ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ก.คลังสั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้กระทบการส่งออก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รม
ว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งตัวไม่น่าเป็นห่วง ได้กำชับให้ปลัด ก.คลัง ประสานงานกับ ผู้ว่าการ
ธปท. ติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งภูมิภาคเอเชีย ทำให้
ไทยยังไม่เสียเปรียบเรื่องการแข่งขัน ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงค่าเงินบาทที่
แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ว่า เนื่องจาก สรอ. ต้องการให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อน เพื่อกดดันไม่ให้จีนอิงค่าเงินกับเงิน
ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ธปท. จะจับตาดูต่อไปว่าทางการจีนจะเลือกใช้วิธีใดที่จะจัดการค่าเงินหยวน ซึ่งตอนนี้การ
จัดการค่าเงินของจีนมีอยู่ 3 วิธี คือ ระบบลอยตัวเสรี ระบบลอยตัวภายใต้การจัดการซึ่งประเทศไทยใช้วิธีนี้อยู่
และระบบตะกร้าเงิน หากจีนตัดสินใจใช้วิธีใด ธปท. จะประชุมหารือเพื่อรับมืออีกครั้ง สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งค่า
ขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้เล็กน้อย ซึ่ง ธปท. ได้เข้าไปดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ส่วนเงินทุน
สำรองระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 26 พ.ย.47 ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลเกิดจากการตีมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมา
จากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเร่งมือตั้งคณะทำงานพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง
กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จะนั่งเป็นประธานคณะทำงานพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้วย
ตัวเอง เพราะตั้งใจจะทำให้ตลาดตราสารหนี้เป็นเสาหลักที่ 3 ของระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ตลาดตราสารหนี้ทำ
งานควบคู่ไปกับตลาดเงินและตลาดทุน ส่วนกรรมการนั้นจะมี ปลัด ก.คลัง ผู้ว่าการ ธปท. เลขาธิการ
สศช. กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ตลท. และ เลขาธิการ กลต. ร่วมอยู่ในคณะทำงานชุดนี้ รวมทั้งจะมีการนำ
ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการจัดทำแผน
ปฏิบัติงานให้เสร็จภายใน 1 ปี โดยจะรวบรวมองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ที่กระจัดกระจายเข้า
ไว้ด้วยกันเป็นอันดับแรก เพื่อพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้เลขาธิการ กลต. เป็นผู้รับผิด
ชอบ ซึ่งในอนาคตสัดส่วนของตลาดตราสารหนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเงินและมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่อง
จากจะทำการส่งเสริมนโยบายเอเชียบอนด์ โดยจะให้ต่างประเทศมาออกในประเทศไทย โดยออกเป็นสกุลเงิน
บาท ในส่วนของ ก.คลังจะทำการกำจัดอัตราภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ โดยจะลดให้เหลือ
เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งถ้าสามารถผลัดดันกลไกนี้ให้สำเร็จตลาดตราสารหนี้ก็จะแข็งแรงขึ้น และจะสร้างให้มี
สัดส่วนเท่ากับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30-40 ของจีดีพีเท่านั้น ขณะที่
สรอ.และญี่ปุ่นมีขนาดตลาดตราสารหนี้โตถึงร้อยละ 149.31 และ 145.12 ของจีดีพีตามลำดับ (โพสต์ทู
เดย์, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ธปท. ไม่เคยกำหนดต้นทุนสถาบันการเงินในการยื่นแผนยกระดับเป็นธนาคาร ดร.ธาริษา วัฒนเกส
รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ไม่เคยกำหนดต้นทุนสถาบันการเงินใน
การให้ยื่นแผนยกระดับเป็นธนาคาร หากสถาบันการเงินต้องการถอนแผนธุรกิจที่ยื่นมานั้นก็สามารถทำได้ แม้ว่าจะ
พิจารณาแผนเสร็จแล้วก็ตาม แต่หากถอนแผนแล้วจะกลายเป็นนอนแบงก์หรือไม่ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง แต่
การที่จะกลับเป็นบริษัทเงินทุนนั้นทำได้ยาก เพราะในที่สุดแล้วบริษัทเงินทุนจะต้องหมดไปจากระบบ ถ้าเป็นบริษัทเงิน
ทุนก็เหมือนไม่มีอนาคต ส่วนในการให้สถาบันการเงินเสนอแผนธุรกิจเข้ามานั้น ธปท. ไม่ได้มีการกำหนดเรื่องต้น
ทุนค่าใช้จ่าย แต่จะพิจารณาถึงแผนธุรกิจที่เสนอมาว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และมีการประมาณการที่สม
เหตุสมผลหรือไม่ มีการเตรียมการรองรับการขยายสินเชื่อยังไง รวมถึงเรื่องเงินกองทุน ไม่ได้ลงรายละเอียด
เรื่องต้นทุนซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ลำบาก (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
4. ภาวะการจ้างงานในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้น 1.15 ล้านคน สนง.สถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจ
ภาวะการทำงานของประชากรเดือน ต.ค.47 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วพบว่า ผู้มีงานทำเพิ่ม
ขึ้น 1.15 ล้านคน โดยนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 8.8 แสนคน หรือจาก 20.56 ล้านคน เป็น 21.44 ล้าน
คน ภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 2.7 แสนคน หรือจาก 13.08 ล้านคน เป็น 13.35 ล้านคน โดยเป็นการสำรวจ
จากจำนวนประชากรรวมทั้งประเทศ 65.22 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 35.59 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มี
งานทำ 34.79 ล้านคน ผู้ว่างงาน 5.6 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 2.4 แสนคน ส่วนผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงานมี
ประมาณ 13.89 ล้านคน และผู้มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 15.74 ล้านคน ด้านภาวะการว่างานในเดือน ต.
ค.47 มีจำนวน 5.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 1.6 ถือว่าต่ำลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีผู้ว่างงาน 6.4 แสนคน และต่ำ
กว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อย
ละ 1.8 ขณะที่ กรุงเทพฯ และภาคเหนือมีร้อยละ 1.7 เท่ากัน ภาคใต้ร้อยละ 1.5 และภาคกลางร้อยละ 1.2
สำหรับระดับการศึกษาของผู้ว่างงานพบว่า เป็นระดับอุดมศึกษาว่างงานมากที่สุด 1.6 แสนคน รองลงมาเป็นผู้ไม่มี
การศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา และประถมศึกษามีจำนวนเท่ากัน 1.1 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอน
ปลายมีจำนวนเท่ากัน 9 หมื่นคน (ไทยรัฐ, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จีนกล่าวว่าการเก็งกำไรค่าเงินหยวนจะเป็นอันตรายต่อการปฎิรูปเงินหยวน รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อวันที่ 29 พ.ย 47 ธ.กลางจีนเตือนบรรดานักเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนว่า การใช้เงินลงทุนเพื่อการ
เก็งกำไรค่าเงินอาจจะบั่นทอนความพยายามในนโยบายผ่อนปรนเพื่อให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยคำเตือน
ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน. Wen Jiabao ของจีนส่งสัญญานว่ายังไม่รีบร้อนในการปฎิรูปเงินตรา เพื่อปรามนักเก็ง
กำไรในตลาดเงินที่คาดว่าจะมีการปรับลดค่าเงินหยวนในไม่ช้าจากที่เคยซึ้อ-ขายในช่วงแคบๆ ที่ประมาณ 8.28
หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. หรือมีการกำหนดค่าเงินใหม่โดยใช้ระบบตะกร้าเงินสกุลสำคัญหรือรวมทั้ง 2 วิธี. ทั้ง
นี้ ธ.กลางจีนเน้นถึงอันตรายของการเก็งกำไรที่จะส่งผลเสียต่อแผนการปฎิรูปค่าเงิน อย่างไรก็ตามจากการ
ประชุม Asian summit ในลาวซึ่งผู้นำทั้ง 3 ประเทศได้แก่จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ตกลงร่วมกันถึงความจำเป็นใน
การรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อนึ่งปธน. Wen Jiabao ยังเน้นถึงความจำเป็นที่จะรักษาเสถึยร
ภาพระบบเศรษฐกิจและการเงินก่อนการปฎิรูประบบเงินตราและมีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน
หยวนท่ามกลางการเก็งกำไรอย่างหนักนอกจากนั้นจีนยังได้รับแรงกดดันจากต่างชาติในเรื่องการปล่อยให้เงินหยวน
เคลื่อนไหวอย่างเสรีมากขึ้น (รอยเตอร์)
2..ดัชนีภาคบริการของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 29 พ.ย.47 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า Business receipts index ของสิงคโปร์ซึ่งเป็นดัชนี
ชี้วัดกิจกรรมภาคบริการของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้
รับแรงสนับสนุนจากภาคการขนส่ง การเงินและการสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของไตรมาสนี้น้อยกว่า
ครึ่งหนึ่งของที่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18.3 เนื่องจากกิจกรรมภาคบริการของเมื่อปี 46 หยุดชะงักลง โดยเฉพาะ
กิจการโรงแรมและภัตตาคาร จากการระบาดของโรคไข้หวัด SARs ทั้งนี้ อุตสาหกรรมภาคบริการมีสัดส่วนถึงครึ่ง
หนึ่งของการจ้างแรงงานทั้งประเทศสิงคโปร์ และมีสัดส่วนถึงร้อยละ 63 ของมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์
(95 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์คาดการณ์ว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้
ระหว่างร้อยละ 8.0-8.5 อันเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี อนึ่ง Business receipts
index เป็นดัชนีชี้วัดรายรับของธุรกิจในประเทศที่มีหลายประเภท อาทิเช่น ภาคขนส่ง การสื่อสารทางโทรเลข ยา
รักษาโรค อสังหาริมทรัพย์ การเงินและการประกัน และหากไม่นับรวมภาคการเงินและการประกัน ตัวเลขดัชนีดัง
กล่าวล่าสุดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.0 จากปีก่อนหน้า (รอยเตอร์)
3..รอยเตอร์คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ไม่
เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากเกาหลีใต้ เมื่อ 29 พ.ย.47 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า
ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดย
ในช่วง 2-3 เดือนนี้ ดัชนีดังกล่าวเริ่มชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค.47 ที่เคยขยายตัวถึงร้อยละ 4.8 อันเป็นอัตรา
การขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ค.44 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าระดับราคาน้ำมันที่เริ่มมี
เสถียรภาพประกอบกับความแข็งแกร่งของค่าเงินวอนในขณะนี้อาจจะส่งผลให้ความกดดันด้านเงินเฟ้อต่อภาวะการนำ
เข้าเริ่มเบาบางลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ สำนักงานสถิติเกาหลีใต้จะ
ประกาศในวันพุธที่ 1 ธ.ค.47 ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางเกาหลีใต้ในวันที่ 9
ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ แนวโน้มภาวะเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพมากขึ้นอาจจะส่งผลให้ ธ.กลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายการ
เงิน ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ (ธ.ค.47) หรือ
ไม่ หลังจากที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไม่คาดคิดเมื่อ 11 พ.ย.47 ลงร้อยละ 0.25 ส่งผล
ให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.25 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าการส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 11 เดือนแรกปี 47 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังมีทิศทางการ
ขยายตัวที่ชะลอลงในช่วง 5 เดือนก่อนหน้า รายงานจากโซลเมื่อ 29 พ.ย.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจ
ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) จะ
ขยายตัวร้อยละ 26.1 เป็นการขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 3 เดือน หลังจากที่ขยายตัวลดลงต่อเนื่องเป็น
เวลา 5 เดือนก่อนหน้า สำหรับการนำเข้าในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 25.4
เนื่องจากสินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศขยายตัว
ไม่มาก ซึ่งจะส่งผลให้เกาหลีใต้เกินดุลการค้าในช่วง 11 เดือนเป็นจำนวน 3.24 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. สูงกว่า
จำนวน 2.48 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเกินดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่
20 ทั้งนี้ การที่เงินวอนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 7 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ส่งผลให้
สินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับการที่ความต้องการในประเทศชะลอตัวมาเป็นเวลา 2 ปีต่อเนื่อง ล้วนเป็น
สัญญาณที่ไม่ดีนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อนึ่ง ก.พาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของทางการใน
วันพุธที่ 1 ธ.ค.47 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 พ.ย. 47 29 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.505 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.2941/39.5901 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 657.25/ 20.74 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.46 35.18 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-
1. ก.คลังสั่งหน่วยงานเกี่ยวข้องดูแลค่าเงินบาทไม่ให้กระทบการส่งออก นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รม
ว.คลัง กล่าวว่า ขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งตัวไม่น่าเป็นห่วง ได้กำชับให้ปลัด ก.คลัง ประสานงานกับ ผู้ว่าการ
ธปท. ติดตามค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิด ซึ่งขณะนี้ค่าเงินบาทที่แข็งตัวเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งภูมิภาคเอเชีย ทำให้
ไทยยังไม่เสียเปรียบเรื่องการแข่งขัน ด้าน ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท. กล่าวถึงค่าเงินบาทที่
แข็งค่าขึ้นในขณะนี้ว่า เนื่องจาก สรอ. ต้องการให้เงินดอลลาร์ สรอ.อ่อน เพื่อกดดันไม่ให้จีนอิงค่าเงินกับเงิน
ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ธปท. จะจับตาดูต่อไปว่าทางการจีนจะเลือกใช้วิธีใดที่จะจัดการค่าเงินหยวน ซึ่งตอนนี้การ
จัดการค่าเงินของจีนมีอยู่ 3 วิธี คือ ระบบลอยตัวเสรี ระบบลอยตัวภายใต้การจัดการซึ่งประเทศไทยใช้วิธีนี้อยู่
และระบบตะกร้าเงิน หากจีนตัดสินใจใช้วิธีใด ธปท. จะประชุมหารือเพื่อรับมืออีกครั้ง สำหรับค่าเงินบาทที่แข็งค่า
ขึ้นจะช่วยลดแรงกดดันด้านเงินเฟ้อได้เล็กน้อย ซึ่ง ธปท. ได้เข้าไปดูแลค่าเงินอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว ส่วนเงินทุน
สำรองระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 26 พ.ย.47 ที่เพิ่มขึ้นนั้น เป็นผลเกิดจากการตีมูลค่าทรัพย์สินที่เพิ่มขึ้นอันเนื่องมา
จากค่าเงินดอลลาร์ สรอ. อ่อนค่าลง (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. ก.คลังเร่งมือตั้งคณะทำงานพัฒนาตลาดตราสารหนี้ไทย นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รมว.คลัง
กล่าวว่า เพื่อให้การดำเนินการเป็นไปด้วยความรวดเร็ว จะนั่งเป็นประธานคณะทำงานพัฒนาตลาดตราสารหนี้ด้วย
ตัวเอง เพราะตั้งใจจะทำให้ตลาดตราสารหนี้เป็นเสาหลักที่ 3 ของระบบเศรษฐกิจไทย เพื่อให้ตลาดตราสารหนี้ทำ
งานควบคู่ไปกับตลาดเงินและตลาดทุน ส่วนกรรมการนั้นจะมี ปลัด ก.คลัง ผู้ว่าการ ธปท. เลขาธิการ
สศช. กรรมการและผู้จัดการทั่วไป ตลท. และ เลขาธิการ กลต. ร่วมอยู่ในคณะทำงานชุดนี้ รวมทั้งจะมีการนำ
ผู้ทรงคุณวุฒิทั้งในประเทศและต่างประเทศเข้าร่วมในคณะกรรมการดังกล่าวด้วย ทั้งนี้ จะต้องดำเนินการจัดทำแผน
ปฏิบัติงานให้เสร็จภายใน 1 ปี โดยจะรวบรวมองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ที่กระจัดกระจายเข้า
ไว้ด้วยกันเป็นอันดับแรก เพื่อพัฒนาการทำงานให้มีประสิทธิภาพ โดยได้มอบหมายให้เลขาธิการ กลต. เป็นผู้รับผิด
ชอบ ซึ่งในอนาคตสัดส่วนของตลาดตราสารหนี้จะมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเงินและมีแนวโน้มที่จะโตขึ้นเรื่อย ๆ เนื่อง
จากจะทำการส่งเสริมนโยบายเอเชียบอนด์ โดยจะให้ต่างประเทศมาออกในประเทศไทย โดยออกเป็นสกุลเงิน
บาท ในส่วนของ ก.คลังจะทำการกำจัดอัตราภาษีที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาตลาดตราสารหนี้ โดยจะลดให้เหลือ
เพียงเท่าที่จำเป็นเท่านั้น ซึ่งถ้าสามารถผลัดดันกลไกนี้ให้สำเร็จตลาดตราสารหนี้ก็จะแข็งแรงขึ้น และจะสร้างให้มี
สัดส่วนเท่ากับอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณร้อยละ 30-40 ของจีดีพีเท่านั้น ขณะที่
สรอ.และญี่ปุ่นมีขนาดตลาดตราสารหนี้โตถึงร้อยละ 149.31 และ 145.12 ของจีดีพีตามลำดับ (โพสต์ทู
เดย์, ผู้จัดการรายวัน, โลกวันนี้)
3. ธปท. ไม่เคยกำหนดต้นทุนสถาบันการเงินในการยื่นแผนยกระดับเป็นธนาคาร ดร.ธาริษา วัฒนเกส
รองผู้ว่าการสายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ธปท. ไม่เคยกำหนดต้นทุนสถาบันการเงินใน
การให้ยื่นแผนยกระดับเป็นธนาคาร หากสถาบันการเงินต้องการถอนแผนธุรกิจที่ยื่นมานั้นก็สามารถทำได้ แม้ว่าจะ
พิจารณาแผนเสร็จแล้วก็ตาม แต่หากถอนแผนแล้วจะกลายเป็นนอนแบงก์หรือไม่ขึ้นอยู่กับสถาบันการเงินแต่ละแห่ง แต่
การที่จะกลับเป็นบริษัทเงินทุนนั้นทำได้ยาก เพราะในที่สุดแล้วบริษัทเงินทุนจะต้องหมดไปจากระบบ ถ้าเป็นบริษัทเงิน
ทุนก็เหมือนไม่มีอนาคต ส่วนในการให้สถาบันการเงินเสนอแผนธุรกิจเข้ามานั้น ธปท. ไม่ได้มีการกำหนดเรื่องต้น
ทุนค่าใช้จ่าย แต่จะพิจารณาถึงแผนธุรกิจที่เสนอมาว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และมีการประมาณการที่สม
เหตุสมผลหรือไม่ มีการเตรียมการรองรับการขยายสินเชื่อยังไง รวมถึงเรื่องเงินกองทุน ไม่ได้ลงรายละเอียด
เรื่องต้นทุนซึ่งเป็นสิ่งที่คาดการณ์ลำบาก (กรุงเทพธุรกิจ, เดลินิวส์)
4. ภาวะการจ้างงานในเดือน ต.ค.47 เพิ่มขึ้น 1.15 ล้านคน สนง.สถิติแห่งชาติ เปิดเผยผลสำรวจ
ภาวะการทำงานของประชากรเดือน ต.ค.47 เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้วพบว่า ผู้มีงานทำเพิ่ม
ขึ้น 1.15 ล้านคน โดยนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 8.8 แสนคน หรือจาก 20.56 ล้านคน เป็น 21.44 ล้าน
คน ภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 2.7 แสนคน หรือจาก 13.08 ล้านคน เป็น 13.35 ล้านคน โดยเป็นการสำรวจ
จากจำนวนประชากรรวมทั้งประเทศ 65.22 ล้านคน เป็นผู้อยู่ในกำลังแรงงาน 35.59 ล้านคน ประกอบด้วยผู้มี
งานทำ 34.79 ล้านคน ผู้ว่างงาน 5.6 แสนคน และผู้รอฤดูกาล 2.4 แสนคน ส่วนผู้ไม่อยู่ในกำลังแรงงานมี
ประมาณ 13.89 ล้านคน และผู้มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ประมาณ 15.74 ล้านคน ด้านภาวะการว่างานในเดือน ต.
ค.47 มีจำนวน 5.6 แสนคน คิดเป็นร้อยละ 1.6 ถือว่าต่ำลงจากเดือนก่อนหน้าที่มีผู้ว่างงาน 6.4 แสนคน และต่ำ
กว่าเดือนเดียวกันของปีก่อนที่มีผู้ว่างงาน 8.7 แสนคน โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีอัตราการว่างงานสูงสุดร้อย
ละ 1.8 ขณะที่ กรุงเทพฯ และภาคเหนือมีร้อยละ 1.7 เท่ากัน ภาคใต้ร้อยละ 1.5 และภาคกลางร้อยละ 1.2
สำหรับระดับการศึกษาของผู้ว่างงานพบว่า เป็นระดับอุดมศึกษาว่างงานมากที่สุด 1.6 แสนคน รองลงมาเป็นผู้ไม่มี
การศึกษาและต่ำกว่าประถมศึกษา และประถมศึกษามีจำนวนเท่ากัน 1.1 แสนคน ระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอน
ปลายมีจำนวนเท่ากัน 9 หมื่นคน (ไทยรัฐ, เดลินิวส์)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. จีนกล่าวว่าการเก็งกำไรค่าเงินหยวนจะเป็นอันตรายต่อการปฎิรูปเงินหยวน รายงานจากปักกิ่ง
เมื่อวันที่ 29 พ.ย 47 ธ.กลางจีนเตือนบรรดานักเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนว่า การใช้เงินลงทุนเพื่อการ
เก็งกำไรค่าเงินอาจจะบั่นทอนความพยายามในนโยบายผ่อนปรนเพื่อให้เงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยคำเตือน
ดังกล่าวมีขึ้นหลังจากที่ปธน. Wen Jiabao ของจีนส่งสัญญานว่ายังไม่รีบร้อนในการปฎิรูปเงินตรา เพื่อปรามนักเก็ง
กำไรในตลาดเงินที่คาดว่าจะมีการปรับลดค่าเงินหยวนในไม่ช้าจากที่เคยซึ้อ-ขายในช่วงแคบๆ ที่ประมาณ 8.28
หยวนต่อ 1 ดอลลาร์ สรอ. หรือมีการกำหนดค่าเงินใหม่โดยใช้ระบบตะกร้าเงินสกุลสำคัญหรือรวมทั้ง 2 วิธี. ทั้ง
นี้ ธ.กลางจีนเน้นถึงอันตรายของการเก็งกำไรที่จะส่งผลเสียต่อแผนการปฎิรูปค่าเงิน อย่างไรก็ตามจากการ
ประชุม Asian summit ในลาวซึ่งผู้นำทั้ง 3 ประเทศได้แก่จีน ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ตกลงร่วมกันถึงความจำเป็นใน
การรักษาเสถียรภาพอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา อนึ่งปธน. Wen Jiabao ยังเน้นถึงความจำเป็นที่จะรักษาเสถึยร
ภาพระบบเศรษฐกิจและการเงินก่อนการปฎิรูประบบเงินตราและมีความเป็นไปได้น้อยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงค่าเงิน
หยวนท่ามกลางการเก็งกำไรอย่างหนักนอกจากนั้นจีนยังได้รับแรงกดดันจากต่างชาติในเรื่องการปล่อยให้เงินหยวน
เคลื่อนไหวอย่างเสรีมากขึ้น (รอยเตอร์)
2..ดัชนีภาคบริการของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 เทียบต่อปี รายงานจาก
สิงคโปร์ เมื่อ 29 พ.ย.47 รัฐบาลสิงคโปร์ เปิดเผยว่า Business receipts index ของสิงคโปร์ซึ่งเป็นดัชนี
ชี้วัดกิจกรรมภาคบริการของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 47 เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้
รับแรงสนับสนุนจากภาคการขนส่ง การเงินและการสาธารณสุข อย่างไรก็ตาม การเพิ่มขึ้นของไตรมาสนี้น้อยกว่า
ครึ่งหนึ่งของที่เคยเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 18.3 เนื่องจากกิจกรรมภาคบริการของเมื่อปี 46 หยุดชะงักลง โดยเฉพาะ
กิจการโรงแรมและภัตตาคาร จากการระบาดของโรคไข้หวัด SARs ทั้งนี้ อุตสาหกรรมภาคบริการมีสัดส่วนถึงครึ่ง
หนึ่งของการจ้างแรงงานทั้งประเทศสิงคโปร์ และมีสัดส่วนถึงร้อยละ 63 ของมูลค่าทางเศรษฐกิจของสิงคโปร์
(95 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.) ซึ่งรัฐบาลสิงคโปร์คาดการณ์ว่าสิงคโปร์จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปีนี้
ระหว่างร้อยละ 8.0-8.5 อันเป็นอัตราการขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดในรอบ 4 ปี อนึ่ง Business receipts
index เป็นดัชนีชี้วัดรายรับของธุรกิจในประเทศที่มีหลายประเภท อาทิเช่น ภาคขนส่ง การสื่อสารทางโทรเลข ยา
รักษาโรค อสังหาริมทรัพย์ การเงินและการประกัน และหากไม่นับรวมภาคการเงินและการประกัน ตัวเลขดัชนีดัง
กล่าวล่าสุดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 9.0 จากปีก่อนหน้า (รอยเตอร์)
3..รอยเตอร์คาดว่าดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ไม่
เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า รายงานจากเกาหลีใต้ เมื่อ 29 พ.ย.47 ผลสำรวจโดยรอยเตอร์คาดการณ์ว่า
ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน พ.ย.47 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.8 ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดือนก่อนหน้า โดย
ในช่วง 2-3 เดือนนี้ ดัชนีดังกล่าวเริ่มชะลอตัวลงจากเดือน ส.ค.47 ที่เคยขยายตัวถึงร้อยละ 4.8 อันเป็นอัตรา
การขยายตัวที่รวดเร็วที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ค.44 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่าระดับราคาน้ำมันที่เริ่มมี
เสถียรภาพประกอบกับความแข็งแกร่งของค่าเงินวอนในขณะนี้อาจจะส่งผลให้ความกดดันด้านเงินเฟ้อต่อภาวะการนำ
เข้าเริ่มเบาบางลงในเร็ว ๆ นี้ ทั้งนี้ ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคอย่างเป็นทางการ สำนักงานสถิติเกาหลีใต้จะ
ประกาศในวันพุธที่ 1 ธ.ค.47 ก่อนที่จะมีการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน ธ.กลางเกาหลีใต้ในวันที่ 9
ธ.ค.นี้ ทั้งนี้ แนวโน้มภาวะเงินเฟ้อที่มีเสถียรภาพมากขึ้นอาจจะส่งผลให้ ธ.กลางปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายการ
เงิน ในขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ยังไม่แน่ใจว่า ธ.กลางเกาหลีใต้จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนนี้ (ธ.ค.47) หรือ
ไม่ หลังจากที่ ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยอย่างไม่คาดคิดเมื่อ 11 พ.ย.47 ลงร้อยละ 0.25 ส่งผล
ให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ระดับร้อยละ 3.25 (รอยเตอร์)
4. คาดว่าการส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 11 เดือนแรกปี 47 จะขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังมีทิศทางการ
ขยายตัวที่ชะลอลงในช่วง 5 เดือนก่อนหน้า รายงานจากโซลเมื่อ 29 พ.ย.47 รอยเตอร์เปิดเผยผลการสำรวจ
ความคิดเห็นของนักเศรษฐศาสตร์ซึ่งคาดว่า การส่งออกของเกาหลีใต้ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) จะ
ขยายตัวร้อยละ 26.1 เป็นการขยายตัวในอัตราที่เร็วที่สุดในรอบ 3 เดือน หลังจากที่ขยายตัวลดลงต่อเนื่องเป็น
เวลา 5 เดือนก่อนหน้า สำหรับการนำเข้าในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 25.4
เนื่องจากสินค้านำเข้ามีราคาแพงขึ้นตามต้นทุนราคาน้ำมันที่สูงขึ้น ส่งผลให้การนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศขยายตัว
ไม่มาก ซึ่งจะส่งผลให้เกาหลีใต้เกินดุลการค้าในช่วง 11 เดือนเป็นจำนวน 3.24 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. สูงกว่า
จำนวน 2.48 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในเดือนเดียวกันของปีก่อน และเป็นการเกินดุลการค้าต่อเนื่องเป็นเดือนที่
20 ทั้งนี้ การที่เงินวอนเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ. แข็งค่าขึ้นร้อยละ 7 สู่ระดับสูงสุดในรอบ 7 ปี ส่งผลให้
สินค้าส่งออกมีราคาสูงขึ้น ประกอบกับการที่ความต้องการในประเทศชะลอตัวมาเป็นเวลา 2 ปีต่อเนื่อง ล้วนเป็น
สัญญาณที่ไม่ดีนักต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ อนึ่ง ก.พาณิชย์จะเปิดเผยตัวเลขการส่งออกของทางการใน
วันพุธที่ 1 ธ.ค.47 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 30 พ.ย. 47 29 พ.ย. 47 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.505 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.2941/39.5901 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 1.7500-1.8000 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 657.25/ 20.74 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,400/8,500 8,400/8,500 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.46 35.18 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.19*/14.59 21.19/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 19 พ.ย.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
-ยก-