เวลา 10.30 น. วันที่ (11ธ.ค.47) ที่ พรรคประชาธิปัตย์ นายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.เพชรบุรี พรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต พรรคฝ่ายค้าน แถลงว่า คณะทำงานได้ประเมินสถานการณ์ในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตลอดระยะ 4 ปี ที่ผ่านมา ก่อนจะหมดวาระการทำหน้าที่ในวันที่ 5 มกราคมนี้ สรุปได้ว่าเป็นนโยบายที่ล้มเหลวสอบตกในทุกด้าน ทำให้การทุจริตคอร์รัปชั่นบานปลายขยายตัวมากขึ้นกว่าในอดีต ซึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดความล้มเหลวในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นตลอด 4 ปี มี 6 ประการ คือ 1.รัฐบาลไม่ตั้งใจจริงในการปราบปรามคอร์รัปชั่น 2.รัฐบาลมีส่วนร่วมในการทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ว่าจะในเชิงนโยบาย และในเชิงทุจริตฮั้วงาน 3.รัฐบาลใช้นโยบายปราบปรามคอร์รัปชั่นเป็นเครื่องมือทางการเมือง จึงทำให้เกิดดับเบิ้ลสแตนดาร์ด โดยเฉพาะโครงการทุจริตบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน 4.รัฐบาลไม่ส่งเสริมองค์กรที่ทำหน้าที่ในการปราบปรามทุจริต แต่กลับไปครอบงำจนเกิดปัญหา เช่น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และรัฐสภา 5.รัฐบาลเข้าไปแทรกแซงการเสนอข่าวของสื่อมวลชน จึงทำให้ขาดอิสระในการทำหน้าที่ตรวจสอบทุจริตคอร์รัปชั่น ตลอด 4 ปีที่ ผ่านมา 6.รัฐบาลไม่เชื่อระบบถ่วงดุลตรวจสอบในระบบประชาธิปไตย จึงทำให้หลายครั้งรัฐบาลนี้ปล่อยให้เกิดลักษณะเสียงมากลากไป รวมไปถึงไม่ส่งเสริม และสนับสนุนในการทำหน้าที่ หรือรับฟังการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายค้านในมิติเรื่องการตรวจสอบ
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านวิตกในสถานการณ์จากนี้ไป คือ เรื่องการแสวงหาประโยชน์ในโครงการเมกกะโปรเจควงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการประมูลโครงการ หรือการประมูลสัมปทาน ซึ่งมีบุคคลที่เป็นนักธุรกิจ และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล มีส่วนได้ส่วนเสียงกับโครงการเมกกะโปรเจคทั้งสิ้น
‘ธรรมชาติของรัฐบาลชุดนี้ในการบริหารประเทศชาติ 4 ปี ที่ผ่านมา และในอนาคต คือ องค์ประกอบที่รัฐบาลชุดนี้ มีกลุ่มทุนธุรกิจ การเมือง และกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีกว่า 10 ตระกูล ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับโครงการต่างๆเกือบทุกโครงการ และจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจะขอแก้ตัว และขอโอกาสอย่าไรก็ตามในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ก็เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผล’ นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า การที่นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการประมูลอีเล็คทรอนิกส์ หรือี-อ๊อกชั่น จะเป็นหัวใจสำคัญของพรรคไทยรักไทยในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลชุดนี้กลับมาโกงโครงการเสียเอง ที่นายกฯอ้างว่าต่างประเทศมองประเทศไทยดีขึ้นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนคิดว่านายกฯเข้าใจผิด เพราะจากการรายงานขององค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ ประเมินการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทยที่แม้จะกระเตื้องขึ้นจาก 3.3 คะแนน ขึ้นมาเป็น 3.6 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนก็ตาม แต่ก็ถือว่าตัวเลขดังกล่าวยังสอบตกอยู่ดี สอดคล้องกับที่นักวิชาการ และองค์กรต่างๆในประเทศได้วิเคราะห์ นอกจากนี้เวิล์ด อีโคโนมิค ฟอรั่ม ยังได้จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่อ่อนแอเพราะปัญหาทุจริต ซึ่งในปี 2544 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 31 ปี 2545 อยู่อันดับ 32 และในปี 2546 อยู่อันดับ 34 สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยอ่อนแอในเรื่องความโปร่งใส และการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้นนายกฯควรจะต้องยอมรับความจริงเพื่อนำไปแก้ไขปัญหา
ประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต กล่าวต่อว่า ปัญหาการทุจริตอย่างหนักที่เกิดขึ้น แม้นายกฯจะอ้างว่าพยายามใช้ระบบการประมูลแบบอี-อ๊อกชั่น แต่ปรากฎว่าฝ่ายการเมืองในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) กลับสมรู้ร่วมคิด มีพฤติกรรมส่อทุจริตอย่างเห็นได้ชัด ในโครงการตลาดกลางพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายอี-คอมเมิรส์ของรัฐบาล โดยมีบริษัท ทศท.คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยการดำเนินการที่ผ่านมามีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1.เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 ได้มีมติการรับโครงการเข้ามาดำเนินการ 2.เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ตั้งคณะกรรมการโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ มีรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทศท.เป็นประธาน 3.วันที่ 23 กรกฎาคม คณะกรรมการดังกล่าวได้แต่งตั้งผู้อำนวยการตลาดกลางพาณิชย์ฯ คือ นายยอดชาย แก้วเพ็ญศรี ที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีที
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า 4.วันที่ 26 กรกฎาคม นายยอดชายได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เอคสเปิร์ท โอเปอเรชั่น จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีกรรมการ 2 คน คือนายยอดชาย และอธิวัฒน์ โชติเชวงกุล เป็นบริษัทจัดตั้งใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านที่ปรึกษาหรือบริหารงานใด 5.วันที่ 7 สิงหาคม บริษัทดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นบริษัทที่ปรึกษาสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง 6.วันที่ 5 ตุลาคม บมจ.ทศท. ได้ใช้วิธีพิเศษในการจ้างบริษัท เอคสเปิร์ท มาเป็นบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ โดยมีระยะ 4 ปี แยกเป็น 3 ระยะ วงเงินโครงการ 50 ล้านบาท
“จากหลักฐานมีเหตุเป็นพิรุธเชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดวิธี เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายผิดระเบียบของทางราชการจนวันนี้ยังไม่คำชี้แจงจากรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ว่าเหตุใด ที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีที จึงสามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการตลาดกลางพาณิชย์อิเลคทรอนิกส์แห่งชาติ และไปจัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเองมาเซ็นสัญญาว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการ เรียกว่าเป็นทั้งที่ปรึกษา และผู้บริหารโครงการ และยังเป็นผู้เขียนเสนอโครงการเองและพิจารณาเองด้วย ทั้งบริษัทเอคสเปิร์ทไม่มีประสบการณ์ทำงาน และเป็นบริษัทจัดตั้งใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับทีโออาร์ในการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในโครงการนี้ รวมทั้งยังไม่เปิดให้บริษัทอื่นๆเข้าประมูลแข่งขัน จากหลักฐาน และขั้นตอนทั้งหมดมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ”นายอลงกรณ์กล่าว และว่า ขอถามกลับไปยังนายกฯว่าแม้แต่โครงการที่เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลแต่กลับปรากฎว่าฝ่ายการเมืองในกระทรวงไอซีที ยังส่อพฤติกรรมการทุจริตเสียเอง แล้วประเทศชาติจะหวังอะไรกับรัฐบาลชุดนี้
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ามีการทุจริตกันโจ๋งครึ่ม โดยไม่เกรงกลัวการตรวจสอบ นอกจากนี้มีข้อสังเกตว่าโครงการนี้ยังเร่งดำเนินการในช่วง 6 เดือนสุดท้ายก่อนที่รัฐบาลจะพ้นวาระ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสูญญากาศของการตรวจสอบ เพราะทุกฝ่ายมุ่งเตรียมการเลือกตั้งเป็นหลัก จึงเป็นโอกาสให้คนที่ต้องการฉวยโอกาสดำเนินการทุจริตในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามในวันที่ 15 ธันวาคม ตนจะยื่นเรื่องดังกล่าวให้ป.ป.ช.ตรวจสอบในกรณีข้าราชการฝ่ายการเมือง พนักงานของรัฐ และบริษัทเอกชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งจะยื่นสตง.ให้ตรวจสอบการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการว่าถูกต้องตามระเบียบพัสดุหรือไม่ ทั้งนี้คณะทำงานเห็นว่าที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีทีไม่น่าจะทำคนเดียวได้ เพราะอยู่ๆจะขึ้นเป็นผู้อำนวยการตลาดกลางฯ และยังมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการต่อได้อีก เชื่อว่าจะต้องมีคนที่ใหญ่กว่าอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งที่ปรึกษาคงไม่มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชที่จะทำได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ฝ่ายค้านวิตกในสถานการณ์จากนี้ไป คือ เรื่องการแสวงหาประโยชน์ในโครงการเมกกะโปรเจควงเงิน 1 ล้านล้านบาท โดยเฉพาะโครงการที่เกี่ยวข้องกับกิจการโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการประมูลโครงการ หรือการประมูลสัมปทาน ซึ่งมีบุคคลที่เป็นนักธุรกิจ และมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล มีส่วนได้ส่วนเสียงกับโครงการเมกกะโปรเจคทั้งสิ้น
‘ธรรมชาติของรัฐบาลชุดนี้ในการบริหารประเทศชาติ 4 ปี ที่ผ่านมา และในอนาคต คือ องค์ประกอบที่รัฐบาลชุดนี้ มีกลุ่มทุนธุรกิจ การเมือง และกลุ่มทุนขนาดใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งมีกว่า 10 ตระกูล ซึ่งมีผลประโยชน์ทับซ้อนเกี่ยวกับโครงการต่างๆเกือบทุกโครงการ และจะส่งผลให้เกิดปัญหาในการดำเนินนโยบายของรัฐบาล นายกรัฐมนตรีจะขอแก้ตัว และขอโอกาสอย่าไรก็ตามในการแก้ไขปัญหาคอร์รัปชั่น ก็เป็นเรื่องยากที่จะบรรลุผล’ นายอลงกรณ์กล่าว
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า การที่นายกรัฐมนตรีเชื่อว่าการประมูลอีเล็คทรอนิกส์ หรือี-อ๊อกชั่น จะเป็นหัวใจสำคัญของพรรคไทยรักไทยในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น แต่น่าเสียดายที่รัฐบาลชุดนี้กลับมาโกงโครงการเสียเอง ที่นายกฯอ้างว่าต่างประเทศมองประเทศไทยดีขึ้นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น ตนคิดว่านายกฯเข้าใจผิด เพราะจากการรายงานขององค์กรเพื่อความโปร่งใสระหว่างประเทศ ประเมินการทุจริตคอร์รัปชั่นของประเทศไทยที่แม้จะกระเตื้องขึ้นจาก 3.3 คะแนน ขึ้นมาเป็น 3.6 คะแนน จากคะแนนเต็ม 10 คะแนนก็ตาม แต่ก็ถือว่าตัวเลขดังกล่าวยังสอบตกอยู่ดี สอดคล้องกับที่นักวิชาการ และองค์กรต่างๆในประเทศได้วิเคราะห์ นอกจากนี้เวิล์ด อีโคโนมิค ฟอรั่ม ยังได้จัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศที่อ่อนแอเพราะปัญหาทุจริต ซึ่งในปี 2544 ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 31 ปี 2545 อยู่อันดับ 32 และในปี 2546 อยู่อันดับ 34 สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยอ่อนแอในเรื่องความโปร่งใส และการทุจริตคอร์รัปชั่น ดังนั้นนายกฯควรจะต้องยอมรับความจริงเพื่อนำไปแก้ไขปัญหา
ประธานคณะทำงานตรวจสอบการทุจริต กล่าวต่อว่า ปัญหาการทุจริตอย่างหนักที่เกิดขึ้น แม้นายกฯจะอ้างว่าพยายามใช้ระบบการประมูลแบบอี-อ๊อกชั่น แต่ปรากฎว่าฝ่ายการเมืองในกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร (ไอซีที) กลับสมรู้ร่วมคิด มีพฤติกรรมส่อทุจริตอย่างเห็นได้ชัด ในโครงการตลาดกลางพาณิชย์อิเล็คทรอนิกส์แห่งชาติ ซึ่งเป็นโครงการตามนโยบายอี-คอมเมิรส์ของรัฐบาล โดยมีบริษัท ทศท.คอร์เปอร์เรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นผู้รับผิดชอบโครงการ มีมูลค่าโครงการไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท โดยการดำเนินการที่ผ่านมามีลำดับขั้นตอนดังนี้ 1.เมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2547 ได้มีมติการรับโครงการเข้ามาดำเนินการ 2.เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม ตั้งคณะกรรมการโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ มีรองกรรมการผู้จัดการ บมจ.ทศท.เป็นประธาน 3.วันที่ 23 กรกฎาคม คณะกรรมการดังกล่าวได้แต่งตั้งผู้อำนวยการตลาดกลางพาณิชย์ฯ คือ นายยอดชาย แก้วเพ็ญศรี ที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีที
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า 4.วันที่ 26 กรกฎาคม นายยอดชายได้จดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เอคสเปิร์ท โอเปอเรชั่น จำกัด ทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท มีกรรมการ 2 คน คือนายยอดชาย และอธิวัฒน์ โชติเชวงกุล เป็นบริษัทจัดตั้งใหม่ ไม่เคยมีประสบการณ์ด้านที่ปรึกษาหรือบริหารงานใด 5.วันที่ 7 สิงหาคม บริษัทดังกล่าวได้ขึ้นทะเบียนเป็นบริษัทที่ปรึกษาสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ กระทรวงการคลัง 6.วันที่ 5 ตุลาคม บมจ.ทศท. ได้ใช้วิธีพิเศษในการจ้างบริษัท เอคสเปิร์ท มาเป็นบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ โดยมีระยะ 4 ปี แยกเป็น 3 ระยะ วงเงินโครงการ 50 ล้านบาท
“จากหลักฐานมีเหตุเป็นพิรุธเชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการดังกล่าว เป็นการกระทำที่ผิดวิธี เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายผิดระเบียบของทางราชการจนวันนี้ยังไม่คำชี้แจงจากรัฐมนตรีกระทรวงไอซีที ว่าเหตุใด ที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีที จึงสามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็นกรรมการ และผู้อำนวยการตลาดกลางพาณิชย์อิเลคทรอนิกส์แห่งชาติ และไปจัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาขึ้นเองมาเซ็นสัญญาว่าจ้างเป็นที่ปรึกษาบริหารโครงการ เรียกว่าเป็นทั้งที่ปรึกษา และผู้บริหารโครงการ และยังเป็นผู้เขียนเสนอโครงการเองและพิจารณาเองด้วย ทั้งบริษัทเอคสเปิร์ทไม่มีประสบการณ์ทำงาน และเป็นบริษัทจัดตั้งใหม่ ซึ่งไม่ตรงกับทีโออาร์ในการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาในโครงการนี้ รวมทั้งยังไม่เปิดให้บริษัทอื่นๆเข้าประมูลแข่งขัน จากหลักฐาน และขั้นตอนทั้งหมดมีเหตุอันควรเชื่อได้ว่ามีการทุจริตในโครงการตลาดกลางพาณิชย์ฯ”นายอลงกรณ์กล่าว และว่า ขอถามกลับไปยังนายกฯว่าแม้แต่โครงการที่เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นของรัฐบาลแต่กลับปรากฎว่าฝ่ายการเมืองในกระทรวงไอซีที ยังส่อพฤติกรรมการทุจริตเสียเอง แล้วประเทศชาติจะหวังอะไรกับรัฐบาลชุดนี้
นายอลงกรณ์ กล่าวต่อว่า โครงการนี้เป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่ามีการทุจริตกันโจ๋งครึ่ม โดยไม่เกรงกลัวการตรวจสอบ นอกจากนี้มีข้อสังเกตว่าโครงการนี้ยังเร่งดำเนินการในช่วง 6 เดือนสุดท้ายก่อนที่รัฐบาลจะพ้นวาระ ซึ่งเป็นช่วงที่เกิดสูญญากาศของการตรวจสอบ เพราะทุกฝ่ายมุ่งเตรียมการเลือกตั้งเป็นหลัก จึงเป็นโอกาสให้คนที่ต้องการฉวยโอกาสดำเนินการทุจริตในช่วงนี้ อย่างไรก็ตามในวันที่ 15 ธันวาคม ตนจะยื่นเรื่องดังกล่าวให้ป.ป.ช.ตรวจสอบในกรณีข้าราชการฝ่ายการเมือง พนักงานของรัฐ และบริษัทเอกชนที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด รวมทั้งจะยื่นสตง.ให้ตรวจสอบการเซ็นสัญญาจัดซื้อจัดจ้างบริษัทที่ปรึกษาโครงการว่าถูกต้องตามระเบียบพัสดุหรือไม่ ทั้งนี้คณะทำงานเห็นว่าที่ปรึกษาเลขานุการรมว.ไอซีทีไม่น่าจะทำคนเดียวได้ เพราะอยู่ๆจะขึ้นเป็นผู้อำนวยการตลาดกลางฯ และยังมาตั้งบริษัทที่ปรึกษาบริหารโครงการต่อได้อีก เชื่อว่าจะต้องมีคนที่ใหญ่กว่าอยู่เบื้องหลัง ตำแหน่งที่ปรึกษาคงไม่มีอิทธิฤทธิ์ อิทธิเดชที่จะทำได้
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 11 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-