จากการสำรวจภาวะการทำงานของประชาชนในไตรมาสที่ 3 (ตัวเลขเดือนกันยายน)ของปี 2547 โดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ พบว่ามีผู้ที่อยู่ในกำลังแรงงาน 35.67 ล้านคน เป็นผู้ที่มีงานทำ 34.98 ล้านคน คิดเป็นร้อยละ 98.2 ของกำลังแรงงานทั้งหมด และมีผู้ว่างงาน 0.64 ล้านคน (คิดเป็นร้อยละ 1.8) ลดลงจากช่วงไตรมาสที่ 2 เล็กน้อยที่มีผู้ว่างงาน 0.73 ล้านคน
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 มีจำนวน 5.72 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 16.35 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 2 พบว่าอุตสาหกรรมการผลิตมีจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 5.65 ล้านคนเป็น 5.72 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 คน หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.24
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 มีจำนวน ผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,816,364 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ 2 128,359 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.70) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 6 เดือนของปี 2547 มีจำนวน 55,595 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 24,152 คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ 3,233 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตอาหาร มีจำนวน 2,594 คน อุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอและสิ่งถัก จำนวน 2,555 คน และอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยุ จำนวน 2,277 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 7,342 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และรถพ่วง 330 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 275 แห่ง และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะประดิษฐ์ 141 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2547 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 49,939.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 25,141.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 24,797.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.34 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.46 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.21 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.87 ส่งผลให้การเกินดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 มีมูลค่า 343.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ร้อยละ 171.14 แต่ลดลงร้อยละ 65.11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่าการส่งออกในไตรมาสที่ 3ของปี 2547 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนมิกันยายน 2547 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 8,668.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
-โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 55,581.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 77.8) สินค้าเกษตรกรรม 7,437.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.4) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,695.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.6) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 2,415.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.4) และสินค้าอื่นๆ 1,251.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.8)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าเกือบทุกตัวมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 สินค้าอุตสาหกรรม มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 25.3 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.9 และสินค้าอื่นลดลงร้อยละ 16.0สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2547 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 6,523.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4,056.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 3,794.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 2,424.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2,415.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2,290.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 2,193.7ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 1,926.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้าว 1,926.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเหล็ก 1,800.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 29,351.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 41.09 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
- ตลาดส่งออก
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 73.0 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 19.8 ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.5 และตลาดอื่นๆร้อยละ 1.5
- โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547ประกอบด้วย การนำเข้าวัตถุดิบ 32,220.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 45.7) รองลงมาเป็น สินค้าทุน มีมูลค่าสูงที่สุด 20,075.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 28.5) น้ำมันเชื้อเพลิง 9,500.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.5) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,112.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.3) สินค้าหมวดยานพาหนะ 2,810.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.0) และ สินค้าอื่นๆ 722.6 (คิดเป็นร้อยละ 1.0)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยสินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 น้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.0 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.8 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าหมวดอื่นๆลดลงร้อยละ 75.4
- แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 66.0 และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2546 พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 ,สหภาพยุโรป ร้อยละ 22.5 ,ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.7 , สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.6
- แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2547 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้วางเป้าหมายมูลค่าการส่งออกไว้ที่ 96,000 - 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 - 22 และคาดการณ์การส่งออกในปี 2548 คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการส่งออก คือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีแนวโน้มที่ดี การเปิดเสรีการค้า การเปิดตลาดใหม่ของรัฐบาล และราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่น ข้าวมันสำปะหลัง และยางพารา สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบด้านลบต่อการส่งออก คือ ปัญหาการก่อการร้าย ภาวะราคาน้ำมัน ซึ่งยังคงมีทิศทางที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ รวมทั้งปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 10,615 ล้านบาท โดยในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 7,445 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม 3,166 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนสุทธิมากที่สุด คือ 10,074 ล้านบาท โดยในสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมากที่สุด เป็นเงินลงทุนสุทธิ 6,067 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดสาขาอาหารและน้ำตาล 2,221 ล้านบาท และหมวดโลหะและอโลหะ 924 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม คือ ประเทศญี่ปุ่น มีเงินลงทุนสุทธิถึง 8,449 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ และ สหราชอาณาจักรมีเงินลงทุนสุทธิ 4,355 ล้านบาท และ 1,078 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 568 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 228,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 286 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 101,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 282 โครงการ เป็นเงินลงทุน 126,700 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่า ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดเคมี กระดาษและพลาสติก มีเงินลงทุน 79,600 ล้านบาท หมวดหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีเงินลงทุน 75,700 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดผลิตโลหะและอุปกรณ์ 53,400 ล้านบาท
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 258 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 86,177 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 29 โครงการ 24,242 ล้านบาท ประเทศฮ่องกง 18 โครงการ เป็นเงินลงทุน 13,127 ล้านบาท, ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 49 โครงการ เป็นเงินลงทุน 11,996 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
สำหรับการจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 มีจำนวน 5.72 ล้านคน หรือคิดเป็นร้อยละ 16.35 ของผู้มีงานทำทั้งหมด และเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงไตรมาสที่ 2 พบว่าอุตสาหกรรมการผลิตมีจำนวนผู้มีงานทำเพิ่มขึ้นเล็กน้อย จาก 5.65 ล้านคนเป็น 5.72 ล้านคน เพิ่มขึ้นประมาณ 70,000 คน หรือเพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 1.24
ทางด้านจำนวนผู้ประกันตนในระบบประกันสังคม ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 มีจำนวน ผู้ประกันตนทั้งสิ้น 7,816,364 คน เพิ่มขึ้นจากช่วงไตรมาสที่ 2 128,359 คน (เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.70) กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานได้รับแจ้งจำนวนลูกจ้างที่ถูกเลิกจ้างในระยะเวลา 6 เดือนของปี 2547 มีจำนวน 55,595 คน โดยเป็นการเลิกจ้างในอุตสาหกรรมการผลิตจำนวน 24,152 คน อุตสาหกรรมที่มีการเลิกจ้างมากที่สุด 4 อันดับแรกได้แก่ อุตสาหกรรมยานยนต์ 3,233 คน รองลงมาคืออุตสาหกรรมการผลิตอาหาร มีจำนวน 2,594 คน อุตสาหกรรมการผลิตสิ่งทอและสิ่งถัก จำนวน 2,555 คน และอุตสาหกรรมการผลิตอุปกรณ์และเครื่องมือวิทยุ จำนวน 2,277 คน
ส่วนสถานประกอบการที่เลิกกิจการมีจำนวน 7,342 แห่ง ซึ่งอุตสาหกรรมที่มีการเลิกกิจการมากที่สุดคือ อุตสาหกรรมการผลิตยานยนต์และรถพ่วง 330 แห่ง รองลงมาคืออุตสาหกรรมอาหารเครื่องดื่มและยาสูบ 275 แห่ง และอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์ที่ทำจากโลหะประดิษฐ์ 141 แห่ง
การค้าต่างประเทศ
สถานการณ์การค้าในช่วงไตรมาสที่สามของปี 2547 มีทิศทางเพิ่มสูงขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 โดยในไตรมาสที่ 3 นี้การค้าต่างประเทศของไทยมีมูลค่าทั้งสิ้น 49,939.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นมูลค่าการส่งออกเท่ากับ 25,141.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และมูลค่าการนำเข้าเท่ากับ 24,797.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับไตรมาสที่แล้วมูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.34 และการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.46 และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน พบว่ามูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 25.21 และมูลค่าการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.87 ส่งผลให้การเกินดุลการค้าในไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 มีมูลค่า 343.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ร้อยละ 171.14 แต่ลดลงร้อยละ 65.11 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันในปีที่แล้ว
เป็นที่น่าสังเกตว่าการส่งออกในไตรมาสที่ 3ของปี 2547 เมื่อพิจารณาเป็นรายเดือน พบว่ามีมูลค่าการส่งออกเกินกว่า 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯทุกเดือน โดยเฉพาะในเดือนมิกันยายน 2547 มีมูลค่าการส่งออกสูงถึง 8,668.4 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
-โครงสร้างการส่งออก
การส่งออกในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 ประกอบด้วย สินค้าอุตสาหกรรม 55,581.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 77.8) สินค้าเกษตรกรรม 7,437.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 10.4) สินค้าอุตสาหกรรมเกษตร 4,695.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 6.6) สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิง 2,415.5 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 3.4) และสินค้าอื่นๆ 1,251.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 1.8)
เทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว มูลค่าการส่งออกของสินค้าเกือบทุกตัวมีอัตราการขยายตัวที่เพิ่มขึ้น โดยสินค้าเกษตรกรรมส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.8 สินค้าอุตสาหกรรมเกษตรเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 สินค้าอุตสาหกรรม มีการส่งออกเพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 25.3 สินค้าแร่ธาตุและเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้นร้อยละ 48.9 และสินค้าอื่นลดลงร้อยละ 16.0สินค้าส่งออกที่สำคัญ 10 รายการหลักในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2547 ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกสูงสุดคือ 6,523.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ รองลงมาคือ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ 4,056.1 ล้านเหรียญสหรัฐฯ แผงวงจรไฟฟ้า 3,794.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ยางพารา 2,424.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เครื่องรับวิทยุโทรทัศน์ 2,415.7 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เสื้อผ้าสำเร็จรูป 2,290.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เม็ดพลาสติก 2,193.7ล้านเหรียญสหรัฐฯ อัญมณีและเครื่องประดับ 1,926.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ข้าว 1,926.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ และเหล็ก 1,800.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยมูลค่าการส่งออก 10 รายการหลักรวมกันเท่ากับ 29,351.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 41.09 ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด
- ตลาดส่งออก
ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 การส่งออกไปยังตลาดหลัก ซึ่งได้แก่ อาเซียน สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น และจีน มีสัดส่วนการส่งออกรวมคิดเป็นร้อยละ 73.0 ของการส่งออกของไทยไปยังทั่วโลก โดยเมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนพบว่า การส่งออกของประเทศไทยเพิ่มขึ้นในทุกตลาดหลัก โดยในตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.1 ตลาดญี่ปุ่นร้อยละ 19.8 ตลาดสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ตลาดสหภาพยุโรปเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.9 ตลาดจีนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 26.5 และตลาดอื่นๆร้อยละ 1.5
- โครงสร้างการนำเข้า
การนำเข้าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547ประกอบด้วย การนำเข้าวัตถุดิบ 32,220.0 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 45.7) รองลงมาเป็น สินค้าทุน มีมูลค่าสูงที่สุด 20,075.8 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 28.5) น้ำมันเชื้อเพลิง 9,500.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 13.5) สินค้าอุปโภคบริโภค 5,112.2 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 7.3) สินค้าหมวดยานพาหนะ 2,810.3 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (คิดเป็นร้อยละ 4.0) และ สินค้าอื่นๆ 722.6 (คิดเป็นร้อยละ 1.0)
เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่แล้ว พบว่าสินค้าทุกหมวดมีมูลค่าการนำเข้าขยายตัว โดยสินค้าทุนนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.8 น้ำมันเชื้อเพลิง เพิ่มขึ้นร้อยละ 49.0 สินค้าวัตถุดิบเพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 สินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ร้อยละ 23.8 และสินค้าหมวดยานพาหนะเพิ่มขึ้นร้อยละ 24.3 สินค้าหมวดอื่นๆลดลงร้อยละ 75.4
- แหล่งนำเข้า
การนำเข้าจากแหล่งนำเข้าที่สำคัญได้แก่ ญี่ปุ่น, อาเซียน, สหภาพยุโรป สหรัฐอเมริกา และจีน โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 มีสัดส่วนนำเข้ารวมร้อยละ 66.0 และเมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกัน ของปี 2546 พบว่าการนำเข้าจากกลุ่มประเทศอาเซียน เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.5 ,สหภาพยุโรป ร้อยละ 22.5 ,ญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.7 , สหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นร้อยละ 9.5 จีนเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 และจากแหล่งอื่นๆ เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.6
- แนวโน้มการส่งออก
สถานการณ์การค้าในปี 2547 ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้น โดยกระทรวงพาณิชย์ได้วางเป้าหมายมูลค่าการส่งออกไว้ที่ 96,000 - 97,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 - 22 และคาดการณ์การส่งออกในปี 2548 คาดว่าจะส่งออกได้ถึง 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯโดยปัจจัยหลักที่จะสนับสนุนการส่งออก คือ ภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศที่มีแนวโน้มที่ดี การเปิดเสรีการค้า การเปิดตลาดใหม่ของรัฐบาล และราคาสินค้าเกษตรหลายชนิดที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้นเช่น ข้าวมันสำปะหลัง และยางพารา สำหรับปัจจัยที่มีผลกระทบด้านลบต่อการส่งออก คือ ปัญหาการก่อการร้าย ภาวะราคาน้ำมัน ซึ่งยังคงมีทิศทางที่เพิ่มสูงอย่างต่อเนื่อง ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ รวมทั้งปัญหาไข้หวัดนก เป็นต้น
การลงทุนจากต่างประเทศ
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศสุทธิในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 จากข้อมูลเบื้องต้นของธนาคารแห่งประเทศไทย การลงทุนสุทธิในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม มีมูลค่ารวม 10,615 ล้านบาท โดยในเดือนกรกฎาคมมีมูลค่าการลงทุนสุทธิ 7,445 ล้านบาท และเดือนสิงหาคม 3,166 ล้านบาท
ในช่วง 2 เดือนแรกของไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 สาขาอุตสาหกรรมเป็นสาขาที่มีการลงทุนสุทธิมากที่สุด คือ 10,074 ล้านบาท โดยในสาขาอุตสาหกรรมมีการลงทุนสุทธิในหมวดเครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่งมากที่สุด เป็นเงินลงทุนสุทธิ 6,067 ล้านบาท รองลงมาคือ หมวดสาขาอาหารและน้ำตาล 2,221 ล้านบาท และหมวดโลหะและอโลหะ 924 ล้านบาท
ประเทศที่เข้ามาลงทุนสุทธิในประเทศไทยมากที่สุดในเดือนกรกฎาคมและสิงหาคม คือ ประเทศญี่ปุ่น มีเงินลงทุนสุทธิถึง 8,449 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสิงคโปร์ และ สหราชอาณาจักรมีเงินลงทุนสุทธิ 4,355 ล้านบาท และ 1,078 ล้านบาท ตามลำดับ
สำหรับการลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) พบว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 การลงทุนจากต่างประเทศที่ได้รับอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI มีจำนวนทั้งสิ้น 568 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 228,000 ล้านบาท โดยเป็นโครงการที่ลงทุนจากต่างประเทศ 100 % จำนวน 286 โครงการ คิดเป็นเงินลงทุน 101,300 ล้านบาท เป็นโครงการร่วมทุนระหว่างไทยและต่างประเทศ 282 โครงการ เป็นเงินลงทุน 126,700 ล้านบาท
เมื่อพิจารณาในหมวดของการเข้ามาลงทุน พบว่า ประเภทกิจการที่ได้รับการอนุมัติการส่งเสริมการลงทุนมากที่สุด คือ หมวดเคมี กระดาษและพลาสติก มีเงินลงทุน 79,600 ล้านบาท หมวดหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีเงินลงทุน 75,700 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดผลิตโลหะและอุปกรณ์ 53,400 ล้านบาท
สำหรับแหล่งลงทุนในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2547 พบว่านักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่นมีการลงทุนมากที่สุดโดยได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งสิ้น 258 โครงการ คิดเป็นมูลค่าการลงทุน 86,177 ล้านบาท รองลงมาคือ ประเทศสหรัฐอเมริกา จำนวน 29 โครงการ 24,242 ล้านบาท ประเทศฮ่องกง 18 โครงการ เป็นเงินลงทุน 13,127 ล้านบาท, ประเทศสิงคโปร์ จำนวน 49 โครงการ เป็นเงินลงทุน 11,996 ล้านบาท
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-