นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดตัวนายถนอม อ่อนเกตุพล ผู้สมัครเขต 9 คลองเตย โดยชูนโยบายที่จะปรับปรุงการแก้ปัญหาเรื่องการศึกษาและจะทำให้ภาคธุรกิจรุ่งเรือง พร้อมกับจะสร้างภาพพจน์คนในชุมชนคลองเตยที่เป็นจุดอ่อนให้น่าอยู่และเป็นที่ยอมรับของสังคม
นอกจากนี้ นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีการบริหารงานของรัฐบาลว่า 4 ปี ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ สิ่งหนึ่งที่มีควบคู่กันก็คือ ข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในครอบครัวของผู้นำรัฐบาล ตลอดจนธุรกิจของนักการเมืองและเครือญาติ ซึ่งเป็นคนในรัฐบาลเท่านั้น และหลายครั้งที่มีการลงนามข้อตกลงกับต่างประเทศหรือการเดินทางเยือนต่างประเทศ ผู้นำมักมีข้อกล่าวหาจากทั้งในและต่างประเทศตามมาเสมอว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจส่วนตัว ข้อสังเกตในการเดินทางเยือนต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่มีข้อสงสัยว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายดังนี้
1. กรณีเยือนต่างประเทศมีข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
1.1. เยือนสหรัฐอเมริกา วันที่ 13-19 ธันวาคม 2444 เกิดคำถามว่า เกี่ยวข้องกับการที่บริษัทในเครือชินคอร์ปไปขอเงินกู้จากธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐอเมริกา จำนวน 350 ล้านเหรียญสหรัฐหรือไม่
1.2. เยือนอินเดียถึง 2 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกันคือ การเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26-29 พ.ย. 2544 และการเยือนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2545
เป็นที่น่าสังเกตเช่นเดียวกันว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ กรมกิจการอวกาศแห่งประเทศอินเดีย ได้ตัดสินใจต่อสัญญาการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม-3 ออกไปอีก 6 เดือน หลังจากก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวทำนองว่า หน่วยงานดังกล่าวอาจจะไม่ต่อสัญญากับชินแซทฯ ทำให้ต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 467 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีกรณีการหาตลาดล่วงหน้าให้กับโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์-1 (ไทยคม-4) ที่มีมูลค่าการลงทุนราว 14,000 ล้านบาท และมีกำหนดปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศในต้นปี 2548 ซึ่งถือเป็นโครงการยักษ์และเดิมพันสูงของชินแซทฯ เพราะมีเป้าหมายจะเป็นหนึ่งในย่านเอเซียแปซิฟิคในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็ถูกตั้งคำถามและถูกจับตามองในระหว่างการเดินทางเยือนต่างประเทศหลายครั้ง
1.3. เยือนพม่าวันที่ 3 ก.ย. 2544 มีข้อสังเกตกรณีบริษัท บากัน ไซเบอร์เทค ไอดีวี แอนด์ เทเลพอร์ด ซึ่งเป็นบริษัทกึ่งรัฐบาลของพม่า มีคนในรัฐบาลทหารพม่าถือหุ้นใหญ่ ในจำนวนนี้คือ ลูกชายของพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีของพม่า ในการเยือนครั้งนี้ได้มีการลงนามในสัญญาการให้บริการดาวเทียมไทยคมและสัญญาจัดซื้ออุปกรณ์ภาคพื้นดินต่อมาจากการประชุมความร่วมมือยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ในพม่าเมื่อเดือนพ.ย. 2546 ทำให้รัฐบาลพม่าขอรับการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในลักษณะเงินกู้ผ่อนปรน จากรัฐบาลไทยผ่านธนาคารส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย อีกจำนวน 18.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยต่ำระยะเวลาชำระคืน 20-30 ปี สำหรับจัดอุปกรณ์และสร้างสถานีภาคพื้นดินดาวเทียมบรอดแบนด์ รองรับบริการโทรศัพท์ไร้สายในพม่า นอกจากนี้ยังเสนอเงินกู้และเงินให้เปล่าอีก 222 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในประเทศ
1.4. เยือนประเทศจีน วันที่ 11-12 เม.ย.2545 กลางเดือนเม.ย.245 หลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาจาการเยือนประเทศจีน บริษัทชินวัตร แซทเทิลไลท์ ได้แถลงว่า ทางการจีนยอมย้ายองศาดาวเทียมของจีนจาก 121 องศา เป็น 122 องศา ขณะที่ไอพีสตาร์ อยู่ที่เดิมที่ 120 องศา แลตามมาด้วยข่าวที่ว่าทางการไทยบังคับให้กองทัพเรือสั่งต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV 2 ลำ มูลค่า 3,500 ล้านบาท จากจีน ทั้งๆ ที่กองทัพเรือไม่เต็มใจเพราะมีประสบการณ์อันเจ็บปวดเรือรบจีนมาแล้ว และต้องการต่อเรือรบเองเพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือ
1.5. เยือนบังกลาเทศ 2 ครั้ง วันที่ 8 ก.ค. 2545 และวันที่ 12 ธ.ค. 2545 มีข้อกล่าวหาในเรื่องการใช้การเมืองบีบบริษัทการบินไทยเปิดเที่ยวบินระหว่างเชียงใหม่-จิตตะบอง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในประเทศบังกลาเทศ จนเที่ยวบินดังกล่าวทำให้บริษัทการบินไทยต้องขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากมีผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวบินน้อยมาก
นายองอาจ กล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกรณีการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ มีการเจรจาทำข้อตกลงผูกพันหลายอย่างในช่วง 4 ปี สะท้อนภาพและสามารถชี้ให้สังคมพิจารณาว่าด้วยการดำเนินนโยบายที่มักอ้างว่า เป็นการทูตเชิงรุก หรือมีการเปลี่ยนแปลงมิติใหม่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศนั้นแท้จริงเป็นการเอื้อประโยชน์กับใครกันแน่
ส่วนกรณีที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ นำวีซีดีการสลายม็อบตากใบไปเผยแพร่ในระหว่างการหาเสียงนั้น นายองอาจ กล่าวว่า พรรคฯ ไม่เคยมีมติที่จะตัดต่อวีซีดี และเผยแพร่ เพื่อให้เกิดความแตกแยก ตรงกันข้ามทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้มีส่วนในการคลี่คลายและปรับปรุงแก้ไขให้คืนสู่สภาพปกติ และสร้างสรรค์พัฒนาให้เกิดสันติ และความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น แต่เรื่องราวของวีซีดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่อ.ตากใบ แต่อย่างไรก็ตามถ้านายกรัฐมนตรีเห็นว่า การเผยแพร่ภาพดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อสังคมทางหัวหน้าพรรคฯ ก็ได้สั่งให้ยุติแล้ว
ส่วนที่ทางรัฐบาลบอกว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีที่คลุมเครือต่อเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ตนคิดว่า เรามีท่าทีที่ชัดเจนมาตลอด แต่ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับในความจริง เพราะสิ่งที่พรรคประชาปัตย์พูดและแสดงนั้นอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจนายกรัฐมนตรี เพราะเราพูดเสมอว่า นายกฯ คือผู้ที่ก่อให้เกิดปัญหาด้วยการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาขยายตัวและรุนแรง
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากจะบอกถึงรัฐบาล คือ รัฐบาลไม่ควรใช้เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดทางการเมือง ต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ รัฐบาลไม่ควรสร้างความเคลือบแคลงกับพี่น้องคนไทย รัฐบาลควรทำให้ปัญหายุติโดยเร็ว และตนคิดว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะทำให้ปัญหานั้นเบี่ยงเบนไปด้วยการนำปัญหาซึ่งเปรียบเหมือนขยะนั้นไปซุกใต้พรหม ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะทำให้ปัญหาหมักหมมและรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องทำความจริงให้ปรากฏเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นอกจากนี้ นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีการบริหารงานของรัฐบาลว่า 4 ปี ภายใต้การบริหารงานของรัฐบาลชุดนี้ สิ่งหนึ่งที่มีควบคู่กันก็คือ ข้อกล่าวหาหรือข้อสงสัยในเรื่องของผลประโยชน์ทับซ้อน การทุจริตเชิงนโยบาย โดยเฉพาะจากการดำเนินนโยบายต่างประเทศที่เอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจในครอบครัวของผู้นำรัฐบาล ตลอดจนธุรกิจของนักการเมืองและเครือญาติ ซึ่งเป็นคนในรัฐบาลเท่านั้น และหลายครั้งที่มีการลงนามข้อตกลงกับต่างประเทศหรือการเดินทางเยือนต่างประเทศ ผู้นำมักมีข้อกล่าวหาจากทั้งในและต่างประเทศตามมาเสมอว่ามีการเอื้อประโยชน์ให้กับธุรกิจส่วนตัว ข้อสังเกตในการเดินทางเยือนต่างประเทศของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่มีข้อสงสัยว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนมากมายดังนี้
1. กรณีเยือนต่างประเทศมีข้อครหาผลประโยชน์ทับซ้อน
1.1. เยือนสหรัฐอเมริกา วันที่ 13-19 ธันวาคม 2444 เกิดคำถามว่า เกี่ยวข้องกับการที่บริษัทในเครือชินคอร์ปไปขอเงินกู้จากธนาคาร เพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งสหรัฐอเมริกา จำนวน 350 ล้านเหรียญสหรัฐหรือไม่
1.2. เยือนอินเดียถึง 2 ครั้ง ในเวลาไล่เลี่ยกันคือ การเยือนอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 26-29 พ.ย. 2544 และการเยือนอย่างไม่เป็นทางการเมื่อวันที่ 1 ก.พ.2545
เป็นที่น่าสังเกตเช่นเดียวกันว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีเดินทางกลับ กรมกิจการอวกาศแห่งประเทศอินเดีย ได้ตัดสินใจต่อสัญญาการใช้ช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม-3 ออกไปอีก 6 เดือน หลังจากก่อนหน้านั้นมีกระแสข่าวทำนองว่า หน่วยงานดังกล่าวอาจจะไม่ต่อสัญญากับชินแซทฯ ทำให้ต้องสูญเสียรายได้ไปถึง 467 ล้านบาท นอกจากนั้นยังมีกรณีการหาตลาดล่วงหน้าให้กับโครงการดาวเทียมไอพีสตาร์-1 (ไทยคม-4) ที่มีมูลค่าการลงทุนราว 14,000 ล้านบาท และมีกำหนดปล่อยขึ้นสู่วงโคจรในอวกาศในต้นปี 2548 ซึ่งถือเป็นโครงการยักษ์และเดิมพันสูงของชินแซทฯ เพราะมีเป้าหมายจะเป็นหนึ่งในย่านเอเซียแปซิฟิคในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ก็ถูกตั้งคำถามและถูกจับตามองในระหว่างการเดินทางเยือนต่างประเทศหลายครั้ง
1.3. เยือนพม่าวันที่ 3 ก.ย. 2544 มีข้อสังเกตกรณีบริษัท บากัน ไซเบอร์เทค ไอดีวี แอนด์ เทเลพอร์ด ซึ่งเป็นบริษัทกึ่งรัฐบาลของพม่า มีคนในรัฐบาลทหารพม่าถือหุ้นใหญ่ ในจำนวนนี้คือ ลูกชายของพล.อ.ขิ่น ยุ้นต์ นายกรัฐมนตรีของพม่า ในการเยือนครั้งนี้ได้มีการลงนามในสัญญาการให้บริการดาวเทียมไทยคมและสัญญาจัดซื้ออุปกรณ์ภาคพื้นดินต่อมาจากการประชุมความร่วมมือยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ ในพม่าเมื่อเดือนพ.ย. 2546 ทำให้รัฐบาลพม่าขอรับการสนับสนุนเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำในลักษณะเงินกู้ผ่อนปรน จากรัฐบาลไทยผ่านธนาคารส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย อีกจำนวน 18.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อัตราดอกเบี้ยต่ำระยะเวลาชำระคืน 20-30 ปี สำหรับจัดอุปกรณ์และสร้างสถานีภาคพื้นดินดาวเทียมบรอดแบนด์ รองรับบริการโทรศัพท์ไร้สายในพม่า นอกจากนี้ยังเสนอเงินกู้และเงินให้เปล่าอีก 222 ล้านบาท เพื่อใช้ในการพัฒนาระบบสื่อสารโทรคมนาคมภายในประเทศ
1.4. เยือนประเทศจีน วันที่ 11-12 เม.ย.2545 กลางเดือนเม.ย.245 หลังจากที่พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาจาการเยือนประเทศจีน บริษัทชินวัตร แซทเทิลไลท์ ได้แถลงว่า ทางการจีนยอมย้ายองศาดาวเทียมของจีนจาก 121 องศา เป็น 122 องศา ขณะที่ไอพีสตาร์ อยู่ที่เดิมที่ 120 องศา แลตามมาด้วยข่าวที่ว่าทางการไทยบังคับให้กองทัพเรือสั่งต่อเรือตรวจการณ์ไกลฝั่ง OPV 2 ลำ มูลค่า 3,500 ล้านบาท จากจีน ทั้งๆ ที่กองทัพเรือไม่เต็มใจเพราะมีประสบการณ์อันเจ็บปวดเรือรบจีนมาแล้ว และต้องการต่อเรือรบเองเพื่อพัฒนาศักยภาพของกองทัพเรือ
1.5. เยือนบังกลาเทศ 2 ครั้ง วันที่ 8 ก.ค. 2545 และวันที่ 12 ธ.ค. 2545 มีข้อกล่าวหาในเรื่องการใช้การเมืองบีบบริษัทการบินไทยเปิดเที่ยวบินระหว่างเชียงใหม่-จิตตะบอง เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในประเทศบังกลาเทศ จนเที่ยวบินดังกล่าวทำให้บริษัทการบินไทยต้องขาดทุนอย่างหนัก เนื่องจากมีผู้โดยสารในแต่ละเที่ยวบินน้อยมาก
นายองอาจ กล่าวต่อว่า กรณีที่เกิดขึ้นดังกล่าวไม่ว่าจะเป็นกรณีการเดินทางไปเยือนต่างประเทศ มีการเจรจาทำข้อตกลงผูกพันหลายอย่างในช่วง 4 ปี สะท้อนภาพและสามารถชี้ให้สังคมพิจารณาว่าด้วยการดำเนินนโยบายที่มักอ้างว่า เป็นการทูตเชิงรุก หรือมีการเปลี่ยนแปลงมิติใหม่เพื่อผลประโยชน์ของประเทศนั้นแท้จริงเป็นการเอื้อประโยชน์กับใครกันแน่
ส่วนกรณีที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูล พรรคประชาธิปัตย์ นำวีซีดีการสลายม็อบตากใบไปเผยแพร่ในระหว่างการหาเสียงนั้น นายองอาจ กล่าวว่า พรรคฯ ไม่เคยมีมติที่จะตัดต่อวีซีดี และเผยแพร่ เพื่อให้เกิดความแตกแยก ตรงกันข้ามทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ พรรคประชาธิปัตย์เป็นผู้มีส่วนในการคลี่คลายและปรับปรุงแก้ไขให้คืนสู่สภาพปกติ และสร้างสรรค์พัฒนาให้เกิดสันติ และความสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น แต่เรื่องราวของวีซีดีเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริงที่อ.ตากใบ แต่อย่างไรก็ตามถ้านายกรัฐมนตรีเห็นว่า การเผยแพร่ภาพดังกล่าวจะส่งผลเสียต่อสังคมทางหัวหน้าพรรคฯ ก็ได้สั่งให้ยุติแล้ว
ส่วนที่ทางรัฐบาลบอกว่าทางพรรคประชาธิปัตย์ มีท่าทีที่คลุมเครือต่อเหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ตนคิดว่า เรามีท่าทีที่ชัดเจนมาตลอด แต่ท่านนายกรัฐมนตรีไม่ยอมรับในความจริง เพราะสิ่งที่พรรคประชาปัตย์พูดและแสดงนั้นอาจจะไม่เป็นที่ถูกใจนายกรัฐมนตรี เพราะเราพูดเสมอว่า นายกฯ คือผู้ที่ก่อให้เกิดปัญหาด้วยการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดมาตั้งแต่ต้น ซึ่งจะเห็นว่า 4 ปีที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาขยายตัวและรุนแรง
สิ่งที่พรรคประชาธิปัตย์อยากจะบอกถึงรัฐบาล คือ รัฐบาลไม่ควรใช้เหตุการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดทางการเมือง ต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ รัฐบาลไม่ควรสร้างความเคลือบแคลงกับพี่น้องคนไทย รัฐบาลควรทำให้ปัญหายุติโดยเร็ว และตนคิดว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลพยายามที่จะทำให้ปัญหานั้นเบี่ยงเบนไปด้วยการนำปัญหาซึ่งเปรียบเหมือนขยะนั้นไปซุกใต้พรหม ซึ่งวิธีการเช่นนี้จะทำให้ปัญหาหมักหมมและรุนแรงมากขึ้น รัฐบาลจึงต้องทำความจริงให้ปรากฏเพื่อนำไปแก้ไขปัญหาให้ตรงจุด
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-