นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวถึงกรณีเหตุการณ์ยิงถล่มบ้านส.ส.พรรคไทยรักไทย ในจังหวัดนครราชสีมา โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ประธานการเลือกตั้งพรรคไทยรักไทยถึงกับออกมาระบุว่า “แรงมาก็จะต้องแรงไป” ว่า ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มีความวิตกกังวลและเป็นห่วงว่าสถานการณ์ทางการเมืองซึ่งใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งในขณะนี้ที่เริ่มมีการใช้ความรุนแรงมากขึ้นอย่างผิดสังเกต จากเหตุการณ์ดังกล่าวรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษ การที่นายกฯได้ออกมาระบุว่าส.ส.ผู้นี้เป็นคนดีจึงคิดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการเมือง รัฐบาลจึงควรเร่งตรวจสอบปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งในพื้นที่ และตนเชื่อว่าพรรคไทยรักไทยก็น่าจะรู้ดีมีความขัดแย้งกับผู้ใด การสืบสวนในเรื่องนี้คงไม่ยากสำหรับรัฐบาลจึงไม่ควรปล่อยให้เรื่องดังกล่าวผ่านไป เพราะจะเป็นการทำให้สถานการณ์ในการเลือกตั้งมีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ซึ่งรัฐบาลควรเร่งดำเนินการอย่างจริงจังในการติดตามผู้กระทำผิดมาลงโทษ อีกทั้งการที่ประธานการเลือกตั้งของพรรคแกนนำรัฐบาลออกมาชี้นำในการใช้ความรุนแรง ถึงแม้จะเป็นการกล่าวเพื่อปลุกขวัญกำลังใจของส.ส.ของพรรคก็ตามเป็นเรื่องที่ไม่ควรกระทำ เพราะคำพูดของท่านเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณว่าพร้อมที่จะใช้ความรุนแรงในการเลือกตั้งครั้งต่อไปถือเป็นวิถีการที่ไม่ถูกต้องอย่างยิ่ง ‘พรรคประชาธิปัตย์อยากเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการในเรื่องนี้อย่างจริงจัง ไม่ควรส่งสัญญาณใดๆที่จะใช้ความรุนแรงในการแก้แค้นมากกว่าที่จะใช้วิถีทางทางกฎหมายเข้าไปแก้ไขปัญหา เพราะตนเชื่อว่าการแก้แค้นย่อมก่อให้เกิดความรุนแรงเพิ่มมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ’ นายองอาจ กล่าว
สำหรับกรณีที่นายปองพล อดิเรกสาร ผู้อำนวยการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคทรท.ได้ออกมาบอกว่า พรรคไทยรักไทยประเมินว่าจะได้ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 31 ที่นั่ง นายองอาจ กล่าวว่า ท่านมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 4 ปี ความคิดของพรรคไทยรักไทยที่จะได้ที่นั่ง 31 ที่นั่งนั้นจะเป็นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่อยู่ที่ตัวผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย หรือ การดำเนินการของผู้อำนวยการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคทรท. ซึ่งประชาชนชาวกรุงเทพมหานครเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดข้อมูลข่าวสารมากที่สุด และในช่วงที่ผ่านมานักวิชาการได้ออกมาเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนออกมาลงคะแนนเสียงโดยใช้วิธีการที่เรียกว่าลงคะแนนเสียงเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งได้รับการขานรับจากพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมากขึ้นเลยๆ และอีกประการหนึ่งที่ทำให้ความคิดของพรรคไทยรักไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็คือ พรรคไทยรักไทยต้องยอมรับความจริงขณะนี้พี่น้องประชาชนในกรุงเทพฯเริ่มรู้ทันนายกฯ และ รัฐบาลชุดนี้มากยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งสิ่งที่ประชาชนเริ่มรู้ทันก็มีอยู่ 4 ประการ คือ
1.เริ่มรู้ทันว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของประชาชนเพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืน แต่รัฐบาลแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะเพิ่มความนิยมในคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาลมากกว่า
2.เริ่มรู้ทันถึงคุณลักษณะของท่านนายกฯ และของรัฐบาล ในความเป็นเผด็จการที่ต้องการใช้เสียงข้างมากเพื่อประโยชน์ของคนในรัฐบาล หรือคนที่อยู่ในแวดล้อม เป็นพวกพ้องของรัฐบาลมากกว่า
3.เริ่มรู้ดทันท่านนายกฯ และรัฐบาล ในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องของผลประโยชน์เชิงนโยบายมากขึ้นเลยๆ
4.นโยบายของรัฐบาลหลายอย่างเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องในกรุงเทพมหานคร เช่นความพยายามที่จะรีดภาษีพี่น้องในกรุงเทพมหานคร เพื่อไปแจกจ่าย ลดแลก แจกแถม ให้กับโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการในเชิงประชานิยม ซึ่งเข้าข่ายถมไม่เต็มทั้งสิ้น โฆษกพรรคปชป. กล่าวต่อว่า 4 เหตุผลดังกล่าวเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานครมีความรู้ทันท่านนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้มากขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และเป็นการทำให้ความคิดของพรรคไทยรักไทยที่จะได้ที่นั่งในกรุงเทพมหานคร 31 ที่นั่งนั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับกรณีที่รัฐบาลแสดงความคิดเห็นผ่านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่าจะยังไม่เสนอพระราชกำหนด (พรก.)เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายองอาจ กล่าวว่า ความพยายามในการที่จะออกมากฎหมายพิเศษฉบับนี้เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งได้รับการทักท้วงจากกลุ่มบุคคลต่างๆมาโดยตลอด จนมาถึงช่วงนี้ที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ได้นำแนวความคิดที่จะออกกฎหมายพิเศษนี้ออกมา แต่เมื่อได้รับการทักท้วงจาก ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และกลุ่มต่างๆ รัฐบาลก็ออกมาระบุว่าจะยุติกฎหมายนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มองว่าการออกมาระบุในเรื่องดังกล่าวของรัฐบาลน่าจะเป็นการยุติชั่วคราว เป็นการยุติเชิงกลยุทธมากกว่า และรัฐบาลควรจะรอให้ผ่านพ้นการเลือกตั้งไปก่อนจึงจะนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาใช้บังคับอีกถ้าได้รัฐบาลมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลในรอบที่ 2 การยุติในครั้งนี้จึงเป็นการยุติเพื่อหวังผลต่อต้านจากพี่น้องประชาชนบ้างส่วน ซึ่งโดยหลักการแล้วรัฐบาลยังมีกฎหมายอื่นๆที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ น่าจะมีวาระซ่อนเร้นในการออกกฎหมายลักษณะนี้ เพราะจะเห็นว่าจุดมุ่งหมายหลักในเรื่องนี้ คือการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ‘ตนคิดว่าแค่เริ่มต้นคิดที่จะออกกฎหมายนี้ก็เป็นความคิดที่ผิดพลาดแล้ว เพราะปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่ได้มีกฎหมายพิเศษ แต่ปัญหาความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมาเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์อยากจะเรียกร้องรัฐบาลในเรื่องนี้คือไม่อยากจะให้รัฐบาลยุติการออกกฎหมายพิเศษเพื่อไปใช้แก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงเพราะกังวลถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น’นายองอาจ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
สำหรับกรณีที่นายปองพล อดิเรกสาร ผู้อำนวยการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคทรท.ได้ออกมาบอกว่า พรรคไทยรักไทยประเมินว่าจะได้ส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร 31 ที่นั่ง นายองอาจ กล่าวว่า ท่านมีสิทธิ์ที่จะคิด แต่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเกือบ 4 ปี ความคิดของพรรคไทยรักไทยที่จะได้ที่นั่ง 31 ที่นั่งนั้นจะเป็นจริงหรือไม่นั้นขึ้นอยู่ที่ประชาชนในกรุงเทพมหานคร ไม่ใช่อยู่ที่ตัวผู้สมัครของพรรคไทยรักไทย หรือ การดำเนินการของผู้อำนวยการเลือกตั้งทั่วไปของพรรคทรท. ซึ่งประชาชนชาวกรุงเทพมหานครเป็นผู้ที่อยู่ใกล้ชิดข้อมูลข่าวสารมากที่สุด และในช่วงที่ผ่านมานักวิชาการได้ออกมาเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนออกมาลงคะแนนเสียงโดยใช้วิธีการที่เรียกว่าลงคะแนนเสียงเชิงยุทธศาสตร์ ซึ่งได้รับการขานรับจากพี่น้องประชาชนในกรุงเทพมากขึ้นเลยๆ และอีกประการหนึ่งที่ทำให้ความคิดของพรรคไทยรักไทยไม่เป็นไปตามเป้าหมายก็คือ พรรคไทยรักไทยต้องยอมรับความจริงขณะนี้พี่น้องประชาชนในกรุงเทพฯเริ่มรู้ทันนายกฯ และ รัฐบาลชุดนี้มากยิ่งขึ้นทุกวัน ซึ่งสิ่งที่ประชาชนเริ่มรู้ทันก็มีอยู่ 4 ประการ คือ
1.เริ่มรู้ทันว่ารัฐบาลนี้ไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาของประชาชนเพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืน แต่รัฐบาลแก้ไขปัญหาเพื่อที่จะเพิ่มความนิยมในคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาลมากกว่า
2.เริ่มรู้ทันถึงคุณลักษณะของท่านนายกฯ และของรัฐบาล ในความเป็นเผด็จการที่ต้องการใช้เสียงข้างมากเพื่อประโยชน์ของคนในรัฐบาล หรือคนที่อยู่ในแวดล้อม เป็นพวกพ้องของรัฐบาลมากกว่า
3.เริ่มรู้ดทันท่านนายกฯ และรัฐบาล ในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน เรื่องของผลประโยชน์เชิงนโยบายมากขึ้นเลยๆ
4.นโยบายของรัฐบาลหลายอย่างเป็นนโยบายที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อพี่น้องในกรุงเทพมหานคร เช่นความพยายามที่จะรีดภาษีพี่น้องในกรุงเทพมหานคร เพื่อไปแจกจ่าย ลดแลก แจกแถม ให้กับโครงการต่างๆของรัฐบาล ซึ่งล้วนแต่เป็นโครงการในเชิงประชานิยม ซึ่งเข้าข่ายถมไม่เต็มทั้งสิ้น โฆษกพรรคปชป. กล่าวต่อว่า 4 เหตุผลดังกล่าวเป็นสิ่งที่พี่น้องประชาชนในกรุงเทพมหานครมีความรู้ทันท่านนายกฯ และรัฐบาลชุดนี้มากขึ้นในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา และเป็นการทำให้ความคิดของพรรคไทยรักไทยที่จะได้ที่นั่งในกรุงเทพมหานคร 31 ที่นั่งนั้นไม่เป็นไปตามเป้าหมาย
สำหรับกรณีที่รัฐบาลแสดงความคิดเห็นผ่านนายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ว่าจะยังไม่เสนอพระราชกำหนด (พรก.)เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น นายองอาจ กล่าวว่า ความพยายามในการที่จะออกมากฎหมายพิเศษฉบับนี้เกิดขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 1 ปี ซึ่งได้รับการทักท้วงจากกลุ่มบุคคลต่างๆมาโดยตลอด จนมาถึงช่วงนี้ที่ใกล้จะมีการเลือกตั้ง รัฐบาลก็ได้นำแนวความคิดที่จะออกกฎหมายพิเศษนี้ออกมา แต่เมื่อได้รับการทักท้วงจาก ฝ่ายค้าน นักวิชาการ และกลุ่มต่างๆ รัฐบาลก็ออกมาระบุว่าจะยุติกฎหมายนี้ ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์มองว่าการออกมาระบุในเรื่องดังกล่าวของรัฐบาลน่าจะเป็นการยุติชั่วคราว เป็นการยุติเชิงกลยุทธมากกว่า และรัฐบาลควรจะรอให้ผ่านพ้นการเลือกตั้งไปก่อนจึงจะนำเรื่องดังกล่าวขึ้นมาใช้บังคับอีกถ้าได้รัฐบาลมีโอกาสกลับมาเป็นรัฐบาลในรอบที่ 2 การยุติในครั้งนี้จึงเป็นการยุติเพื่อหวังผลต่อต้านจากพี่น้องประชาชนบ้างส่วน ซึ่งโดยหลักการแล้วรัฐบาลยังมีกฎหมายอื่นๆที่สามารถบังคับใช้ได้อย่างเต็มที่ น่าจะมีวาระซ่อนเร้นในการออกกฎหมายลักษณะนี้ เพราะจะเห็นว่าจุดมุ่งหมายหลักในเรื่องนี้ คือการแก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ภาคใต้ ‘ตนคิดว่าแค่เริ่มต้นคิดที่จะออกกฎหมายนี้ก็เป็นความคิดที่ผิดพลาดแล้ว เพราะปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ไม่ได้เกิดจากการที่เราไม่ได้มีกฎหมายพิเศษ แต่ปัญหาความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นในช่วง 3-4 ปี ที่ผ่านมาเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจนอกเหนือกฎหมาย พรรคประชาธิปัตย์อยากจะเรียกร้องรัฐบาลในเรื่องนี้คือไม่อยากจะให้รัฐบาลยุติการออกกฎหมายพิเศษเพื่อไปใช้แก้ไขปัญหาความรุนแรงในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพียงเพราะกังวลถึงผลกระทบต่อการเลือกตั้งที่จะมีขึ้น โดยเฉพาะผลกระทบต่อผลการเลือกตั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น’นายองอาจ กล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 4 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-