นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวถึงกรณีรัฐบาลเตรียมที่จะออกพระราชกำหนดเพื่อป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ว่า เป็นสิทธิที่รัฐบาลสามารถดำเนินการได้ตามความเหมาะสม แต่กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงรัฐบาลต้องพิจารณาในหลายประการ คือ
ประการที่ 1 รัฐบาลควรดูกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า ได้ใช้กฎหมายเหล่านั้นแก้ไขปัญหาครบถ้วนแล้วหรือยัง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า กฎหมายในขณะนี้น่าจะเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
ประการที่ 2 ปัญหาในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ข้อกฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายมากกว่า โดยผู้ปฏิบัติไปสร้างเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เกิดมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งนำนโยบายที่ผิดพลาดไปปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอุ้ม หรือการฆ่า จนทำให้เกิดความเครียดแค้นเจ้าหน้าที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้
ประการที่ 3 การออกกฎหมายดังกล่าวควรคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้กับคนไทยทั้งประเทศ อีกทั้งยังไม่มีสิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่า กฎหมายฉบับนี้จะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งในอดีตเคยมีกฎหมายคอมมิวนิสต์ที่คล้ายกับกฎหมายด้านความมั่นคง โดยระดับนโยบายใช้กฎหมายนี้สั่งการกลไกอำนาจรัฐไปจัดการกับผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ
‘การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ควรดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รัฐบาลไม่ควรคิดที่จะออกกฎหมายที่ต้องนำไปใช้ระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกฎหมายฉบับนี้อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาความรุนแรงมากขึ้นในระดับประเทศก็ได้’ นายองอาจ กล่าว และกล่าวต่อว่า ในเรื่องของหลักการมองว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่ถอยหลังเข้าคลอง มากกว่าที่จะเป็นกฎหมายที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับการที่กฏหมายฉบับนี้จะออกมาในช่วงการเลือกตั้ง โฆษกพรรคปชป.กล่าวว่า การออกพระราชกำหนดดังกล่าวทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่จึงพยายามที่จะออกกฏหมายในช่วงนี้ เพราะในช่วงประชุมสมัยสามัญรัฐบาลรีรอที่จะดำเนินการออกกฏหมายฉบับนี้ แต่พอมาถึงช่วงที่ปิดสมัยประชุมรัฐบาลกับพยายามที่จะออกกฏหมาย ถ้ารัฐบาลมีความคิดที่จะออกกฎหมายฉบับนี้จริงไม่ควรที่จะออกเป็นพระราชกำหนด แต่ควรออกเป็นพระราชบัญญัติมากกว่า ซึ่งรัฐบาลสามารถที่จะขอเปิดสภาสมัยสามัญได้ และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ส.ส.ทุกคน ยินดีที่จะมาร่วมประชุม เพื่อที่จะมาร่วมแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้สื่อข่าวถามว่ากฎหมายตรงนี้จะสามารถไปแก้ไขปัญหาในภาคใต้ได้อย่างฉับพลันอย่างที่รัฐบาลอ้างหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่เชื่อกับการกล่าวอ้างของรัฐบาล เพราะกฎหมายเป็นเครื่องมือเพียงส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ นโยบายที่ถูกต้อง และ คุณสมบัติของผู้นำ ซึ่งถ้าคุณสมบัติของผู้นำไม่พยายามที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างก็แก้ไขปัญหาได้อย่างลำบาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ประการที่ 1 รัฐบาลควรดูกฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบันว่า ได้ใช้กฎหมายเหล่านั้นแก้ไขปัญหาครบถ้วนแล้วหรือยัง เพราะพรรคประชาธิปัตย์ เชื่อว่า กฎหมายในขณะนี้น่าจะเพียงพอต่อการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง
ประการที่ 2 ปัญหาในขณะนี้ไม่ได้อยู่ที่ข้อกฎหมาย แต่อยู่ที่ผู้ปฏิบัติตามกฎหมายมากกว่า โดยผู้ปฏิบัติไปสร้างเงื่อนไขที่ก่อให้เกิดความไม่มั่นคงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็เกิดมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่วนหนึ่งนำนโยบายที่ผิดพลาดไปปฏิบัติไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการอุ้ม หรือการฆ่า จนทำให้เกิดความเครียดแค้นเจ้าหน้าที่เพิ่มมากขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่บานปลายมาจนถึงทุกวันนี้
ประการที่ 3 การออกกฎหมายดังกล่าวควรคำนึงถึงสิทธิเสรีภาพของประชาชนมากที่สุด โดยเฉพาะสิทธิเสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ เพราะกฎหมายฉบับนี้บังคับใช้กับคนไทยทั้งประเทศ อีกทั้งยังไม่มีสิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นว่า กฎหมายฉบับนี้จะไม่ถูกนำไปใช้เพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง โดยเฉพาะผลประโยชน์ทางการเมือง ซึ่งในอดีตเคยมีกฎหมายคอมมิวนิสต์ที่คล้ายกับกฎหมายด้านความมั่นคง โดยระดับนโยบายใช้กฎหมายนี้สั่งการกลไกอำนาจรัฐไปจัดการกับผู้บริสุทธิ์จำนวนมาก เพราะฉะนั้นตรงนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญ
‘การออกกฎหมายในลักษณะนี้ ควรดำเนินการให้เป็นไปตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ รัฐบาลไม่ควรคิดที่จะออกกฎหมายที่ต้องนำไปใช้ระยะยาวเพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และกฎหมายฉบับนี้อาจจะเป็นการเพิ่มปัญหาความรุนแรงมากขึ้นในระดับประเทศก็ได้’ นายองอาจ กล่าว และกล่าวต่อว่า ในเรื่องของหลักการมองว่า กฎหมายดังกล่าวเป็นเรื่องที่ถอยหลังเข้าคลอง มากกว่าที่จะเป็นกฎหมายที่จะเดินหน้าแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงของประเทศ
ผู้สื่อข่าวถามว่าคิดอย่างไรกับการที่กฏหมายฉบับนี้จะออกมาในช่วงการเลือกตั้ง โฆษกพรรคปชป.กล่าวว่า การออกพระราชกำหนดดังกล่าวทำให้อดคิดไม่ได้ว่ารัฐบาลมีวาระซ่อนเร้นอะไรหรือไม่จึงพยายามที่จะออกกฏหมายในช่วงนี้ เพราะในช่วงประชุมสมัยสามัญรัฐบาลรีรอที่จะดำเนินการออกกฏหมายฉบับนี้ แต่พอมาถึงช่วงที่ปิดสมัยประชุมรัฐบาลกับพยายามที่จะออกกฏหมาย ถ้ารัฐบาลมีความคิดที่จะออกกฎหมายฉบับนี้จริงไม่ควรที่จะออกเป็นพระราชกำหนด แต่ควรออกเป็นพระราชบัญญัติมากกว่า ซึ่งรัฐบาลสามารถที่จะขอเปิดสภาสมัยสามัญได้ และเชื่อว่าทุกพรรคการเมือง ส.ส.ทุกคน ยินดีที่จะมาร่วมประชุม เพื่อที่จะมาร่วมแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ผู้สื่อข่าวถามว่ากฎหมายตรงนี้จะสามารถไปแก้ไขปัญหาในภาคใต้ได้อย่างฉับพลันอย่างที่รัฐบาลอ้างหรือไม่ นายองอาจ กล่าวว่า ไม่เชื่อกับการกล่าวอ้างของรัฐบาล เพราะกฎหมายเป็นเครื่องมือเพียงส่วนหนึ่งในการแก้ไขปัญหา แต่ส่วนที่สำคัญที่สุดคือ นโยบายที่ถูกต้อง และ คุณสมบัติของผู้นำ ซึ่งถ้าคุณสมบัติของผู้นำไม่พยายามที่จะรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่างก็แก้ไขปัญหาได้อย่างลำบาก
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 2 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-