นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าในโอกาสที่รัฐบาลได้บริหารราชการแผ่นดินมาจะครบ 4 ปี ดดยการนำของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายกฯ ได้แสดงพฤติกรรมและการกระทำหลายรูปแบบ ที่สะท้อนให้เห็น สภาพของความเป็นเผด็จการหลากหลายมิติ ซึ่งนำไปสู่การแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ หลากหลายรูปแบบ ทั้งในและนอกสภา เป็นพฤติกรรมที่สะท้อนภาพความเป็นเผด็จการมากกว่ารัฐบาลพลเรือทุกชุดที่ผ่านมาในอดีต ซึ่งภาพเผด็จการของรัฐบาลมี 7 มิติกล่าวคือ
มิติ ที่ 1 คือเผด็ดการรัฐสภา รัฐบาลชุดนี้ใช้วิธียุบรวมพรรคการเมือง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นก็ใช้เสียงข้างมาก ดำเนินการจนเกิดผลกระทบในสภาหลายอย่าง ทำให้ฝ่ายค้านมีเสียงไม่พอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และมีการใช้ระบบเสียงข้างมากลากไป ก่อให้เกิดข้อผิดพลาดในการออกกฎหมาย
มิติ ที่ 2 คือ เผด็จการทางอำนาจ นายกฯ ใช้อำนาจของนายกฯแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ เพื่อประโยชน์ของญาติ และพวกพ้องเพื่อขึ้นมาเป็นใหญ่
มิติที่ 3 คือ เผด็จการทางวาจา นายกฯ ถือเป็นผู้ที่ใช้วาจาเผด็จการอย่างต่อเนื่องใน 4 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือการแสวงความไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ทั้งนักวิชาการ ฝ่ายค้าน หรือองค์กรอิสระ เป็นต้น
มิติ ที่ 4 คือเผด็จการทางผลประโยชน์รัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจเสียงข้างมาก แสวงหาประโยชน์อย่างมิชอบ โดยต่อเนื่อง ที่เห็นได้ชัดเจน คือการแสวงหาประโยชน์ให้กับบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลเช่น ออกพรก.แก้ไขเพิ่มเติมพรบ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
มิติที่ 5 คือเผด็จการสื่อ กล่าวคือ4 ปีที่ผ่าน รัฐบาลเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อหลายระดับทั้งเอกชนและของรัฐ มิติที่ 6 คือเผด็จการงบประมาณ กล่าวคือ รัฐบาลใช้เสียงข้างมากในสภาฯผ่านงบกลางจำนวนหลายหมื่นล้านบาท และมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลัก และมิติที่ 7 คือเผด็จการงานประมูล เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่ผู้ประมูลพวกพ้องของรัฐบาลเท่านั้น และดำเนินกานฮั้วประมูลเพื่อประโยชน์แก่บริษัทที่ใกล้ชิดรัฐบาล
ตนคิดว่ารูปแบบของการเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยใช้วิธีการแบบเผด็จการต่างหลายด้าน ตนจึงขอเรียกว่ารัฐบาล4 ปี ที่ผ่านมานั้น ว่า ‘รัฐบาลเผด็จโกง’ คือเอาความเป็นเผด็จการมารวมกับความพยายามหาประโยชน์โดยไม่ชอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก และตนเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการเอาผิดกับคนที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน เมื่อใดที่อำนาจเปลี่ยนมือไปจากรัฐบาลปัจจุบันนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-
มิติ ที่ 1 คือเผด็ดการรัฐสภา รัฐบาลชุดนี้ใช้วิธียุบรวมพรรคการเมือง เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพรรคไทยรักไทย หลังจากนั้นก็ใช้เสียงข้างมาก ดำเนินการจนเกิดผลกระทบในสภาหลายอย่าง ทำให้ฝ่ายค้านมีเสียงไม่พอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และมีการใช้ระบบเสียงข้างมากลากไป ก่อให้เกิดข้อผิดพลาดในการออกกฎหมาย
มิติ ที่ 2 คือ เผด็จการทางอำนาจ นายกฯ ใช้อำนาจของนายกฯแทรกแซงการโยกย้ายข้าราชการ เพื่อประโยชน์ของญาติ และพวกพ้องเพื่อขึ้นมาเป็นใหญ่
มิติที่ 3 คือ เผด็จการทางวาจา นายกฯ ถือเป็นผู้ที่ใช้วาจาเผด็จการอย่างต่อเนื่องใน 4 ปีที่ผ่านมา กล่าวคือการแสวงความไม่รับฟังความคิดเห็นของคนอื่น ทั้งนักวิชาการ ฝ่ายค้าน หรือองค์กรอิสระ เป็นต้น
มิติ ที่ 4 คือเผด็จการทางผลประโยชน์รัฐบาลชุดนี้ใช้อำนาจเสียงข้างมาก แสวงหาประโยชน์อย่างมิชอบ โดยต่อเนื่อง ที่เห็นได้ชัดเจน คือการแสวงหาประโยชน์ให้กับบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลเช่น ออกพรก.แก้ไขเพิ่มเติมพรบ.พิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต
มิติที่ 5 คือเผด็จการสื่อ กล่าวคือ4 ปีที่ผ่าน รัฐบาลเข้าแทรกแซงการทำงานของสื่อหลายระดับทั้งเอกชนและของรัฐ มิติที่ 6 คือเผด็จการงบประมาณ กล่าวคือ รัฐบาลใช้เสียงข้างมากในสภาฯผ่านงบกลางจำนวนหลายหมื่นล้านบาท และมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นหลัก และมิติที่ 7 คือเผด็จการงานประมูล เป็นการใช้อำนาจเพื่อประโยชน์แก่ผู้ประมูลพวกพ้องของรัฐบาลเท่านั้น และดำเนินกานฮั้วประมูลเพื่อประโยชน์แก่บริษัทที่ใกล้ชิดรัฐบาล
ตนคิดว่ารูปแบบของการเข้ามาเป็นรัฐบาล โดยใช้วิธีการแบบเผด็จการต่างหลายด้าน ตนจึงขอเรียกว่ารัฐบาล4 ปี ที่ผ่านมานั้น ว่า ‘รัฐบาลเผด็จโกง’ คือเอาความเป็นเผด็จการมารวมกับความพยายามหาประโยชน์โดยไม่ชอบอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมาก และตนเชื่อว่าจะสามารถดำเนินการเอาผิดกับคนที่เกี่ยวข้องได้แน่นอน เมื่อใดที่อำนาจเปลี่ยนมือไปจากรัฐบาลปัจจุบันนี้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 28 พ.ย. 2547--จบ--
-ดท-