นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์ว่านายชวน หลีกภัย จินตนาการไปเอง จากกรณีที่นายชวนออกมาเปิดเผยว่ามีการชักชวนนายวิรัช ร่มเย็น ว่าคงไม่ใช่การจินตนาการ เพราะเห็นข่าวปรากฎออกมาว่านายเนวิน ชิดชอบ ได้ออกมายอมรับแล้วว่ามีการพูดคุยกัน แต่แบ่งรับแบ่งสู้ว่าเป็นการพูดทีเล่นทีจริง เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นเช่นนี้ตนคิดว่าที่ท่านชวนพูดคงไม่ใช่เรื่องจินตนาการการตอบคำถามของนายกฯต่างหากที่จินตนาการ คือตอบโดยไม่มีการถามข้อเท็จจริงว่ามีมูลความจริงหรือไม่ตนไม่อยากให้เรื่องนี้เป็นประเด็นใหญ่โตมากมาย แต่เมื่อเป็นเรื่องจริงเมื่อมีคนพูดถึงกันแทนที่จะปฏิเสธกันอย่างน้ำ ขุ่น ๆ ก็น่าจะรับฟังเหตุผลกันก่อน เพราะท่านชวนได้คุยกับนายวิรัชแล้วจึงเป็นข่าว ดังนั้นเรื่องดังกล่าวก็น่าจะมีมูลความจริงอยู่บ้าง
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายเนวินออกมายอมรับ แต่บอกว่าเป็นการพูดเล่นถือเป็นการแก้ตัวหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ามันชัดอยู่แล้ว เพราะท้ายสุดเมื่อยอมรับว่ามีการพูดคุยกันก็แสดงว่ามีข้อเท็จจริงอยู่ เมื่อถามว่าคนระดับรัฐมนตรีสมควรพูดเช่นนี้หรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่าเดี๋ยวนี้มาตรฐานต่าง ๆ ในสังคมตกต่ำลงเรื่อย ๆซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากสำหรับสังคมไทยเมื่อก่อนคำพูดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปก็น่าเป็นห่วงถือเป็นปัญหาสังคมอย่างหนึ่งเช่นกัน
ส่วนกรณีที่นายกฯไปปราศรัยที่ภาคใต้ และบอกว่าจะไปปักธงที่จังหวัดตรัง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายกฯก็มีสิทธิ์พูดเป็นเรื่องปกติของคนที่ไปหาเสียงเลือกตั้ง แต่ในความรู้สึกเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และการที่นายกฯแสดงท่าที่ว่าจะได้ 10 ที่นั่งเป็นอย่างน้อยในพื้นที่ภาคใต้ ตนคิดว่าเป็นวิธีปลุกใจพรรคพวกของตัวเอง ส่วนที่มีคนมาฟังปราศรัยกว่า 50,000 คนนั้น คงวัดกันลำบาก เพราะที่มาอาจเป็นเพราะมีความพยายามในการขอร้องให้ช่วยรักษาหน้ารักษาตา เพราะถ้านายกฯมาแต่ไม่มีคนฟังจะน่าเกลียด
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคไทยรักไทยบอกว่าที่ผ่านมาได้ทำงานให้คนใต้มาตลอด แต่ที่ไม่กล้าพูดเพราะไม่ได้เป็นโรงงานปั๊มน้ำแข็งไม่อยากปั้นน้ำเป็นตัว นายบัญญัติ กล่าวว่าพรรคการเมืองที่ด่าคนอื่นมากที่สุดไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่เป็นพรรคไทยรักไทยตั้งแต่นายกฯจนถึงลูกพรรคไปไหนก็มีแต่คำพูดที่แสดงถึงความมีอำนาจบาทใหญ่เยาะเย้อถากถาง “วันนี้ประชาชนมีเหตุผลคนที่ชอบแสดงอำนาจ คนที่พูดอะไรออกไปด้วยความเข้าใจว่าประชาชนจะเชื่อทั้งหมดผมเข้าใจว่าคนเหล่านี้จะได้รับบทเรียนทางการเมือง” นายบัญญัติกล่าวแล้วว่าอย่างล่าสุดที่ออกมาบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีแต่ด่าว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ประชาธิปัตย์มีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนกันยิ่งหนักใหญ่ และยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าคนที่ด่าคนอื่นมากที่สุดคือตัวนายกฯเอง เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนคิดว่าต่อให้คนในรัฐบาลอมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว และที่คนเขามั่นใจว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจริง เพราะว่าฟังประชาธิปัตย์แล้วเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดจากการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ซึ่งการพูดในเรื่องนี้ไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายค้านเท่านั้น แต่นักวิชาการที่มีความเป็นกลาง และคนสำคัญในบ้านเมืองออกมาย้ำบ่อย ๆ ดังนั้นคงปฏิเสธได้ยาก “เรื่องที่บอกว่าประชาธิปัตย์ผลประโยชน์ทับท้องก็รองยกตัวอย่างมาให้ดูบ้างก็ได้ว่าคนของประชาธิปัตย์ไปโกงใครที่ไหนมีผลประโยชน์อย่างไร ลองตีแผ่มาให้ดูบ้าง เหมือนอย่างที่ฝ่ายค้านตีแผ่รัฐบาล อยากให้รัฐบาลพิสูจน์ความจริงว่าทับท้องใครที่ไหน อย่างไร” นายบัญญัติ กล่าว
ส่วนที่มีรายงานจากวารสารทางการเงินร่วมกับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ที่รายงานว่าตระกูลชินวัตร มีกำไรสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ รองลงมาคือ มาลีนนท์ และดามาพงศ์ ตามลำดับ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ฝ่ายค้านพูดมาตลอดเป็นความจริง หากคนในชาติจะร่ำรวยขึ้นมาบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าความรวยนั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความสุจริตไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผลประโยน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องนโยบายของรัฐที่เอื้ออำนวยให้กลุ่มตนเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคนที่ติดตามมาตลอดคงจะเห็นว่า ความร่ำรวยที่มันเพิ่มพูนขึ้นนี้เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่เอื้ออำนวยให้ทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า กระทรวงศึกษาธิการจะมีการแปลเพลงชาติไทยให้เป็นภาษายาวีเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ นายบัญญัติ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบว่าต้นคิดในเรื่องนี้มาจากไหน ตนก็รอฟังอยู่เหมือนกัน ว่าท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร จะเป็นการแปลคำแปลหรือแต่งขึ้นใหม่ ซึ่งหากเป็นการแต่งขึ้นใหม่ตนคิดว่าค่อนข้างจะแปลก เพราะจะกลายเป็นว่า ประเทศไทยมีเพลงชาติหลายเพลง เมื่อถามว่า จะยิ่งเป็นการแบ่งแยกดินแดนอย่างชัดเจนหรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ไม่ทราบว่ารัฐบาลนี้คิดเช่นไร เพราะหลายอย่างที่เราพบความจริงว่า บางทีเขามุ่งหวังอย่างหนึ่ง แต่เวลาทำกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องเร่งติดตามรอดูความชัดเจนต่อไปว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
ผู้สื่อข่าวถามว่าการที่นายเนวินออกมายอมรับ แต่บอกว่าเป็นการพูดเล่นถือเป็นการแก้ตัวหรือไม่ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ามันชัดอยู่แล้ว เพราะท้ายสุดเมื่อยอมรับว่ามีการพูดคุยกันก็แสดงว่ามีข้อเท็จจริงอยู่ เมื่อถามว่าคนระดับรัฐมนตรีสมควรพูดเช่นนี้หรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่าเดี๋ยวนี้มาตรฐานต่าง ๆ ในสังคมตกต่ำลงเรื่อย ๆซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ากังวลมากสำหรับสังคมไทยเมื่อก่อนคำพูดเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมาก แต่เดี๋ยวนี้บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปก็น่าเป็นห่วงถือเป็นปัญหาสังคมอย่างหนึ่งเช่นกัน
ส่วนกรณีที่นายกฯไปปราศรัยที่ภาคใต้ และบอกว่าจะไปปักธงที่จังหวัดตรัง หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่านายกฯก็มีสิทธิ์พูดเป็นเรื่องปกติของคนที่ไปหาเสียงเลือกตั้ง แต่ในความรู้สึกเห็นว่าไม่น่าจะเป็นไปได้ และการที่นายกฯแสดงท่าที่ว่าจะได้ 10 ที่นั่งเป็นอย่างน้อยในพื้นที่ภาคใต้ ตนคิดว่าเป็นวิธีปลุกใจพรรคพวกของตัวเอง ส่วนที่มีคนมาฟังปราศรัยกว่า 50,000 คนนั้น คงวัดกันลำบาก เพราะที่มาอาจเป็นเพราะมีความพยายามในการขอร้องให้ช่วยรักษาหน้ารักษาตา เพราะถ้านายกฯมาแต่ไม่มีคนฟังจะน่าเกลียด
ผู้สื่อข่าวถามว่าพรรคไทยรักไทยบอกว่าที่ผ่านมาได้ทำงานให้คนใต้มาตลอด แต่ที่ไม่กล้าพูดเพราะไม่ได้เป็นโรงงานปั๊มน้ำแข็งไม่อยากปั้นน้ำเป็นตัว นายบัญญัติ กล่าวว่าพรรคการเมืองที่ด่าคนอื่นมากที่สุดไม่ใช่พรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่เป็นพรรคไทยรักไทยตั้งแต่นายกฯจนถึงลูกพรรคไปไหนก็มีแต่คำพูดที่แสดงถึงความมีอำนาจบาทใหญ่เยาะเย้อถากถาง “วันนี้ประชาชนมีเหตุผลคนที่ชอบแสดงอำนาจ คนที่พูดอะไรออกไปด้วยความเข้าใจว่าประชาชนจะเชื่อทั้งหมดผมเข้าใจว่าคนเหล่านี้จะได้รับบทเรียนทางการเมือง” นายบัญญัติกล่าวแล้วว่าอย่างล่าสุดที่ออกมาบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีแต่ด่าว่า 4 ปีที่ผ่านมารัฐบาลมีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อน แต่ประชาธิปัตย์มีแต่ผลประโยชน์ทับซ้อนเหมือนกันยิ่งหนักใหญ่ และยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าคนที่ด่าคนอื่นมากที่สุดคือตัวนายกฯเอง เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนตนคิดว่าต่อให้คนในรัฐบาลอมพระมาพูดก็ไม่มีใครเชื่อแล้ว และที่คนเขามั่นใจว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนจริง เพราะว่าฟังประชาธิปัตย์แล้วเชื่อ ซึ่งเป็นความเชื่อที่เกิดจากการติดตามข่าวสารบ้านเมือง ซึ่งการพูดในเรื่องนี้ไม่ได้มีเฉพาะฝ่ายค้านเท่านั้น แต่นักวิชาการที่มีความเป็นกลาง และคนสำคัญในบ้านเมืองออกมาย้ำบ่อย ๆ ดังนั้นคงปฏิเสธได้ยาก “เรื่องที่บอกว่าประชาธิปัตย์ผลประโยชน์ทับท้องก็รองยกตัวอย่างมาให้ดูบ้างก็ได้ว่าคนของประชาธิปัตย์ไปโกงใครที่ไหนมีผลประโยชน์อย่างไร ลองตีแผ่มาให้ดูบ้าง เหมือนอย่างที่ฝ่ายค้านตีแผ่รัฐบาล อยากให้รัฐบาลพิสูจน์ความจริงว่าทับท้องใครที่ไหน อย่างไร” นายบัญญัติ กล่าว
ส่วนที่มีรายงานจากวารสารทางการเงินร่วมกับมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณ์ที่รายงานว่าตระกูลชินวัตร มีกำไรสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์ รองลงมาคือ มาลีนนท์ และดามาพงศ์ ตามลำดับ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ที่ฝ่ายค้านพูดมาตลอดเป็นความจริง หากคนในชาติจะร่ำรวยขึ้นมาบ้างก็ถือเป็นเรื่องปกติ ถ้าความรวยนั้นเกิดขึ้นบนพื้นฐานของความสุจริตไม่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น ไม่ใช่เรื่องผลประโยน์ทับซ้อน ไม่มีเรื่องนโยบายของรัฐที่เอื้ออำนวยให้กลุ่มตนเองเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งคนที่ติดตามมาตลอดคงจะเห็นว่า ความร่ำรวยที่มันเพิ่มพูนขึ้นนี้เกิดขึ้นจากนโยบายของรัฐบาลที่เอื้ออำนวยให้ทั้งสิ้น
เมื่อถามว่า กระทรวงศึกษาธิการจะมีการแปลเพลงชาติไทยให้เป็นภาษายาวีเพื่อแก้ปัญหาภาคใต้ นายบัญญัติ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบว่าต้นคิดในเรื่องนี้มาจากไหน ตนก็รอฟังอยู่เหมือนกัน ว่าท้ายที่สุดจะเป็นเช่นไร จะเป็นการแปลคำแปลหรือแต่งขึ้นใหม่ ซึ่งหากเป็นการแต่งขึ้นใหม่ตนคิดว่าค่อนข้างจะแปลก เพราะจะกลายเป็นว่า ประเทศไทยมีเพลงชาติหลายเพลง เมื่อถามว่า จะยิ่งเป็นการแบ่งแยกดินแดนอย่างชัดเจนหรือไม่ นายบัญญัติ กล่าวว่า ไม่ทราบว่ารัฐบาลนี้คิดเช่นไร เพราะหลายอย่างที่เราพบความจริงว่า บางทีเขามุ่งหวังอย่างหนึ่ง แต่เวลาทำกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เพราะฉะนั้นเรื่องนี้ต้องเร่งติดตามรอดูความชัดเจนต่อไปว่าสุดท้ายจะลงเอยอย่างไร
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 14 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-