‘รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์’ ระบุ กรณีนายกฯขู่วอล์กเอาต์ หากถก ‘ใต้ - ตากใบ’ ในการประชุมผู้นำอาเซียน ‘ชี้’ ภาวะผู้นำกลัวอะไร ? กับการพูดความจริง ‘ท้า’หากไม่กลัวต้องกล้ายืนตอบทุกปัญหา - กล้ายอมรับความจริง
นายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าจะ ‘วอล์กเอาต์การประชุมที่ประเทศลาว’ ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะเริ่มขึ้นที่กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในวันจันทร์และอังคารที่จะถึงนี้ว่า หากมีการหยิบยกปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมาจะไม่อยู่ร่วมการประชุมนั้น
ตนจึงขอเรียนว่าความมั่นคงและสันติภาพเป็นปัญหาร่วมกันของประชาคมโลก ไม่ใช่เป็นปัญหาของใคร ประเทศใดโดยเฉพาะ และเห็นว่ารัฐบาลไทยก็ไม่ควรหวาดหวั่นต่อการชี้แจง รัฐบาลต้องกล้าที่จะต้องทุกคำถาม ทุกเวที กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่กระทำและในสิ่งเกิดขึ้น เพราะยิ่งปิด ก็ยิ่งจะสร้างความคลางแคลงใจต่อไปไม่รู้จบ
ส่วนการหนีการตรวจสอบไม่ว่า จากการขอเข้ามาตรวจสอบของยูเอ็นหรือการตรวจสอบจากเวทีการประชุมอาเซียน ที่ประเทศลาว หรือจากเวทีใดๆในโลก จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียศักดิ์ศรี ในเวทีโลกเหมือนกับหลายประเทศที่ผ่านมา ซึ่งนายนริศ เห็นว่า รัฐบาลควรจะเอาตัวอย่างประเทศจีนที่กล้าตอบคำถามทุกกรณี ในกรณีจตุรัสเทียนอันเหมิน จนจีนหลุดพ้นปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง “ถ้าเรายังไม่กล้าสู้ความจริงกับกรณีตากใบและกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในเวทีโลก และจะกระทบเป็นลูกโซทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า — การลงทุน และหากว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสีเทาอีก ยิ่งจะทำให้ประเทศเรามีอาการสาหัสสากรรจณ์เหมือนกับยูเครนผสมกับอิรัก” นายนริศ กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาแถลงว่า ‘การประณามรัฐบาลไทยของสภามาเลเซียเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติไม่เกี่ยวกับรัฐบาล’นั้น เป็นถ้อยแถลงเหมือนกับคิดว่าคนไทยโง่ ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้เพียงพอว่า มติของสภามาเลเซียส่วนใหญ่ก็คือ มติส่วนใหญ่ของพรรครัฐบาล ซึ่งเหมือนกับรัฐบาลไทย คือ พรรคไทยรักไทยเป็นเสียงส่วนใหญ่ของรัฐบาล มติของไทยรักไทยจึงเป็นมติของรัฐบาล แต่ต่างกันเพียงแต่ว่า รัฐบาลไทยไม่ยอมเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายเหมือนกับสภามาเลเซียเท่านั้นเอง
ทั้งนี้รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลได้ทบทวนท่าทีต่อปัญหาความมั่นคงและสันติภาพ เพื่อที่จะให้ไทยกลับมามีศักดิ์ศรีในเวทีโลกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา โดยการกล้าที่จะยืนตอบทุกปัญหาทุกเวที และกล้าที่จะยอมรับความจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
นายนริศ ขำนุรักษ์ รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่าจะ ‘วอล์กเอาต์การประชุมที่ประเทศลาว’ ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดผู้นำสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) จะเริ่มขึ้นที่กรุงเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ในวันจันทร์และอังคารที่จะถึงนี้ว่า หากมีการหยิบยกปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ออกมาจะไม่อยู่ร่วมการประชุมนั้น
ตนจึงขอเรียนว่าความมั่นคงและสันติภาพเป็นปัญหาร่วมกันของประชาคมโลก ไม่ใช่เป็นปัญหาของใคร ประเทศใดโดยเฉพาะ และเห็นว่ารัฐบาลไทยก็ไม่ควรหวาดหวั่นต่อการชี้แจง รัฐบาลต้องกล้าที่จะต้องทุกคำถาม ทุกเวที กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่กระทำและในสิ่งเกิดขึ้น เพราะยิ่งปิด ก็ยิ่งจะสร้างความคลางแคลงใจต่อไปไม่รู้จบ
ส่วนการหนีการตรวจสอบไม่ว่า จากการขอเข้ามาตรวจสอบของยูเอ็นหรือการตรวจสอบจากเวทีการประชุมอาเซียน ที่ประเทศลาว หรือจากเวทีใดๆในโลก จะทำให้ประเทศไทยสูญเสียศักดิ์ศรี ในเวทีโลกเหมือนกับหลายประเทศที่ผ่านมา ซึ่งนายนริศ เห็นว่า รัฐบาลควรจะเอาตัวอย่างประเทศจีนที่กล้าตอบคำถามทุกกรณี ในกรณีจตุรัสเทียนอันเหมิน จนจีนหลุดพ้นปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง “ถ้าเรายังไม่กล้าสู้ความจริงกับกรณีตากใบและกรณี 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เราจะพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในเวทีโลก และจะกระทบเป็นลูกโซทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า — การลงทุน และหากว่าการเลือกตั้งครั้งนี้เป็นการเลือกตั้งสีเทาอีก ยิ่งจะทำให้ประเทศเรามีอาการสาหัสสากรรจณ์เหมือนกับยูเครนผสมกับอิรัก” นายนริศ กล่าว
รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลออกมาแถลงว่า ‘การประณามรัฐบาลไทยของสภามาเลเซียเป็นเรื่องของฝ่ายนิติบัญญัติไม่เกี่ยวกับรัฐบาล’นั้น เป็นถ้อยแถลงเหมือนกับคิดว่าคนไทยโง่ ไม่รู้เรื่อง ไม่มีความรู้เพียงพอว่า มติของสภามาเลเซียส่วนใหญ่ก็คือ มติส่วนใหญ่ของพรรครัฐบาล ซึ่งเหมือนกับรัฐบาลไทย คือ พรรคไทยรักไทยเป็นเสียงส่วนใหญ่ของรัฐบาล มติของไทยรักไทยจึงเป็นมติของรัฐบาล แต่ต่างกันเพียงแต่ว่า รัฐบาลไทยไม่ยอมเปิดโอกาสให้มีการอภิปรายเหมือนกับสภามาเลเซียเท่านั้นเอง
ทั้งนี้รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลได้ทบทวนท่าทีต่อปัญหาความมั่นคงและสันติภาพ เพื่อที่จะให้ไทยกลับมามีศักดิ์ศรีในเวทีโลกอีกครั้งหนึ่ง เหมือนกับในอดีตที่ผ่านมา โดยการกล้าที่จะยืนตอบทุกปัญหาทุกเวที และกล้าที่จะยอมรับความจริง
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 26 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-