1. การผลิต
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.34 และลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ร้อยละ 50.33 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฤดูกาลของการผลิตอุตสาหกรรมอาหารที่จะผลิตลดลงในไตรมาสที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อนร้อยละ 16.71 เป็นผลต่อเนื่องจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก ผลิตภัณฑ์ประมงลดลงร้อยละ 16.55 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และการแปรรูปผักผลไม้มีการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 1.25 และ 11.70 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่มีวัตถุดิบน้อย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ก็มีการผลิตลดลงร้อยละ 18.99 ด้วยเพราะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโรค ไข้หวัดนก จะมีเพียงผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช และขนมอบเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97 และ 14 ตามลำดับ
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล ปศุสัตว์และอาหารสัตว์) ลดลงร้อยละ 33.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 สินค้าสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสัตว์ ร้อยละ 30.1 และ 22.3 เนื่องจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนต้องลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นลง อย่างไรก็ตามจากภาวะวิกฤตการณ์ไข้หวัดนกทำให้ระดับราคาไก่ในประเทศปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคไก่และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 7
2) ตลาดต่างประเทศ
- การส่งออก
ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมปศุสัตว์) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.2 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 80,223.7 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 235,233.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.1 สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารในแต่ละประเภท มีดังนี้
(1) อาหารทะเลและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการส่งออกเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 23.2 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 1.9 โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 41,794.5 ล้านบาท เป็นผลจากการส่งออกที่ลดลงในเกือบทุกหมวดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ อาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 7.5 และอาหารทะเลแปรรูปลดลงร้อยละ 3.7 ส่วนอาหารทะเลกระป๋องเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้าที่สำคัญส่วนใหญ่มีการส่งออกลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 21.2 เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งจากประเทศไทย ปลาทูน่ากระป๋อง ลดลงร้อยละ 0.7 เป็นผลจากวัตถุดิบขาดแคลนและราคาเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการจับปลาและสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น ประกอบกับประเทศในสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้หันไปนำเข้าอาหารทะเลแปรรูปและกระป๋องจากประเทศอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศแปซิฟิกแทนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตลาดตะวันออกกลาง เช่น คูเวต อิยิปต์ และซีเรีย ได้รับผลกระทบจากสงครามอิรักที่ทำให้การขนส่งทำได้ลำบากขึ้น ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการส่งออกของหมวดนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 6.4 โดยที่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 5.6
(2) ผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 13,823.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าในหมวดนี้เกือบทุกชนิดมีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นสินค้าสำคัญมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เนื่องจากระดับราคาส่งออกเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการที่วัตถุดิบมีไม่เพียงพอ ส่วนการส่งออกผักสด และผักกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 และ 6.2 จากการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ ขณะที่ 9 เดือนแรกมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2546 ร้อยละ 6.6
(3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 6,319.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 45.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ลดลง คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 99.5 เป็นผลจากการระงับการนำเข้าไก่สดฯ จากไทยของประเทศต่างๆ จนกว่าจะสามารถควบคุมโรคไข้หวัดนก ส่วนการส่งออกไก่แปรรูป การส่งออกในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและร้อยละ 53.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ 9 เดือนของปี 2547 มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปรับโครงสร้างส่งออกสินค้าไก่เป็นไก่ต้มสุก/แปรรูปทดแทนไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากสัดส่วน ไก่สดฯ : ไก่แปรรูป 60 : 40 เป็น 20 : 80
(4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกรวมทั้งสิ้น 12,793.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของหมวดนี้ (ร้อยละ 60 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมวด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.2 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว (แป้งข้าวต่างๆ ขนมปังกรอบ และเส้นหมี่เส้นก๋วยเตี๋ยว) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี (เวเฟอร์ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.6 และ 20.8 ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการส่งออกของหมวดนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
(5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 11,812.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 เป็นผลจากการส่งออกน้ำตาลลดลงร้อยละ 11.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่สหภาพยุโรป (EU) อุดหนุนการส่งออกกับประเทศในกลุ่ม ซึ่งองค์การการค้าโลกได้ตัดสินขั้นต้นว่า EU อุดหนุนจริง จะลดการส่งออกลง และส่งผลต่อระดับราคาน้ำตาลตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะที่สินค้าอื่นๆ ในหมวดนี้สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-50 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สิ่งปรุงรส เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.5 และเครื่องเทศสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.1 ผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าส่งออกของทั้งหมวดลดลงร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกน้ำตาลทรายที่ลดลงร้อยละ 13.7
- การนำเข้า
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอาหารทั้งสิ้น 39,279.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 16.8 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 22.2 โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 นำเข้าในหมวดสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งเป็นมูลค่า 12,992.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 0.7 และปลาสำเร็จรูปร้อยละ 25.5 สำหรับหมวดสัตว์และพืช มีมูลค่านำเข้า 14,396.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ16.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของกากพืชน้ำมันร้อยละ 45.9 และเมล็ดพืชน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ส่วนผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 11,890.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน คือ ธัญพืชและธัญพืชสำเร็จรูป ร้อยละ 37.6 ผักผลไม้และของปรุงแต่งจากผักผลไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.0 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการนำเข้าของทั้งวัตถุดิบและอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.49 ในขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์วัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.9
นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ภาครัฐได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร ดังนี้
- การช่วยเหลือผู้ประกอบการกรณีการฟ้องการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา โดยผู้แทนไทยได้เข้าหารือกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้ยกกรณีที่สมาคมผู้ผลิตและค้าถั่วเหลืองสหรัฐคัดค้านการประกาศการทุ่มตลาด เนื่องจากไทยมีการนำเข้าถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐเป็นหลัก และ ชี้แจงผลกระทบหากการประกาศภาษีการทุ่มตลาดในอัตราสูงและไม่เป็นธรรม จะส่งผลกระทบต่อการนำเข้า ถั่วเหลืองที่เป็นวัตถุดิบในอาหารกุ้งจากสหรัฐฯ ลดลงตามไปด้วย
- การกำหนดมาตรการรองรับปัญหาไข้หวัดนก ทั้งในด้านการชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาสัตว์ปีกที่เลี้ยงถูกทำลาย และการป้องกันการระบาดเพิ่มเติม โดยกำหนดเป็นกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำหนดการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายสัตว์ในกรณีขยายพันธุ์สัตว์ด้วย นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังอยู่ระหว่างการประสานการขอข้อมูลการทดลองวัคซีนขององค์การปศุสัตว์ระหว่างประเทศ และการกำหนดมาตรการเฝ้าระวังการระบาดทั้งในคนและสัตว์อย่างเข้มงวด
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของฤดูกาล อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ ข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกรอบใหม่ การประกาศการไต่สวนและความเสียหายจากการทุ่มตลาดกุ้งขั้นสุดท้ายของสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3-4 ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการย่างเข้าสู่ฤดูหนาว และปัญหาการก่อการร้ายทั่วโลก ล้วนเป็นปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
1) ผลิตภัณฑ์ประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง มีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศสหรัฐฯ และประเทศที่เป็นพันธมิตรมีความกังวลในด้านสงครามและการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับย่างเข้าฤดูหนาว จึงต้องสำรองอาหารประเภทกระป๋องมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการเปิดตลาดผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบ คือ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อันส่งผลต่อราคาเหล็กนำเข้าที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์แพงขึ้น นอกจากนี้สินค้ากุ้งของไทยกำลังอยู่ระหว่างไต่สวนการฟ้องการทุ่มตลาดจากสหรัฐ โดยจะมีการประกาศผลการไต่สวนขั้นสุดท้ายปลายปี 2547 และจะประกาศใช้ภาษีทุ่มตลาดในต้นปี 2548 ซึ่งจะทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งทางจิตวิทยาโดยตรงต่อผู้บริโภคในการลดการบริโภคลง
2) ผลิตภัณฑ์พืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดในโต กว่าร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกดีขึ้น เนื่องจากระดับราคายังคงสูงกว่าในปีก่อนๆ จากการที่วัตถุดิบมีปริมาณน้อย นอกจากนี้ผักและผลไม้อื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้ากับประเทศอินเดีย เช่น เงาะ ทุเรียน องุ่น และลำไย
3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่ไก่แปรรูป ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องทดแทนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จากการที่ตลาดหลัก (ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป) ยังประกาศระงับการนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ต่อไป
4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ คือ มันสำปะหลัง มีแนวโน้มการผลิตและส่งออกขยายตัวในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะจีน เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว จำเป็นต้องใช้อาหารเลี้ยงสัตว์แบบแห้งทดแทนหญ้าหรืออาหารสดอื่นๆ ทำให้ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่อง ไตรมาส 1 ของปีต่อไป คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น จากการที่ปริมาณฝนในปี 2547 ลดต่ำลง การสะสมแป้งในหัวมันเพิ่มขึ้น ประกอบกับพื้นที่เพาะปลูกที่ยังทรงตัวในระดับเดียวกับปี 2546
5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และการที่องค์การการค้าโลกประกาศผลการยื่นฟ้องต่อการอุดหนุนการส่งออกสหภาพยุโรป ขณะที่บราซิลลดการผลิตน้ำตาลโดยเปลี่ยนไปผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับราคาน้ำตาลตลาดโลกในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคในประเทศที่หันมาให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ และการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ภาวะการผลิตของอุตสาหกรรมอาหารมีการเปลี่ยนแปลงลดลงจาก ช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 12.34 และลดลงจากไตรมาสที่ 2 ของปี 2547 ร้อยละ 50.33 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฤดูกาลของการผลิตอุตสาหกรรมอาหารที่จะผลิตลดลงในไตรมาสที่ 3 ผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเพื่อส่งออกเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 ได้แก่ ผลิตภัณฑ์แปรรูปปศุสัตว์ ผลิตลดลงเทียบกับปีก่อนร้อยละ 16.71 เป็นผลต่อเนื่องจากการระบาดของโรคไข้หวัดนก ผลิตภัณฑ์ประมงลดลงร้อยละ 16.55 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการประกาศไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง และการแปรรูปผักผลไม้มีการผลิตลดลงจากปีก่อนร้อยละ 1.25 และ 11.70 เนื่องจากเข้าสู่ฤดูกาลที่มีวัตถุดิบน้อย นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์ก็มีการผลิตลดลงร้อยละ 18.99 ด้วยเพราะได้รับผลกระทบต่อเนื่องจากโรค ไข้หวัดนก จะมีเพียงผลิตภัณฑ์น้ำมันพืช และขนมอบเท่านั้นที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.97 และ 14 ตามลำดับ
2. การตลาด
1) ตลาดในประเทศ
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ความต้องการของตลาดภายในประเทศสำหรับอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมน้ำตาล ปศุสัตว์และอาหารสัตว์) ลดลงร้อยละ 33.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 9.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 สินค้าสำคัญที่มีการจำหน่ายในประเทศลดลง คือ บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและอาหารสัตว์ ร้อยละ 30.1 และ 22.3 เนื่องจากระดับราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประชาชนต้องลดค่าใช้จ่ายด้านอื่นลง อย่างไรก็ตามจากภาวะวิกฤตการณ์ไข้หวัดนกทำให้ระดับราคาไก่ในประเทศปรับตัวลดลง ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคไก่และผลิตภัณฑ์จากปศุสัตว์ในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 7
2) ตลาดต่างประเทศ
- การส่งออก
ช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2547 ภาวะการส่งออกโดยรวมของอุตสาหกรรมอาหาร (ไม่รวมปศุสัตว์) มีการเปลี่ยนแปลงเพิ่มขึ้นจากไตรมาสที่ 2 ร้อยละ 0.2 หรือมีการส่งออกเป็นมูลค่า 80,223.7 ล้านบาท และเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนการส่งออกมีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 235,233.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.1 สำหรับการส่งออกสินค้าอาหารในแต่ละประเภท มีดังนี้
(1) อาหารทะเลและผลิตภัณฑ์แปรรูป มีการส่งออกเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 23.2 แต่เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนลดลงร้อยละ 1.9 โดยมีมูลค่าส่งออกรวม 41,794.5 ล้านบาท เป็นผลจากการส่งออกที่ลดลงในเกือบทุกหมวดเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คือ อาหารทะเลแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 7.5 และอาหารทะเลแปรรูปลดลงร้อยละ 3.7 ส่วนอาหารทะเลกระป๋องเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.9 เมื่อพิจารณาเป็นรายสินค้าที่สำคัญส่วนใหญ่มีการส่งออกลดลงในเกือบทุกผลิตภัณฑ์ เช่น กุ้งสดแช่เย็นแช่แข็งลดลงร้อยละ 21.2 เนื่องจากสหรัฐอเมริกาเริ่มไต่สวนการทุ่มตลาดกุ้งจากประเทศไทย ปลาทูน่ากระป๋อง ลดลงร้อยละ 0.7 เป็นผลจากวัตถุดิบขาดแคลนและราคาเพิ่มสูงขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันที่ทำให้ต้นทุนการจับปลาและสัตว์ทะเลเพิ่มขึ้น ประกอบกับประเทศในสหภาพยุโรป เช่น อังกฤษ ฝรั่งเศส และเยอรมนี ได้หันไปนำเข้าอาหารทะเลแปรรูปและกระป๋องจากประเทศอเมริกาใต้และกลุ่มประเทศแปซิฟิกแทนการนำเข้าจากไทยเพิ่มขึ้น นอกจากนี้ตลาดตะวันออกกลาง เช่น คูเวต อิยิปต์ และซีเรีย ได้รับผลกระทบจากสงครามอิรักที่ทำให้การขนส่งทำได้ลำบากขึ้น ในขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการส่งออกของหมวดนี้ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อนร้อยละ 6.4 โดยที่ปริมาณการส่งออกลดลงร้อยละ 5.6
(2) ผักผลไม้และผลิตภัณฑ์แปรรูป ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าการส่งออกทั้งสิ้น 13,823.9 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 12.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าในหมวดนี้เกือบทุกชนิดมีการส่งออกมากขึ้น โดยเฉพาะสับปะรดกระป๋องซึ่งเป็นสินค้าสำคัญมีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เนื่องจากระดับราคาส่งออกเพิ่มขึ้น อันเป็นผลจากการที่วัตถุดิบมีไม่เพียงพอ ส่วนการส่งออกผักสด และผักกระป๋องและแปรรูป มีมูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.2 และ 6.2 จากการส่งออกเพิ่มขึ้นในตลาดหลักๆ เช่น ตลาดญี่ปุ่น จีน และสหรัฐฯ ขณะที่ 9 เดือนแรกมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปี 2546 ร้อยละ 6.6
(3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 6,319.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 38.27 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่ลดลงร้อยละ 45.3 เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลิตภัณฑ์ส่งออกที่ลดลง คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ร้อยละ 99.5 เป็นผลจากการระงับการนำเข้าไก่สดฯ จากไทยของประเทศต่างๆ จนกว่าจะสามารถควบคุมโรคไข้หวัดนก ส่วนการส่งออกไก่แปรรูป การส่งออกในไตรมาสที่ 3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและร้อยละ 53.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน ในขณะที่ 9 เดือนของปี 2547 มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นร้อยละ 18.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากการปรับโครงสร้างส่งออกสินค้าไก่เป็นไก่ต้มสุก/แปรรูปทดแทนไก่สดแช่เย็นแช่แข็งจากสัดส่วน ไก่สดฯ : ไก่แปรรูป 60 : 40 เป็น 20 : 80
(4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกรวมทั้งสิ้น 12,793.1 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 28.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการเพิ่มขึ้นของการส่งออกผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักของหมวดนี้ (ร้อยละ 60 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมวด) เพิ่มขึ้นร้อยละ 38.2 เป็นผลจากระดับราคาที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ผลิตภัณฑ์จากข้าว (แป้งข้าวต่างๆ ขนมปังกรอบ และเส้นหมี่เส้นก๋วยเตี๋ยว) และผลิตภัณฑ์ข้าวสาลี (เวเฟอร์ และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป) มีมูลค่าส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 7.6 และ 20.8 ขณะที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการส่งออกของหมวดนี้เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน
(5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ ไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 11,812.2 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 1.5 เป็นผลจากการส่งออกน้ำตาลลดลงร้อยละ 11.3 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการที่สหภาพยุโรป (EU) อุดหนุนการส่งออกกับประเทศในกลุ่ม ซึ่งองค์การการค้าโลกได้ตัดสินขั้นต้นว่า EU อุดหนุนจริง จะลดการส่งออกลง และส่งผลต่อระดับราคาน้ำตาลตลาดโลกจะเพิ่มขึ้นในอนาคต ขณะที่สินค้าอื่นๆ ในหมวดนี้สามารถส่งออกเพิ่มขึ้นประมาณร้อยละ 20-50 เมื่อเทียบกับปีก่อน สินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น ได้แก่ สิ่งปรุงรส เพิ่มขึ้นร้อยละ 46.5 และเครื่องเทศสมุนไพร เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.1 ผลิตภัณฑ์นมเพิ่มขึ้นร้อยละ 23.6 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยที่ 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าส่งออกของทั้งหมวดลดลงร้อยละ 6.9 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการส่งออกน้ำตาลทรายที่ลดลงร้อยละ 13.7
- การนำเข้า
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีมูลค่าการนำเข้าผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมอาหารทั้งสิ้น 39,279.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนร้อยละ 16.8 และเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2546 ร้อยละ 22.2 โดยในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 นำเข้าในหมวดสัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็งเป็นมูลค่า 12,992.6 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 13.7 เมื่อเทียบกับปีก่อน มาจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของปลาทูน่าแช่เย็นแช่แข็งร้อยละ 0.7 และปลาสำเร็จรูปร้อยละ 25.5 สำหรับหมวดสัตว์และพืช มีมูลค่านำเข้า 14,396.3 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ16.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.5 เมื่อเทียบกับปีก่อน เป็นผลจากการนำเข้าเพิ่มขึ้นของกากพืชน้ำมันร้อยละ 45.9 และเมล็ดพืชน้ำมันเพิ่มขึ้นร้อยละ 10.0 ส่วนผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคในไตรมาสที่ 3 ปี 2547 มีการนำเข้าเป็นมูลค่า 11,890.1 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 19.7 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนและเพิ่มขึ้นร้อยละ 34.2 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้าเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน คือ ธัญพืชและธัญพืชสำเร็จรูป ร้อยละ 37.6 ผักผลไม้และของปรุงแต่งจากผักผลไม้ เพิ่มขึ้นร้อยละ 39.0 และผลิตภัณฑ์นม เพิ่มขึ้นร้อยละ 25.9 โดยใน 9 เดือนแรกของปี 2547 มูลค่าการนำเข้าของทั้งวัตถุดิบและอุปโภคบริโภค เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2546 โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์อุปโภคบริโภคมีการนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 26.49 ในขณะที่การนำเข้าผลิตภัณฑ์วัตถุดิบและกึ่งวัตถุดิบเพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 3.9
นโยบายของภาครัฐ
ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 2547 ภาครัฐได้ดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมอาหาร ดังนี้
- การช่วยเหลือผู้ประกอบการกรณีการฟ้องการทุ่มตลาดกุ้งของสหรัฐอเมริกา โดยผู้แทนไทยได้เข้าหารือกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยได้ยกกรณีที่สมาคมผู้ผลิตและค้าถั่วเหลืองสหรัฐคัดค้านการประกาศการทุ่มตลาด เนื่องจากไทยมีการนำเข้าถั่วเหลืองและกากถั่วเหลืองจากสหรัฐเป็นหลัก และ ชี้แจงผลกระทบหากการประกาศภาษีการทุ่มตลาดในอัตราสูงและไม่เป็นธรรม จะส่งผลกระทบต่อการนำเข้า ถั่วเหลืองที่เป็นวัตถุดิบในอาหารกุ้งจากสหรัฐฯ ลดลงตามไปด้วย
- การกำหนดมาตรการรองรับปัญหาไข้หวัดนก ทั้งในด้านการชดเชยค่าเสียหายให้กับเกษตรกรที่ประสบปัญหาสัตว์ปีกที่เลี้ยงถูกทำลาย และการป้องกันการระบาดเพิ่มเติม โดยกำหนดเป็นกฎกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่กำหนดการควบคุมการเคลื่อนย้ายสัตว์และซากสัตว์ รวมทั้งการเคลื่อนย้ายสัตว์ในกรณีขยายพันธุ์สัตว์ด้วย นอกจากนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังอยู่ระหว่างการประสานการขอข้อมูลการทดลองวัคซีนขององค์การปศุสัตว์ระหว่างประเทศ และการกำหนดมาตรการเฝ้าระวังการระบาดทั้งในคนและสัตว์อย่างเข้มงวด
4. สรุปและแนวโน้ม
แนวโน้มภาวะอุตสาหกรรมอาหารในไตรมาสที่ 4 ของปี 2547 คาดว่าทั้งภาคการผลิตและการส่งออกจะขยายตัวเพิ่มขึ้นตามแนวโน้มของฤดูกาล อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบด้านลบต่อการผลิตและส่งออกอุตสาหกรรมอาหาร ได้แก่ ข่าวการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกรอบใหม่ การประกาศการไต่สวนและความเสียหายจากการทุ่มตลาดกุ้งขั้นสุดท้ายของสหรัฐอเมริกา และราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 3-4 ที่เป็นผลสืบเนื่องจากการย่างเข้าสู่ฤดูหนาว และปัญหาการก่อการร้ายทั่วโลก ล้วนเป็นปัจจัยลบที่จะส่งผลต่อภาคการผลิตและส่งออกของไทยในช่วงไตรมาสที่ 4 ไม่ขยายตัวเท่าที่ควร สำหรับแนวโน้มของอุตสาหกรรมอาหารในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์ มีดังนี้
1) ผลิตภัณฑ์ประมง ผลิตภัณฑ์อาหารทะเลกระป๋อง เช่น ปลาทูน่ากระป๋อง มีแนวโน้มผลิตและส่งออกเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้บริโภคในประเทศสหรัฐฯ และประเทศที่เป็นพันธมิตรมีความกังวลในด้านสงครามและการก่อการร้ายเพิ่มขึ้น ประกอบกับย่างเข้าฤดูหนาว จึงต้องสำรองอาหารประเภทกระป๋องมากขึ้น นอกจากนี้ยังได้รับผลดีจากการเปิดตลาดผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลในตลาดตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น แต่ก็มีปัจจัยลบที่อาจส่งผลกระทบ คือ ราคาน้ำมันเพิ่มขึ้น อันส่งผลต่อราคาเหล็กนำเข้าที่ใช้เป็นบรรจุภัณฑ์แพงขึ้น นอกจากนี้สินค้ากุ้งของไทยกำลังอยู่ระหว่างไต่สวนการฟ้องการทุ่มตลาดจากสหรัฐ โดยจะมีการประกาศผลการไต่สวนขั้นสุดท้ายปลายปี 2547 และจะประกาศใช้ภาษีทุ่มตลาดในต้นปี 2548 ซึ่งจะทำให้ระดับราคาเพิ่มขึ้น ซึ่งจะส่งทางจิตวิทยาโดยตรงต่อผู้บริโภคในการลดการบริโภคลง
2) ผลิตภัณฑ์พืชผักผลไม้แปรรูป สับปะรดกระป๋องและผลิตภัณฑ์ ซึ่งไทยมีส่วนแบ่งตลาดในโต กว่าร้อยละ 30 มีแนวโน้มผลิตและส่งออกดีขึ้น เนื่องจากระดับราคายังคงสูงกว่าในปีก่อนๆ จากการที่วัตถุดิบมีปริมาณน้อย นอกจากนี้ผักและผลไม้อื่นๆ จะได้รับประโยชน์จากการเปิดตลาดสินค้ากับประเทศอินเดีย เช่น เงาะ ทุเรียน องุ่น และลำไย
3) ผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์แปรรูป มูลค่ากว่าร้อยละ 90 ของหมวดนี้ คือ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็งมีแนวโน้มที่จะผลิตและส่งออกในปริมาณและมูลค่าที่ลดลงเป็นอย่างมาก ในขณะที่ไก่แปรรูป ยังคงมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องทดแทนการส่งออกไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง จากการที่ตลาดหลัก (ญี่ปุ่นและสหภาพยุโรป) ยังประกาศระงับการนำเข้าไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ต่อไป
4) ผลิตภัณฑ์แปรรูปจากธัญพืชและแป้ง ผลิตภัณฑ์ในหมวดนี้ คือ มันสำปะหลัง มีแนวโน้มการผลิตและส่งออกขยายตัวในตลาดต่างประเทศโดยเฉพาะจีน เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว จำเป็นต้องใช้อาหารเลี้ยงสัตว์แบบแห้งทดแทนหญ้าหรืออาหารสดอื่นๆ ทำให้ช่วงฤดูกาลเก็บเกี่ยวมันสำปะหลังในช่วงไตรมาส 4 ต่อเนื่อง ไตรมาส 1 ของปีต่อไป คาดว่าจะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น จากการที่ปริมาณฝนในปี 2547 ลดต่ำลง การสะสมแป้งในหัวมันเพิ่มขึ้น ประกอบกับพื้นที่เพาะปลูกที่ยังทรงตัวในระดับเดียวกับปี 2546
5) ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น สินค้าน้ำตาลทราย คาดว่าจะสามารถส่งออกได้เพิ่มขึ้นหลังจากการเจรจากับประเทศในกลุ่มอาเซียน เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย และการที่องค์การการค้าโลกประกาศผลการยื่นฟ้องต่อการอุดหนุนการส่งออกสหภาพยุโรป ขณะที่บราซิลลดการผลิตน้ำตาลโดยเปลี่ยนไปผลิตเอทานอลเพิ่มขึ้น ทำให้ระดับราคาน้ำตาลตลาดโลกในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้สมุนไพรและเครื่องปรุงรส มีแนวโน้มขยายตัวเพิ่มขึ้นจากผู้บริโภคในประเทศที่หันมาให้ความสนใจกับอาหารเพื่อสุขภาพ และการประชาสัมพันธ์ให้ชาวต่างชาติรู้จักและบริโภคอาหารไทยเพิ่มขึ้น
--สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม--
-พห-