นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ ส.ส.สตูลของพรรคฯ เผยแพร่ภาพวีซีดีเหตุการณ์ที่ตากใบ ว่า ยังไม่มีโอกาสได้ดูจึงยังวิจารณ์ไม่ได้ว่าเสียหายหรือไม่ แต่ตนได้คุยกับนายธานินทร์แล้ว นายธานินทร์ก็บอกว่าเป็นข้อเท็จจริงทั้งหมดที่โทรทัศน์ของไทยถ่ายไว้ ไม่ใช่ของมาเลเซียอย่างที่เข้าใจ เพียงแต่ว่าบางตอนโทรทัศน์ก็ไม่กล้าออกเพราะกลัวรัฐบาลจะเสียหาย ซึ่งตนยังไม่กล้าวิจารณ์ว่าเป็นเรื่องตัดต่อหรือเป็นเรื่องเสียหายหรือไม่ แต่เรื่องนี้ก็แน่นอนว่าไม่ใช่เป็นการสร้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าวันหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริงกัน วันนี้บางเรื่องสื่อมวลชนอาจจะไม่กล้าพูดเพราะรัฐบาลคงไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่อยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังก็คือความมั่นคงของชาติ และต้องแยกให้ออกระหว่างความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของรัฐบาล ความมั่นคงของประเทศถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และการที่จะรักษาไว้ได้ก็คือการที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความจริงกับประชาชน แต่ถ้ารักษาความมั่นคงของรัฐบาลโดยการปกปิดข้อเท็จจริงอย่างนี้ความมั่นคงของชาติก็จะมีผลกระทบในระยะยาว
ตนจึงเรียนว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนที่ดีที่สุดในการเรียกร้องความสามัคคีโดยเฉพาะระหว่างพี่น้องต่างศาสนาในพื้นที่นี่คือการที่จะให้ทุกฝ่ายได้รู้ความจริงว่าอะไรเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญหาที่รัฐบาลควรจะตระหนักก็คือ ที่มาของเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงระยะ 3 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดจากอะไร ถึงแม้ว่าการยอมรับจะเกิดผลกระทบต่อรัฐบาลเพราะว่ามันเกิดจากความผิดพลาดของนโยบายรัฐบาล แต่ก็ต้องยอมรับ เพื่อว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในอนาคต แต่ถ้าเราหลีกเลี่ยงความผิดพลาดก็หลีกเลี่ยงได้ระยะหนึ่ง
ส่วนกรณีที่นายกฯระบุว่าคนเหล่านี้ทำเพราะเป็นอาชีพ หรือ เป็นการเมืองอาชีพนั้น นายชวน กล่าวว่า นายกฯเข้าใจเรื่องการเมืองอาชีพผิด การที่ท่านบอกว่าท่านไม่เดือดร้อนอะไรถ้าท่านไม่ได้มาทำงานตรงนี้ แต่พวกที่ทำเป็นพวกที่เดือดร้อนเพราะเป็นอาชีพถ้าไม่ได้เป็นก็ว่างงาน ตนอยากจะเรียนว่าที่จริงแล้วคำว่าอาชีพหมายถึงนักการเมืองอาชีพที่เขาสละธุรกิจหรือประโยชน์อื่นมาทำงานด้านการเมือง โดยไม่เอาธุรกิจ ไม่เอาผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กลุ่มนี้ถือว่าเป็นนักการเมืองอาชีพ แต่กลุ่มของท่านนายกฯถือว่า เป็นนักธุรกิจการเมือง คือนำธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับตำแหน่งการเมือง กลุ่มนี้จะเข้ามาทำงานเพื่อส่วนร่วมส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวก็จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนของตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนร่วมด้วย ดังนั้นประชาชนจะต้องตระหนักว่าทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกัน
สำหรับกรณีที่นายกฯกล่าวในระหว่างปราศรัยหาเสียงในจังหวัดกรุงเทพฯว่า 4 ปีท่านได้ทำงานหนัก แต่ฝ่ายค้านไม่ได้ทำอะไรค้านอย่างเดียว ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรคปชป. กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือ ต้องตระหนักถึงภารกิจของแต่ละฝ่าย ฝ่ายใดที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และการทำงานก็ไม่ได้เบาไปกว่าฝ่ายรัฐบาล ซึ่งตนต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะมีแต่คนดิ้นรนทำทุกอย่างขอเพียงแต่ได้เป็นรัฐบาล เพราะมองว่าการทำงานจะต้องเป็นรัฐบาลอย่างเดียว เป็นการทำให้เกิดค่านิยมที่ผิด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นท้ายสุดก็จะไม่มีตัวแทนที่คอยดูแลผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่ท่านนายกฯพูดแต่ละครั้งมักจะทำให้เกิดความสับสน และสร้างค่านิยมใหม่ในสังคมการเมืองว่า การเป็นนักการเมืองนั้นต้องดิ้นรนเป็นรัฐบาล ‘การเป็นรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดีทุกพรรคต้องการ แต่สมมุติว่าเสียงไม่พอพรรคการเมืองที่แท้จริงก็ต่องพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน และต้องไม่ดิ้นรนทำในสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเสียง หรือ ซื้อ ส.ส. เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล อย่างนี้ไม่ใช่ค่านิยมที่ถูกต้องในระบอบประชาธิปไตย ’ นายชวน กล่าว
สำหรับเรื่องของนโยบายพรรคที่นายกฯปราศรัยว่า พรรคประชาธิปัตย์ลอกนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายรักษาฟรีนั้น นายชวน กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวไม่ใช่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แต่เป็นนโยบายหลักประกันสุขภาพของประชาชนเบื้องต้นที่พรรคเริ่มโครงการมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยยังไม่ก่อตั้ง การรักษาฟรีไม่ได้หมายถึงฟรีทุกคน แต่จะเริ่มตั้งเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ14 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุนอกจากนั้นจะมีบัตรสำหรับผู้มีรายได้น้อยซึ่งก็รักษาฟรี แต่ไม่ได้ให้กับทุกคนให้เฉพาะผู้ที่ถือบัตร นโยบายดังกล่าวเป็นการทำหลักประกันเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อยให้มีหลักประกันเรื่องสุขภาพชัดเจน และในส่วนของผู้มีรายได้พรรคก็ได้จัดให้มีการซื้อบัตร 500 บาท สำหรับรักษาทั้งครอบครัวตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับประชาชน นโยบายนี้ประชาชนอาจจะไม่ค่อยรู้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้โฆษณาหนักเหมือนกับรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของรัฐบาลเขาให้ 30 บาทในการรักษา เศรษฐีก็มีสิทธิ์ คนจนก็มีสิทธิ์ อันนี้เป็นข้อคิด และเป็นแนวทางปรัชญาความคิดในเรื่องนโยบายที่ต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย ‘ กองทุนหมู่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำมาก่อน โดยเรียกว่าโครงการ คขคจ. คือ โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ทุกหมู่บ้าน แต่ให้เฉพาะหมู่บ้านที่ประชาชนมีรายได้น้อย โดยการตั้งงบประมาณให้โดยเฉพาะ เพราะถือว่ารัฐบาลไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดที่จะให้เศรษฐีกับคนจนเท่าเทียมกัน ดังนั้นนโยบายเหล่านี้ก็มีการทำมาก่อนทั้งสิ้น ‘ นายชวนกล่าว
นายชวน กล่าวต่อว่า ตรงนี้ตนตอบแทนพรรคประชาธิปัตย์ได้ว่านโยบายเหล่านี้พรรคไม่ได้ไปหลอกพรรคไทยรักไทย และนโยบายในหลายเรื่องก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ถือว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง พรรคประชาธิปัตย์ยึดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้ปรับปรุงทุก 5 ปี และฉบับสุดท้ายที่ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชุดนี้ แต่รัฐบาลนี้ไม่ยึดแนวนโยบายดังกล่าว ตรงนี้ถือว่านโยบายของพรรคไทยรักไทยต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผลของนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลก็ปรากฏได้ชัดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เตรียมรับมือกับครม.สัญจรที่จะเดินทางไปจังหวัดตรังอย่างไร นายชวน กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมอะไร จังหวัดตรังเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่ต้องเข้าไปพัฒนาดูแลเหมือนกัน และคิดว่าชาวตรังก็ยินดีต้อนรับ เพราะคนตรังเป็นคนใจกว้าง อีกทั้งที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้มีเฉพาะจังหวัดตรังเพียงแต่เป็นบ้านเกิดของตนเท่านั้น
ต่อข้อถามว่า นายกฯได้พูดในทำนองว่าไปตรังเที่ยวนี้หวังว่าจะไม่มีการตัดน้ำตัดไฟ นายชวนกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น เป็นการพูดเพียงข้างเดียว เป็นการพูดกล่าวหาทางจังหวัด การเดินทางของท่านในครั้งนั้นเป็นการไปในนามพรรคการเมือง และทางจังหวัดก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
อย่างไรก็ตาม ตนคิดว่าวันหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริงกัน วันนี้บางเรื่องสื่อมวลชนอาจจะไม่กล้าพูดเพราะรัฐบาลคงไม่พอใจ หรือไม่เห็นด้วย แต่สิ่งที่อยากให้ทุกฝ่ายระมัดระวังก็คือความมั่นคงของชาติ และต้องแยกให้ออกระหว่างความมั่นคงของชาติและความมั่นคงของรัฐบาล ความมั่นคงของประเทศถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด และการที่จะรักษาไว้ได้ก็คือการที่ทุกฝ่ายจะต้องให้ความจริงกับประชาชน แต่ถ้ารักษาความมั่นคงของรัฐบาลโดยการปกปิดข้อเท็จจริงอย่างนี้ความมั่นคงของชาติก็จะมีผลกระทบในระยะยาว
ตนจึงเรียนว่าการแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืนที่ดีที่สุดในการเรียกร้องความสามัคคีโดยเฉพาะระหว่างพี่น้องต่างศาสนาในพื้นที่นี่คือการที่จะให้ทุกฝ่ายได้รู้ความจริงว่าอะไรเกิดขึ้นและเกิดขึ้นได้อย่างไร ปัญหาที่รัฐบาลควรจะตระหนักก็คือ ที่มาของเหตุร้ายใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในช่วงระยะ 3 ปีที่ผ่านมาว่าเกิดจากอะไร ถึงแม้ว่าการยอมรับจะเกิดผลกระทบต่อรัฐบาลเพราะว่ามันเกิดจากความผิดพลาดของนโยบายรัฐบาล แต่ก็ต้องยอมรับ เพื่อว่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ยั่งยืนในอนาคต แต่ถ้าเราหลีกเลี่ยงความผิดพลาดก็หลีกเลี่ยงได้ระยะหนึ่ง
ส่วนกรณีที่นายกฯระบุว่าคนเหล่านี้ทำเพราะเป็นอาชีพ หรือ เป็นการเมืองอาชีพนั้น นายชวน กล่าวว่า นายกฯเข้าใจเรื่องการเมืองอาชีพผิด การที่ท่านบอกว่าท่านไม่เดือดร้อนอะไรถ้าท่านไม่ได้มาทำงานตรงนี้ แต่พวกที่ทำเป็นพวกที่เดือดร้อนเพราะเป็นอาชีพถ้าไม่ได้เป็นก็ว่างงาน ตนอยากจะเรียนว่าที่จริงแล้วคำว่าอาชีพหมายถึงนักการเมืองอาชีพที่เขาสละธุรกิจหรือประโยชน์อื่นมาทำงานด้านการเมือง โดยไม่เอาธุรกิจ ไม่เอาผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้องด้วย กลุ่มนี้ถือว่าเป็นนักการเมืองอาชีพ แต่กลุ่มของท่านนายกฯถือว่า เป็นนักธุรกิจการเมือง คือนำธุรกิจเข้ามาเกี่ยวข้องกับตำแหน่งการเมือง กลุ่มนี้จะเข้ามาทำงานเพื่อส่วนร่วมส่วนหนึ่ง และในขณะเดียวก็จะมีผลประโยชน์ทับซ้อนของตนเข้ามาเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนร่วมด้วย ดังนั้นประชาชนจะต้องตระหนักว่าทั้ง 2 กลุ่มมีความแตกต่างกัน
สำหรับกรณีที่นายกฯกล่าวในระหว่างปราศรัยหาเสียงในจังหวัดกรุงเทพฯว่า 4 ปีท่านได้ทำงานหนัก แต่ฝ่ายค้านไม่ได้ทำอะไรค้านอย่างเดียว ปธ.สภาที่ปรึกษาพรรคปชป. กล่าวว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดของนักการเมืองในระบอบประชาธิปไตยคือ ต้องตระหนักถึงภารกิจของแต่ละฝ่าย ฝ่ายใดที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลก็ต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน และการทำงานก็ไม่ได้เบาไปกว่าฝ่ายรัฐบาล ซึ่งตนต้องทำความเข้าใจในเรื่องนี้ ไม่เช่นนั้นจะมีแต่คนดิ้นรนทำทุกอย่างขอเพียงแต่ได้เป็นรัฐบาล เพราะมองว่าการทำงานจะต้องเป็นรัฐบาลอย่างเดียว เป็นการทำให้เกิดค่านิยมที่ผิด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นท้ายสุดก็จะไม่มีตัวแทนที่คอยดูแลผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง ตรงนี้เป็นเรื่องที่เข้าใจง่าย แต่ท่านนายกฯพูดแต่ละครั้งมักจะทำให้เกิดความสับสน และสร้างค่านิยมใหม่ในสังคมการเมืองว่า การเป็นนักการเมืองนั้นต้องดิ้นรนเป็นรัฐบาล ‘การเป็นรัฐบาลเป็นสิ่งที่ดีทุกพรรคต้องการ แต่สมมุติว่าเสียงไม่พอพรรคการเมืองที่แท้จริงก็ต่องพร้อมที่จะเป็นฝ่ายค้าน และต้องไม่ดิ้นรนทำในสิ่งที่ผิด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเสียง หรือ ซื้อ ส.ส. เพื่อให้ได้เป็นรัฐบาล อย่างนี้ไม่ใช่ค่านิยมที่ถูกต้องในระบอบประชาธิปไตย ’ นายชวน กล่าว
สำหรับเรื่องของนโยบายพรรคที่นายกฯปราศรัยว่า พรรคประชาธิปัตย์ลอกนโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนโยบายรักษาฟรีนั้น นายชวน กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวไม่ใช่นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค แต่เป็นนโยบายหลักประกันสุขภาพของประชาชนเบื้องต้นที่พรรคเริ่มโครงการมาตั้งแต่พรรคไทยรักไทยยังไม่ก่อตั้ง การรักษาฟรีไม่ได้หมายถึงฟรีทุกคน แต่จะเริ่มตั้งเด็กแรกเกิดจนถึงอายุ14 ปี และผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป สำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงอายุนอกจากนั้นจะมีบัตรสำหรับผู้มีรายได้น้อยซึ่งก็รักษาฟรี แต่ไม่ได้ให้กับทุกคนให้เฉพาะผู้ที่ถือบัตร นโยบายดังกล่าวเป็นการทำหลักประกันเบื้องต้นสำหรับผู้ที่ไม่มีรายได้ หรือมีรายได้น้อยให้มีหลักประกันเรื่องสุขภาพชัดเจน และในส่วนของผู้มีรายได้พรรคก็ได้จัดให้มีการซื้อบัตร 500 บาท สำหรับรักษาทั้งครอบครัวตลอดทั้งปี ซึ่งเป็นทางเลือกให้กับประชาชน นโยบายนี้ประชาชนอาจจะไม่ค่อยรู้ เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้โฆษณาหนักเหมือนกับรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของรัฐบาลเขาให้ 30 บาทในการรักษา เศรษฐีก็มีสิทธิ์ คนจนก็มีสิทธิ์ อันนี้เป็นข้อคิด และเป็นแนวทางปรัชญาความคิดในเรื่องนโยบายที่ต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคไทยรักไทย ‘ กองทุนหมู่บ้านพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ทำมาก่อน โดยเรียกว่าโครงการ คขคจ. คือ โครงการแก้ไขปัญหาความยากจน เพียงแต่ว่าไม่ได้ให้ทุกหมู่บ้าน แต่ให้เฉพาะหมู่บ้านที่ประชาชนมีรายได้น้อย โดยการตั้งงบประมาณให้โดยเฉพาะ เพราะถือว่ารัฐบาลไม่ได้ร่ำรวยถึงขนาดที่จะให้เศรษฐีกับคนจนเท่าเทียมกัน ดังนั้นนโยบายเหล่านี้ก็มีการทำมาก่อนทั้งสิ้น ‘ นายชวนกล่าว
นายชวน กล่าวต่อว่า ตรงนี้ตนตอบแทนพรรคประชาธิปัตย์ได้ว่านโยบายเหล่านี้พรรคไม่ได้ไปหลอกพรรคไทยรักไทย และนโยบายในหลายเรื่องก็ต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้กระทั่งนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็ถือว่าต่างกันโดยสิ้นเชิง พรรคประชาธิปัตย์ยึดนโยบายความมั่นคงแห่งชาติเกี่ยวกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่สภาความมั่นคงแห่งชาติได้ปรับปรุงทุก 5 ปี และฉบับสุดท้ายที่ต่อเนื่องมาถึงรัฐบาลชุดนี้ แต่รัฐบาลนี้ไม่ยึดแนวนโยบายดังกล่าว ตรงนี้ถือว่านโยบายของพรรคไทยรักไทยต่างจากพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งผลของนโยบายดังกล่าวของรัฐบาลก็ปรากฏได้ชัดจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นปัจจุบัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า เตรียมรับมือกับครม.สัญจรที่จะเดินทางไปจังหวัดตรังอย่างไร นายชวน กล่าวว่า ไม่ได้เตรียมอะไร จังหวัดตรังเป็นจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งเป็นหน้าที่ของทุกรัฐบาลที่ต้องเข้าไปพัฒนาดูแลเหมือนกัน และคิดว่าชาวตรังก็ยินดีต้อนรับ เพราะคนตรังเป็นคนใจกว้าง อีกทั้งที่มั่นของพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้มีเฉพาะจังหวัดตรังเพียงแต่เป็นบ้านเกิดของตนเท่านั้น
ต่อข้อถามว่า นายกฯได้พูดในทำนองว่าไปตรังเที่ยวนี้หวังว่าจะไม่มีการตัดน้ำตัดไฟ นายชวนกล่าวว่า เรื่องดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้น เป็นการพูดเพียงข้างเดียว เป็นการพูดกล่าวหาทางจังหวัด การเดินทางของท่านในครั้งนั้นเป็นการไปในนามพรรคการเมือง และทางจังหวัดก็ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 12 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-