศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขับเคลื่อนไปได้ดีโดยการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้เพิ่มสูงขึ้นในไตรมาส 3 นี้ จากการบริโภคภาคเอกชนที่ฟื้นตัวจากความต้องการสินค้าของผู้บริโภคที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น การปรับปรุงประสิทธิภาพของแรงงานทำให้อัตราค่าจ้างสูงขึ้น และการลงทุนภาคเอกชนยังมีแนวโน้มที่ดีจากภาวะธุรกิจที่แจ่มใสขึ้น โดยอัตราดอกเบี้ยยังไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากภาวะเงินฝืดที่ยังไม่ผ่อนคลาย ทำให้อัตราเงินเฟ้อคงที่อยู่ในระดับต่ำ
4. สำหรับสถานการณ์การค้าโลก เมื่อพิจารณาประเทศเศรษฐกิจหลักที่สำคัญพบว่าในช่วงเดือนมกราคม - สิงหาคม 2547 สหรัฐอเมริกามีมูลค่าสินค้าส่งออก 532,999.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 946,436.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุลการค้า 413,436.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดถึง 98,786.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ญี่ปุ่นมีมูลค่าสินค้าส่งออก 365,158.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 292,610.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เกินดุลการค้า 72,547.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกามากที่สุดถึง 40,425.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สำหรับจีนนั้น มีมูลค่าสินค้าส่งออก 360,610.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ นำเข้า 360,829.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ขาดดุล การค้า 218.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจีนจะเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาและยุโรปจำนวน 46,400.5 และ 19,541.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ แต่จะขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น อาเซียน และไทย จำนวน 15,896.0 13,707.8 และ 3,971.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ตามลำดับ
เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา
เศรษฐกิจสหรัฐฯ ไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้ว และร้อยละ 4.7 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยเศรษฐกิจเริ่มชะลอตัวลง จากการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงเป็นผลจากราคาน้ำมันที่ได้ปรับตัวสูงขึ้น และการจ้างงานที่ยังไม่ฟื้นตัว ซึ่งทำให้ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนกันยายนปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 94.2 จากร้อยละ 95.9 ในเดือนสิงหาคม
สำหรับภาคการผลิตยังมีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดยเดือนกันยายนขยายตัวร้อยละ 4.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วตามการผลิตคอมพิวเตอร์และเครื่องจักรที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างไรก็ตามดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing Index) ในเดือนกันยายนปรับลงมาอยู่ที่ระดับ 58.5 จากระดับ 62.0 และ 59.0 ในเดือนกรกฎาคม และสิงหาคม ตามลำดับด้านอัตราการใช้กำลังการผลิตในเดือนกันยายนอยู่ในระดับร้อยละ 77.3 ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกับเดือนสิงหาคมที่อยู่ที่ร้อยละ 77.1
การขาดดุลแฝด (Twin deficits) ทั้งดุลงบประมาณและดุลบัญชีเดินสะพัดยังเป็นปัญหาสำคัญของเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยในปีงบประมาณ 2547 ดุลงบประมาณขาดดุลรวม 412.6 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ สูงกว่าปี 2546 ที่ขาดดุล 377.1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ ขณะที่การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดในไตรมาส 2/2547 ปรับสูงขึ้นมาอยู่ที่ 166.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับไตรมาสที่ 1/2547 ที่ 147.2 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 5.7 ของ GDP ซึ่งการขาดดุลดังกล่าวเป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมัน ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ อ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินสกุลสำคัญ ทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้ประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฟดพันด์ (Fed Funds) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2547 และครั้งที่ 3 เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2547 เป็นร้อยละ 1.50 และ 1.75 ตามลำดับ และอัตราดอกเบี้ยดิสเคาท์เรท (Discount Rate) เป็นร้อยละ 2.50 และ 2.75 ตามลำดับและคาดว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับอัตราดอกเบี้ยเป็น ครั้งที่ 4 ในรอบปีประมาณเดือนพฤศจิกายน 2547 นี้
เศรษฐกิจจีน
เศรษฐกิจจีนในไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 9.6 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว และไตรมาส 3 เศรษฐกิจในภาพรวมอยู่ในภาวะแข็งแกร่ง จากการบริโภคภาคเอกชนที่อยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ทั้งในเมืองและชนบท โดยยอดค้าปลีกในประเทศขยายตัวร้อยละ 13.1 ในเดือนสิงหาคม เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ร้อยละ 13.2
ด้านผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนสิงหาคม ขยายตัวร้อยละ 15.9 เมื่อเทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 15.5 เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการผลิตสินค้าเพื่อส่งออก โดยเฉพาะสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีในการผลิตสูงประเภทเซมิคอนดักเตอร์และอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ สำหรับการผลิตในภาคอุตสาหกรรมที่รัฐบาลควบคุมยังมีภาวะไม่ชัดเจน โดยการผลิตซีเมนต์และอลูมิเนียมชะลอตัวลงในขณะที่การผลิตเหล็กขยายตัวเร่งขึ้น
การค้าของจีนขยายตัวสูงในช่วง 8 เดือนแรกของปี การส่งออกเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 37.5 เร่งขึ้นจากเดือนกรกฎาคมที่ขยายตัวร้อยละ 33.8 ซึ่งขยายตัวสูงกว่าตลาดที่คาดการณ์ไว้ และการนำเข้าขยายตัวร้อยละ 35.6 สำหรับในช่วง 8 เดือนแรกของปี จีนขาดดุลการค้า 218.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการขาดดุลการค้ากับญี่ปุ่น อาเซียน และไทย แต่จะเกินดุลการค้ากับสหรัฐอเมริกาและยุโรป
จีนยังประสบปัญหาแรงกดดันจากภาวะเงินเฟ้อ โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 5.3 เท่ากับเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี เป็นผลจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาอาหารที่สูงขึ้น โดยราคาอาหารสูงขึ้นร้อยละ 13.9 เนื่องจากได้รับผลกระทบจากภาวะน้ำท่วม สำหรับราคาสินค้าผู้ผลิตเดือนสิงหาคมสูงขึ้นร้อยละ 6.8 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ร้อยละ 6.4 เนื่องจากราคาน้ำมันและเหล็กปรับตัวสูงขึ้น
สำหรับการดำเนินนโยบายทางการเงินเพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินหยวนนั้น เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2547 ธนาคารกลางจีนและกรมการประกันภัยของจีนได้ร่วมกันประกาศกฏเกณฑ์ใหม่ อนุญาตให้บริษัทประกันภัยของจีนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์สามารถลงทุนในพันธบัตรในตลาดต่างประเทศได้ ทำให้บริษัทประกันภัยของจีนมีขอบเขตการลงทุนที่กว้างขึ้น สามารถกระจายความเสี่ยงและได้รับผลตอบแทนมากขึ้น รวมทั้งจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันต่อค่าเงินหยวน
อนึ่ง คณะกรรมการกำกับธนาคารจีน ได้อนุญาตให้ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามารถให้บริการเกี่ยวกับธุรกรรมเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นอีก 3 เมือง ได้แก่ ปักกิ่ง คุนหมิง และเซียะเหมิน ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในเดือนธันวาคมนี้ ทำให้จำนวนเมืองที่ธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศสามารถทำธุรกรรมเงินหยวนได้เพิ่มขึ้นเป็น 16 เมือง นับเป็นการให้ความสำคัญกับการเปิดการค้าเสรีทางด้านการเงินของจีนมากขึ้น
เศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจญี่ปุ่นยังคงขยายตัวต่อเนื่องในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยไตรมาส 2/2547 ขยายตัว ร้อยละ 4.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว หรือร้อยละ 1.3 เทียบกับไตรมาสที่ 1/2547 ซึ่งเป็นผลจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ภายในประเทศและการส่งออก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการส่งออกสินค้าประเภท กล้องถ่ายภาพดิจิตอล ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โทรทัศน์ และรถยนต์ ทั้งนี้การส่งออกในไตรมาสที่ 2 ขยายตัวร้อยละ 17.9 เทียบกับระยะเดียวกันของปีที่แล้ว เร่งขึ้นจากร้อยละ 15.1 ในไตรมาสที่ 1/2547 อย่างไร ก็ตามการส่งออกเริ่มมีแนวโน้มชะลอลง โดยในเดือนสิงหาคมขยายตัวร้อยละ 10.4 เมื่อเทียบกับช่วง เดียวกันของปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรม ส่งออกของญี่ปุ่น
แม้ว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนกรกฎาคมขยายตัวร้อยละ 5.9 แต่ยังมีความเสี่ยงในเรื่องการสะสมสินค้าคงคลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี ซึ่งหากมีสินค้าคงคลังมาก ๆ แต่ไม่ได้มียอดสั่งซื้อก็จะทำให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
สำหรับการบริโภคภาคเอกชนในไตรมาสที่ 2/2547 ยังทรงตัวจากไตรมาสที่ 1/2547 สะท้อนการบริโภคของภาคครัวเรือนที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป ด้านตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยอัตราการว่างงานในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ร้อยละ 4.8 เทียบกับช่วงต้นปีที่ร้อยละ 5.0 ส่งผลให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง โดยในเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 49.2 ซึ่งเป็นระดับที่สูงที่สุดตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2534 นอกจากนี้ความเชื่อมั่นที่ปรับตัวดีขึ้นเป็นผลจากรายได้และความมั่งคั่ง (Wealth) จากการเพิ่มขึ้นของราคาหลักทรัพย์ในญี่ปุ่น
ทางด้านการลงทุน ผลสำรวจความเห็นบริษัทญี่ปุ่น (Tankan) ซึ่งเป็นดัชนีความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจปรับตัวดีขึ้นมาก โดยในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ดัชนีที่สำรวจเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ (Large Manufacturing Firms) ขยายตัวร้อยละ 26.0 เทียบกับที่ขยายตัวร้อยละ 12.0 และ 22.0 ในไตรมาสที่ 1 และ 2 ตามลำดับ โดยเป็นผลจากภาวะเศรษฐกิจที่เริ่มมีทิศทางการฟื้นตัวที่ชัดเจนมากขึ้น สอดคล้องกับดัชนีตลาดหลักทรัพย์ Nikkei ที่ปรับสูงขึ้นสะท้อนถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนที่ปรับตัวดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์เงินฝืดของญี่ปุ่นยังคงไม่คลี่คลาย โดยดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไป และดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในเดือนสิงหาคมยังคงลดลงร้อยละ 0.2 และ 0.2 ตามลำดับ เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ลดลงร้อยละ 0.1 และ 0.2 ตามลำดับ ทั้งนี้ ธนาคารกลางญี่ปุ่นยืนยันที่จะดำเนินนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปจนกว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะมีเสถียรภาพเหนือระดับศูนย์
แม้ว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นปรับดีขึ้น แต่ราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นคาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในระยะต่อไป ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่ยังคงไม่มั่นใจในการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจว่าจะยั่งยืน สะท้อนมาที่ค่าเงินเยนเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมาที่เคลื่อนไหวค่อนข้างผันผวน และโดยรวมแล้วอ่อนค่าลง ทั้งนี้คณะกรรมการฯ ประเมินว่าแนวโน้มเศรษฐกิจญี่ปุ่นในระยะสั้นยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี แต่ชะลอลงเล็กน้อยในครึ่งหลังของปี 2547 เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงจากปัจจัยภายนอก ทั้งการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลก และการชะลอลงของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าของญี่ปุ่น
เศรษฐกิจสหภาพยุโรป
เศรษฐกิจสหภาพยุโรปยังคงฟื้นตัวต่อเนื่องโดยไตรมาส 2/2547 ขยายตัวร้อยละ 2 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว จากไตรมาสแรกที่ขยายตัวร้อยละ 1.3 โดยภาคการส่งออกมีแนวโน้มที่ดีขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และการลงทุนมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่นกัน รวมทั้งการใช้จ่ายภาครัฐ ที่ยังขยายตัวดี ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนชะลอลงจากผลกระทบของราคาน้ำมัน
สำหรับราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูง ส่งผลให้เดือนสิงหาคมอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 เท่ากับเดือนกรกฎาคม ซึ่งสะท้อนว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อยังไม่มีแนวโน้มลดลง ทั้งนี้หากราคาน้ำมันยังคงทรงตัวในระดับสูงต่อไป คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าที่ร้อยละ 2.2 ต่อไปจนถึงต้นปี 2548
สำหรับดัชนี PMI ภาคอุตสาหกรรมในเดือนสิงหาคมลดลงมาอยู่ที่ 53.9 เทียบกับเดือนกรกฎาคมที่ 54.7 ซึ่งนับว่าเป็นระดับที่ต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2547 อย่างไรก็ดีดัชนีดังกล่าวยังคงอยู่สูงกว่าระดับ 50 ที่ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 12 ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งยังสะท้อนให้เห็นถึงการฟื้นตัวของภาค อุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ดัชนีการผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production Index) ในเดือนกรกฎาคมเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 เทียบกับเดือนที่แล้ว และชะลอลงร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว เป็นผลจากการผลิตในภาคพลังงานและ Non durable consumer goods ที่ชะลอลง ขณะที่ดัชนี PMI ภาคบริการได้ปรับลดลงเช่นเดียวกัน โดยเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 54.5 เทียบกับ 55.3 ในเดือนกรกฎาคม โดย PMI ภาคบริการของทุกประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรปล้วนชะลอตัวทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตามกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ปรับเพิ่มการประมาณการการขยายตัวทางเศรษฐกิจของกลุ่มสหภาพยุโรปในปี 2547 จากร้อยละ 1.7 เป็นร้อยละ 2.0 และประมาณการการขยายตัวในปี 2548 ไว้ที่ร้อยละ 2.3
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-