นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ แถลงเปิดตัว พันเอก เฟื่องวิชชุ์ อนิรุทธเทวา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. เขต กรุงเทพฯ อย่างเป็นทางการ ณ ที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ โดย แสดงความมั่นใจ ว่าจากประวัติ และผลงานการกระทำที่ผ่านมา ของ พันเอกเฟื่องวิชชุ์ ผู้สมัครส.ส.เขตดินแดง จะสามารถชนะ คู่แข่งได้
นอกจากนี้ โฆษก พรรค ปชป.ยัง เผย ถึงกรณีที่มีการจัดอันดับ ผู้ครอบครองหุ้น หรือ หวยหุ้น มากที่สุดในดันดับต้นๆ ที่ล้วนเป็นผู้ เกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน และเป็นแกนนำสำคัญ ในรัฐบาลของ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าในระยะเวลา 4 ปี ว่าอาณาจักร ชินวัตร นั้นร่ำรวยมหาศาล ในอัตราเร่งแบบไม่ปกติ
“ส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นชัดเจน มาตลอด เวลา 4 ปี คือ นายกฯ พยายามทำตัวเหนือตลาดหลักทรัพย์อยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งหลายหนที่ นายกฯ ใช้รายการวิทยุ ของราชการ จัดรายการ นายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน พร้อมกับกล่าวชี้นำในเรื่องของหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ อยู่บ่อย ครั้ง รวมทั้งพูดถึง ควรซื้อหุ้นในระยะเวลานั้น ระยะเวลานี้ ตัวนั้น ตัวนี้ ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่มีใคร เตือน ท่านนายกฯไม่ให้กระทำเช่นนั้น จึงเป็นที่น่าสังเกต ว่ามีครอบครัวของตนในรัฐบาลชุดนี้ เข้าไปเป็นผู้รอบครองถือหุ้นในอันดับ ต้นๆของประเทศไทย” นายองอาจ กล่าว
นอกจากนี้นายองอาจ ยังกล่าวว่ามีการกล่าวถึง ว่า ในช่วง 4 ปี มีการเข้าไปจัดการ ขบวนการปั่นหุ้นในรูปแบบใหม่ๆ ที่ต่างจากในอดีต ที่ผ่านมานั้น ไม่มีการแก้ไข อย่างจริงจัง ยังมีความพยายาม ที่จะสร้างตัวแทนของกลุ่มบุคคลในรัฐบาลนี้ เข้าไปมีผลประโยชน์ ในบริษัทตลาดหลักทรัพย์ หลายบริษัท จึงเป็นผลให้การจัดอันดับหุ้นเป็นไปอย่างที่ปรากฎ พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า การทำให้ผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ของบริษัทที่ใกล้ชิด กับรัฐบาลนั้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการอาศัยกลไกอำนาจรัฐผูกขาดเอารัดเอาเปรียบประชาชนมาโดยตลอด
และเห็นว่ากลไก ของรัฐควรทำหน้าที่อิสระ ไม่ถูกแทรกแซง เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ เป็นตลาดที่มีความโปร่งใสเป็นตลาดที่สามารถลงทุนได้อย่างเชื่อมั่น แต่ ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทย สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในการดำเนินการมาโดยตลอด
สำหรับกรณีที่นายกฯทักษิณ ไปปราศรัยโจมตี พรรคประชาธิปัตย์ ทางภาคเหนือว่า พรรคประชาธิปัตย์เอาแต่ ด่า อย่างเดียวนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “กล้ายืนยันได้ว่า ตลอดเวลา 4 ปี นั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ในสภาอย่างตรงไปตรงมา และทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน กล้าที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่เกรงกลัวรัฐบาล และแต่ละครั้งหากนายกฯ ได้มีโอกาส เข้าไปฟังในสภา จะพบว่า เราอภิปรายในเหตุในผล แต่นายกฯไม่ยอมเข้ารับฟังความเป็นจริงในนั้น ท่านก็เลยไม่รู้ นึกว่าเขา ไปด่ากันในสภาฯ ไม่ว่าเราจะเป็นการพูดเบา หรือพูดแรง ก็อยู่ในประเด็น ไม่ใช่การด่า อย่างที่ท่านนายกฯทักษิณ เข้าใจ”
นอกจากนี้ นายองอาจ กล่าวว่า ตรงกันข้ามนายกฯ ทักษิณ จะเป็นบุคคลที่ด่าผู้อื่นมากกว่า ฝ่ายค้านเสียอีก ท่านนายกฯ ไม่เคยใช้อภิปรายในสภา แต่กลับใช้เวทีนอกสภา ด่าทั้งฝ่ายค้าน และนักวิชาการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อมวลชน ที่ไม่ใช่พวกของตน ที่ท่านไม่สามารถครอบงำ ได้ ท่านนายกฯ เป็นนักด่าตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา
สำหรับกรณีที่นายกฯ ออกมาพูดถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ว่าใช้จิตนาการ ในหารซื้อตัวส.ส.นั้น นายองอาจกล่าวว่า ก็เป็นที่ทราบแล้วว่า นายชวน หลีกภัย ไม่ได้ใช้จินตนาการพูด อย่างที่ท่านกล่าวหา แต่ท่านพูดด้วยการปฏิบัติการจริงที่เกิดจากการกระทำของพรรคไทยรักไทยเอง
นอกจากนี้นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเร่งหาเสียงกับข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ว่าจะเร่งขึ้นทะเบียน ข้าราชการจน ทั่วประเทศ นั้น อยากจะฝากถามไปยัง ท่านายกฯว่าตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น ท่านไม่เคย เห็นปัญหานี้หรืออย่างไร และกลับมาเห็น แค่ ระยะ 2 เดือนสุดท้ายที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ เท่านั้นเองหรือ จึงอยากฝากอีกด้วยว่า หากรัฐบาลจะหาเสียงเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอีกนั้นก็ไม่ควรจะหาเสียงบนความยากจนของข้าราชการ และไม่ควรสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในข้าราชการโดยไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้หรือไม่
กรณีตำรวจบุกค้นบ้านส.ส.ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู จังหวัดแพร่ นั้น นายองอาจ กล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง แม้รัฐบาลจะปฏิเสธอย่างไร ว่าการบุกค้น ส.สงพรรคประชาธิปัตย์ จ.แพร่ นั้น ไม่เกี่ยวกับการเมือง คงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่แน่นอน เพราะหลังจากที่นายกฯ ไปปราศรัย ที่จ.แพร่ เหตุการณ์ นี้ก็เกิดขึ้น
'คำพูดปราศรัย หลายคำของนายกฯ ก็คือการส่งสัญญาณให้มีการใช้อำนาจรัฐเข้าไปคุกคาม ผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่านี้คือพฤติกรรมที่เลวร้ายทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย หากนายกฯ เห็นว่าแม่เลี้ยงติ๊ก หรือญาติ มีความผิด ก็ควรจะใช้กฎหมาย ไปจัดการมากว่าการใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าไปกระทำเสมือนหนึ่งเป็นการข่มขู่คุกคาม'นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นอกจากนี้ โฆษก พรรค ปชป.ยัง เผย ถึงกรณีที่มีการจัดอันดับ ผู้ครอบครองหุ้น หรือ หวยหุ้น มากที่สุดในดันดับต้นๆ ที่ล้วนเป็นผู้ เกี่ยวข้อง เกี่ยวพัน และเป็นแกนนำสำคัญ ในรัฐบาลของ นายกฯทักษิณ ชินวัตร ทั้งสิ้น เป็นการแสดงให้เห็นว่าในระยะเวลา 4 ปี ว่าอาณาจักร ชินวัตร นั้นร่ำรวยมหาศาล ในอัตราเร่งแบบไม่ปกติ
“ส่วนหนึ่งที่ชี้ให้เห็นชัดเจน มาตลอด เวลา 4 ปี คือ นายกฯ พยายามทำตัวเหนือตลาดหลักทรัพย์อยู่บ่อยครั้ง หลายครั้งหลายหนที่ นายกฯ ใช้รายการวิทยุ ของราชการ จัดรายการ นายกฯทักษิณ คุยกับประชาชน พร้อมกับกล่าวชี้นำในเรื่องของหุ้น หรือตลาดหลักทรัพย์ อยู่บ่อย ครั้ง รวมทั้งพูดถึง ควรซื้อหุ้นในระยะเวลานั้น ระยะเวลานี้ ตัวนั้น ตัวนี้ ในสถานที่ต่างๆ ซึ่งการกระทำในลักษณะดังกล่าวไม่มีใคร เตือน ท่านนายกฯไม่ให้กระทำเช่นนั้น จึงเป็นที่น่าสังเกต ว่ามีครอบครัวของตนในรัฐบาลชุดนี้ เข้าไปเป็นผู้รอบครองถือหุ้นในอันดับ ต้นๆของประเทศไทย” นายองอาจ กล่าว
นอกจากนี้นายองอาจ ยังกล่าวว่ามีการกล่าวถึง ว่า ในช่วง 4 ปี มีการเข้าไปจัดการ ขบวนการปั่นหุ้นในรูปแบบใหม่ๆ ที่ต่างจากในอดีต ที่ผ่านมานั้น ไม่มีการแก้ไข อย่างจริงจัง ยังมีความพยายาม ที่จะสร้างตัวแทนของกลุ่มบุคคลในรัฐบาลนี้ เข้าไปมีผลประโยชน์ ในบริษัทตลาดหลักทรัพย์ หลายบริษัท จึงเป็นผลให้การจัดอันดับหุ้นเป็นไปอย่างที่ปรากฎ พรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่า การทำให้ผลประกอบการของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ของบริษัทที่ใกล้ชิด กับรัฐบาลนั้นส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่า เป็นการอาศัยกลไกอำนาจรัฐผูกขาดเอารัดเอาเปรียบประชาชนมาโดยตลอด
และเห็นว่ากลไก ของรัฐควรทำหน้าที่อิสระ ไม่ถูกแทรกแซง เพื่อให้ตลาดหลักทรัพย์ เป็นตลาดที่มีความโปร่งใสเป็นตลาดที่สามารถลงทุนได้อย่างเชื่อมั่น แต่ ตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา เห็นได้ว่าตลาดหลักทรัพย์ของไทย สร้างความเคลือบแคลงสงสัยในการดำเนินการมาโดยตลอด
สำหรับกรณีที่นายกฯทักษิณ ไปปราศรัยโจมตี พรรคประชาธิปัตย์ ทางภาคเหนือว่า พรรคประชาธิปัตย์เอาแต่ ด่า อย่างเดียวนั้น โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า “กล้ายืนยันได้ว่า ตลอดเวลา 4 ปี นั้น พรรคประชาธิปัตย์ ทำหน้าที่ในสภาอย่างตรงไปตรงมา และทำด้วยความสำนึกรับผิดชอบในฐานะที่เป็นพรรคฝ่ายค้าน กล้าที่จะอภิปรายไม่ไว้วางใจโดยไม่เกรงกลัวรัฐบาล และแต่ละครั้งหากนายกฯ ได้มีโอกาส เข้าไปฟังในสภา จะพบว่า เราอภิปรายในเหตุในผล แต่นายกฯไม่ยอมเข้ารับฟังความเป็นจริงในนั้น ท่านก็เลยไม่รู้ นึกว่าเขา ไปด่ากันในสภาฯ ไม่ว่าเราจะเป็นการพูดเบา หรือพูดแรง ก็อยู่ในประเด็น ไม่ใช่การด่า อย่างที่ท่านนายกฯทักษิณ เข้าใจ”
นอกจากนี้ นายองอาจ กล่าวว่า ตรงกันข้ามนายกฯ ทักษิณ จะเป็นบุคคลที่ด่าผู้อื่นมากกว่า ฝ่ายค้านเสียอีก ท่านนายกฯ ไม่เคยใช้อภิปรายในสภา แต่กลับใช้เวทีนอกสภา ด่าทั้งฝ่ายค้าน และนักวิชาการ พ่อค้า นักธุรกิจ สื่อมวลชน ที่ไม่ใช่พวกของตน ที่ท่านไม่สามารถครอบงำ ได้ ท่านนายกฯ เป็นนักด่าตลอด 4 ปี ที่ผ่านมา
สำหรับกรณีที่นายกฯ ออกมาพูดถึง นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ ว่าใช้จิตนาการ ในหารซื้อตัวส.ส.นั้น นายองอาจกล่าวว่า ก็เป็นที่ทราบแล้วว่า นายชวน หลีกภัย ไม่ได้ใช้จินตนาการพูด อย่างที่ท่านกล่าวหา แต่ท่านพูดด้วยการปฏิบัติการจริงที่เกิดจากการกระทำของพรรคไทยรักไทยเอง
นอกจากนี้นายองอาจยังกล่าวถึงกรณีที่รัฐบาลเร่งหาเสียงกับข้าราชการ และพนักงานรัฐวิสาหกิจ ว่าจะเร่งขึ้นทะเบียน ข้าราชการจน ทั่วประเทศ นั้น อยากจะฝากถามไปยัง ท่านายกฯว่าตลอดเวลา 4 ปีที่ผ่านมานั้น ท่านไม่เคย เห็นปัญหานี้หรืออย่างไร และกลับมาเห็น แค่ ระยะ 2 เดือนสุดท้ายที่จะมีการเลือกตั้งใหม่ เท่านั้นเองหรือ จึงอยากฝากอีกด้วยว่า หากรัฐบาลจะหาเสียงเพื่อกลับมาเป็นรัฐบาลอีกนั้นก็ไม่ควรจะหาเสียงบนความยากจนของข้าราชการ และไม่ควรสร้างความหวังให้เกิดขึ้นในข้าราชการโดยไม่สามารถจะทำให้เป็นจริงได้หรือไม่
กรณีตำรวจบุกค้นบ้านส.ส.ศิริวรรณ ปราศจากศัตรู จังหวัดแพร่ นั้น นายองอาจ กล่าวว่าเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ควรเกิดขึ้น ในช่วงที่มีการเลือกตั้ง แม้รัฐบาลจะปฏิเสธอย่างไร ว่าการบุกค้น ส.สงพรรคประชาธิปัตย์ จ.แพร่ นั้น ไม่เกี่ยวกับการเมือง คงเป็นเรื่องที่ไม่ใช่แน่นอน เพราะหลังจากที่นายกฯ ไปปราศรัย ที่จ.แพร่ เหตุการณ์ นี้ก็เกิดขึ้น
'คำพูดปราศรัย หลายคำของนายกฯ ก็คือการส่งสัญญาณให้มีการใช้อำนาจรัฐเข้าไปคุกคาม ผู้สมัคร ของพรรคประชาธิปัตย์ แสดงให้เห็นว่านี้คือพฤติกรรมที่เลวร้ายทางการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย หากนายกฯ เห็นว่าแม่เลี้ยงติ๊ก หรือญาติ มีความผิด ก็ควรจะใช้กฎหมาย ไปจัดการมากว่าการใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าไปกระทำเสมือนหนึ่งเป็นการข่มขู่คุกคาม'นายองอาจกล่าว
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-