จากกรณีที่วานนี้ (1 ธ.ค. 47) เจ้าหน้าที่ตำรวจและสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.)เข้าตรวจค้น และอายัดทรัพย์นายประชา โพธิพิพิธหรือกำนันเซี๊ยะ ว่าที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กาญจนบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ในคดีฮั้วประมูลการก่อสร้างศาลากลางจังหวัดกาญจนบุรี
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ในเบื้องต้นพรรคยังไม่มีความเห็นที่จะเปลี่ยนแปลงผู้สมัคร เพราะการเข้าอายัดทรัพย์สินเป็นเพียงขั้นตอนการทำงานของ ปปง. ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะผู้บริหารในวันอังคารที่ 7 ธ.ค. นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะมีผลกระทบในการเป็นผู้สมัครของพรรคหรือไม่ ซึ่งหากยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมในการดำเนินการต่อไป ก็คิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไรในการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งใน จ.กาญจนบุรี ส่วนที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าดำเนินการกับทุกพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ ตนคิดว่านายกฯไม่ได้พูดความจริงกับประชาชน ต้องยอมรับความจริงว่า มีกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดนี้จำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในลักษณะนี้ แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
“ผมอยากจะท้าท่านนายกฯช่วยบอกว่าสักคนหนึ่งได้มั้ยว่า ใครในคณะรัฐบาลชุดนี้ที่ท่านได้ดำเนินการไปแล้ว มีใครมั้ยในคณะรัฐบาลชุดนี้ที่ ปปง. เข้าไปตรวจสอบอายัดทรัพย์สิน อย่างเช่นกรณีการทุจริตคลองด่าน การทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดนี้หลายคน ก็ไม่เห็นมีการดำเนินการอะไร ไม่เห็นมีใครที่จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน ตรวจสอบอายัดทรัพย์ของใครทั้งสิ้น ก็ยังปล่อยให้บุคคลที่ถูกกล่าวหา ถูกร้องเรียน ยังลอยนวลอยู่ตามปกติ” นายองอาจกล่าวและว่า ตนคิดว่ารัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้เป็นไปอย่าง 2 มาตรฐาน คือถ้าเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายตรงข้ามก็จะดำเนินการอย่างรีบเร่ง หรือพยายามที่จะหาเหตุดำเนินการอยู่ตลอดเวลา . ซึ่งสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ผลักดันให้เกิด ปปง. ขึ้นมา เราค่อนข้างที่จะตั้งความหวังสูงว่า ปปง. จะเป็นองค์กรที่เป็นกลไกของรัฐในการจัดการกับการทุจริต คอร์รัปชั่น และการฟอกเงินที่ผิดกฎหมายได้ แต่ปรากฏว่า ในระยะหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่มีรัฐบาลชุดนี้ ปปง. กลับตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหลายครั้ง เพราะในอดีต ปปง. เคยเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินการเงินของสื่อมวลชน เอ็นจีโอ หรือนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล โดยที่ไม่ได้อยู่ในมูลฐานความผิดตามกฎหมายของ ปปง.
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ปปง. บอกว่าจะดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่เดือนกันยายน 2546 แต่กลับปล่อยให้ล่วงเลยมาปีกว่า จนกระทั่งใกล้จะถึงวันเลือกตั้งและนายประชาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงเข้าดำเนินการอายัดทรัพย์สิน “ทำไม ปปง.ไม่ดำเนินการก่อนหน้านี้ พอใกล้เลือกตั้งก็เข้ามาดำเนินการ ผมคิดว่าถ้ากำนันเซี๊ยะตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย เรื่องทำนองนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยดูดนักการเมืองจำนวนมากเข้าไปอยู่ที่นั่น และคดีความอะไรต่างๆก็เงียบหายไปหมด อย่าว่าแต่ตรวจสอบหรืออายัดทรัพย์สินเลย พี่น้อง จ.กาญจนบุรีคงเข้าใจดีว่าสิ่งที่ ปปง. ดำเนินการนี้ ทำเพื่อจุดประสงค์อะไร” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจกล่าวว่า นายประชาคงสามารถชี้แจงได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดมีที่มาที่ไปอย่างไร และคงไม่กระทบถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในระหว่างการเลือกตั้ง เพราะคงใช้เงินไม่เกิน 1 ล้านบาท จึงคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบ เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมเงินที่จะไปซื้อเสียง จึงไม่ต้องใช้เงินมาก และถ้ามีการพยายามที่จะหยิบยกว่าผู้มีอิทธิพลอยู่ในพรรคขึ้นมาพูด ก็อาจจะมีผลกระทบต่อพรรคบ้าง แต่คิดว่าประชาชนส่วนมากคงเข้าใจดีว่าทำไมเรื่องเหล่านี้จึงเกิดในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมหารือกัน เพราะวิตกว่าจะมีการใช้อำนาจกลไกของรัฐมารังแกกลั่นแกล้งผู้สมัครหรือแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ไม่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ เพราะถ้าพูดก่อนก็จะหาว่ากินปูนร้อนท้อง แต่เรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐในการกลั่นแกล้งผู้อื่น และคิดว่าหลังจากนี้คงจะมีความพยายามที่จะหาเรื่องดิสเครดิตผู้สมัครและแกนนำของพรรค รวมทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยวิธีการต่างๆ
“สิ่งที่เรากลัวคือกลัวว่าจะมีการสร้างเรื่องอะไรขึ้นมา ทำให้ดูสมจริงสมจัง แล้วก็ประโคมข่าวกันไป ทำให้เกิดความเสียหาย เกิดความเสื่อมเสียไปแล้ว จะมาแก้ไขก็ไม่ได้ เพราะเสียหายไปแล้ว เราก็ป้องกันยาก เพราะอำนาจรัฐถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ก็สามารถทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรมได้เยอะ เพราะฉะนั้นอยากจะวิงวอนเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า อะไรก็ตามที่จะทำให้ผู้คนมีความรู้สึกว่า มีการใช้อำนาจรัฐไปรังแกกลั่นแกล้งใครก็ตาม ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง ที่พอจะเลือกตั้งก็หาวิธีเอาชนะกันด้วยวิธีการต่างๆที่ไม่ถูกต้อง” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ขณะนี้ในเบื้องต้นพรรคยังไม่มีความเห็นที่จะเปลี่ยนแปลงผู้สมัคร เพราะการเข้าอายัดทรัพย์สินเป็นเพียงขั้นตอนการทำงานของ ปปง. ไม่ได้มีผลทางกฎหมาย แต่อย่างไรก็ตามจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมคณะผู้บริหารในวันอังคารที่ 7 ธ.ค. นี้ เพื่อพิจารณาว่าจะมีผลกระทบในการเป็นผู้สมัครของพรรคหรือไม่ ซึ่งหากยังไม่มีอะไรเพิ่มเติมในการดำเนินการต่อไป ก็คิดว่าไม่น่าจะมีผลอะไรในการเปลี่ยนแปลงผู้สมัครรับเลือกตั้งใน จ.กาญจนบุรี ส่วนที่นายกรัฐมนตรีบอกว่าดำเนินการกับทุกพรรคการเมือง ไม่ได้เป็นการเลือกปฏิบัติ ตนคิดว่านายกฯไม่ได้พูดความจริงกับประชาชน ต้องยอมรับความจริงว่า มีกลุ่มบุคคลที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลชุดนี้จำนวนไม่น้อยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องในลักษณะนี้ แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆทั้งสิ้น
“ผมอยากจะท้าท่านนายกฯช่วยบอกว่าสักคนหนึ่งได้มั้ยว่า ใครในคณะรัฐบาลชุดนี้ที่ท่านได้ดำเนินการไปแล้ว มีใครมั้ยในคณะรัฐบาลชุดนี้ที่ ปปง. เข้าไปตรวจสอบอายัดทรัพย์สิน อย่างเช่นกรณีการทุจริตคลองด่าน การทุจริตในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดมีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลชุดนี้หลายคน ก็ไม่เห็นมีการดำเนินการอะไร ไม่เห็นมีใครที่จะเข้าไปดำเนินการตรวจสอบทรัพย์สิน ตรวจสอบอายัดทรัพย์ของใครทั้งสิ้น ก็ยังปล่อยให้บุคคลที่ถูกกล่าวหา ถูกร้องเรียน ยังลอยนวลอยู่ตามปกติ” นายองอาจกล่าวและว่า ตนคิดว่ารัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้เป็นไปอย่าง 2 มาตรฐาน คือถ้าเป็นฝ่ายค้านหรือฝ่ายตรงข้ามก็จะดำเนินการอย่างรีบเร่ง หรือพยายามที่จะหาเหตุดำเนินการอยู่ตลอดเวลา . ซึ่งสมัยที่พรรคประชาธิปัตย์ผลักดันให้เกิด ปปง. ขึ้นมา เราค่อนข้างที่จะตั้งความหวังสูงว่า ปปง. จะเป็นองค์กรที่เป็นกลไกของรัฐในการจัดการกับการทุจริต คอร์รัปชั่น และการฟอกเงินที่ผิดกฎหมายได้ แต่ปรากฏว่า ในระยะหลัง โดยเฉพาะในช่วงที่มีรัฐบาลชุดนี้ ปปง. กลับตกเป็นเครื่องมือของรัฐบาลหลายครั้ง เพราะในอดีต ปปง. เคยเข้าไปตรวจสอบทรัพย์สินการเงินของสื่อมวลชน เอ็นจีโอ หรือนักวิชาการที่ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาล โดยที่ไม่ได้อยู่ในมูลฐานความผิดตามกฎหมายของ ปปง.
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวว่า ปปง. บอกว่าจะดำเนินการตรวจสอบตั้งแต่เดือนกันยายน 2546 แต่กลับปล่อยให้ล่วงเลยมาปีกว่า จนกระทั่งใกล้จะถึงวันเลือกตั้งและนายประชาตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคประชาธิปัตย์ จึงเข้าดำเนินการอายัดทรัพย์สิน “ทำไม ปปง.ไม่ดำเนินการก่อนหน้านี้ พอใกล้เลือกตั้งก็เข้ามาดำเนินการ ผมคิดว่าถ้ากำนันเซี๊ยะตัดสินใจลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคไทยรักไทย เรื่องทำนองนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เหมือนกับที่พรรคไทยรักไทยดูดนักการเมืองจำนวนมากเข้าไปอยู่ที่นั่น และคดีความอะไรต่างๆก็เงียบหายไปหมด อย่าว่าแต่ตรวจสอบหรืออายัดทรัพย์สินเลย พี่น้อง จ.กาญจนบุรีคงเข้าใจดีว่าสิ่งที่ ปปง. ดำเนินการนี้ ทำเพื่อจุดประสงค์อะไร” โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าว
นายองอาจกล่าวว่า นายประชาคงสามารถชี้แจงได้ว่าทรัพย์สินที่ถูกอายัดมีที่มาที่ไปอย่างไร และคงไม่กระทบถึงค่าใช้จ่ายที่ต้องใช้ในระหว่างการเลือกตั้ง เพราะคงใช้เงินไม่เกิน 1 ล้านบาท จึงคิดว่าไม่น่าจะมีผลกระทบ เนื่องจากเราไม่ได้เตรียมเงินที่จะไปซื้อเสียง จึงไม่ต้องใช้เงินมาก และถ้ามีการพยายามที่จะหยิบยกว่าผู้มีอิทธิพลอยู่ในพรรคขึ้นมาพูด ก็อาจจะมีผลกระทบต่อพรรคบ้าง แต่คิดว่าประชาชนส่วนมากคงเข้าใจดีว่าทำไมเรื่องเหล่านี้จึงเกิดในช่วงก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง ซึ่งก่อนหน้านี้พรรคประชาธิปัตย์ได้มีการประชุมหารือกัน เพราะวิตกว่าจะมีการใช้อำนาจกลไกของรัฐมารังแกกลั่นแกล้งผู้สมัครหรือแกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ แต่ที่ไม่ออกมาพูดก่อนหน้านี้ เพราะถ้าพูดก่อนก็จะหาว่ากินปูนร้อนท้อง แต่เรื่องนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่าเป็นการใช้อำนาจรัฐในการกลั่นแกล้งผู้อื่น และคิดว่าหลังจากนี้คงจะมีความพยายามที่จะหาเรื่องดิสเครดิตผู้สมัครและแกนนำของพรรค รวมทั้งทำลายความน่าเชื่อถือของพรรคให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ ด้วยวิธีการต่างๆ
“สิ่งที่เรากลัวคือกลัวว่าจะมีการสร้างเรื่องอะไรขึ้นมา ทำให้ดูสมจริงสมจัง แล้วก็ประโคมข่าวกันไป ทำให้เกิดความเสียหาย เกิดความเสื่อมเสียไปแล้ว จะมาแก้ไขก็ไม่ได้ เพราะเสียหายไปแล้ว เราก็ป้องกันยาก เพราะอำนาจรัฐถ้าใช้ไม่ถูกต้อง ก็สามารถทำอะไรที่ผิดทำนองคลองธรรมได้เยอะ เพราะฉะนั้นอยากจะวิงวอนเรียกร้องไปยังรัฐบาลว่า อะไรก็ตามที่จะทำให้ผู้คนมีความรู้สึกว่า มีการใช้อำนาจรัฐไปรังแกกลั่นแกล้งใครก็ตาม ไม่ควรกระทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายการเมือง ที่พอจะเลือกตั้งก็หาวิธีเอาชนะกันด้วยวิธีการต่างๆที่ไม่ถูกต้อง” นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-