ปัจจุบันไทยเป็นผู้ผลิตเส้นไหมรายสำคัญอันดับ 5 ของโลกรองจากจีน อินเดีย ญี่ปุ่น และบราซิล ด้วยปริมาณการผลิตรวม 1,000 — 1,500 ตันต่อปี หรือคิดเป็นประมาณ 2 % ของผลผลิตรวมเส้นไหมรวมของโลก ทั้งนี้สถานที่ผลิตและส่งออกเส้นไหมของไทยดังนี้
สถานการณ์การผลิต
ในช่วงปี 2541 — 2544 ผลผลิตเส้นไหมของไทยขยายตัวเฉลี่ย 11.5 % ต่อปี โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการผลิตเส้นไหมในเชิงอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม การผลิตเส้นไหมของไทยในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการ อาทิ
- ปริมาณการผลิตเส้นไหมมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง เนื่องจากเกษตรผู้ผลิตหม่อนเลี้ยงไหมบางกลุ่มซึ่งทำอาชีพสาวไหมด้วยมือเป็นอาชีพเสริมมักเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่อื่นทดแทนเมื่อเส้นไหมมีราคาลดลง
- ผู้ผลิตเส้นไหมขาดความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพของเส้นใย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่หลากหลายและกระจุกตัวเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม
- ผู้ผลิตเส้นไหมในประเทศได้รับความคุ้มครองสูง ทั้งระบบภาษีและการควบคุมปริมาณการนำเข้า ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตเส้นไหมของไทยพัฒนาไปได้ไม่มากเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
สถานการณ์การส่งออก
ในช่วงปี 2541 —2545 การส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของไทยมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 29.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัว 1% ต่อปี สำหรับช่วงแรกของปี 2546 มูลค่าการส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมลดลง 9.1 % ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญต่อการขยายตลาดไหมและผลิตภัณฑ์ของไทยมีดังนี้
- เส้นใยไหมถูกทดแทนด้วยเส้นใยประดิษฐ์ชนิดอื่น อาทิ เส้นในสังเคราะห์ประเภทโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยเซลลูโลสประเภท Viscose ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติคลายคลึงกับเส้นไหม ขณะที่กระบวนการดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ทั้งนี้ ปัจจุบันการประดิษฐ์ของโลกมีสัดส่วนถึง 60% ของปริมาณการผลิตเส้นใยรวม ขณะที่การผลิตเส้นไหมของโลกมีสัดส่วนน้อยกว่า 1%
- ผู้ผลิตขาดการสร้างภาพลักษณ์สินค้าในระดับโลก จึงเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดต่างประเทศ
- ได้รับแรงกดดันด้านราคาจากจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตเส้นไหมรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก มีปริมาณการผลิตรวม 60,000 ตันต่อปี คิดเป็น 65% ของผลผลิตเส้นไหมรวมของโลกขณะเดียวกันจีนก็มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่าการส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของไทยจะขยายตัวดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากผู้บริโภคมีความนิยมในตัวสินค้าที่เป็นมิตรกับธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะคุณสมบัติของเส้นใยไหมที่เป็นโปรตีนซึ่งไม่ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อสวมใส่ ประกอบกับการใช่สารเคมีในกระบวนการผลิตเส้นใหมมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตเส้นใยประเภทอื่นๆนอกจากนี้ การสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างจริงจังของภาครัฐผ่านโครงการ “กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น” รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมรากหญ้าผ่านโครงการ OTOP คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการส่งออกไหมและผลิคภัณฑ์ของไทยในระยะข้างหน้า
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธันวาคม 2547--
-พห-
สถานการณ์การผลิต
ในช่วงปี 2541 — 2544 ผลผลิตเส้นไหมของไทยขยายตัวเฉลี่ย 11.5 % ต่อปี โดยปัจจัยสนับสนุนสำคัญจากการผลิตเส้นไหมในเชิงอุตสาหกรรมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องอย่างไรก็ตาม การผลิตเส้นไหมของไทยในปัจจุบันยังต้องเผชิญกับอุปสรรคบางประการ อาทิ
- ปริมาณการผลิตเส้นไหมมีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง เนื่องจากเกษตรผู้ผลิตหม่อนเลี้ยงไหมบางกลุ่มซึ่งทำอาชีพสาวไหมด้วยมือเป็นอาชีพเสริมมักเปลี่ยนไปปลูกพืชไร่อื่นทดแทนเมื่อเส้นไหมมีราคาลดลง
- ผู้ผลิตเส้นไหมขาดความร่วมมือในการพัฒนาคุณภาพของเส้นใย ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ไม่หลากหลายและกระจุกตัวเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม
- ผู้ผลิตเส้นไหมในประเทศได้รับความคุ้มครองสูง ทั้งระบบภาษีและการควบคุมปริมาณการนำเข้า ทำให้อุตสาหกรรมการผลิตเส้นไหมของไทยพัฒนาไปได้ไม่มากเท่าที่ควร ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลก
สถานการณ์การส่งออก
ในช่วงปี 2541 —2545 การส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของไทยมีมูลค่าเฉลี่ยปีละ 29.7 ล้านดอลล่าร์สหรัฐ ขยายตัว 1% ต่อปี สำหรับช่วงแรกของปี 2546 มูลค่าการส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมลดลง 9.1 % ทั้งนี้ อุปสรรคสำคัญต่อการขยายตลาดไหมและผลิตภัณฑ์ของไทยมีดังนี้
- เส้นใยไหมถูกทดแทนด้วยเส้นใยประดิษฐ์ชนิดอื่น อาทิ เส้นในสังเคราะห์ประเภทโพลีเอสเตอร์ และเส้นใยเซลลูโลสประเภท Viscose ซึ่งมีลักษณะและคุณสมบัติคลายคลึงกับเส้นไหม ขณะที่กระบวนการดูแลรักษาไม่ยุ่งยาก ทั้งนี้ ปัจจุบันการประดิษฐ์ของโลกมีสัดส่วนถึง 60% ของปริมาณการผลิตเส้นใยรวม ขณะที่การผลิตเส้นไหมของโลกมีสัดส่วนน้อยกว่า 1%
- ผู้ผลิตขาดการสร้างภาพลักษณ์สินค้าในระดับโลก จึงเป็นอุปสรรคต่อการขยายตลาดต่างประเทศ
- ได้รับแรงกดดันด้านราคาจากจีน ซึ่งเป็นประเทศผู้ผลิตเส้นไหมรายใหญ่อันดับ 1 ของโลก มีปริมาณการผลิตรวม 60,000 ตันต่อปี คิดเป็น 65% ของผลผลิตเส้นไหมรวมของโลกขณะเดียวกันจีนก็มีความได้เปรียบด้านต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าไทย
อย่างไรก็ตาม เป็นที่คาดว่าการส่งออกไหมและผลิตภัณฑ์ไหมของไทยจะขยายตัวดีขึ้นเป็นลำดับ เนื่องจากผู้บริโภคมีความนิยมในตัวสินค้าที่เป็นมิตรกับธรรมชาติเพิ่มมากขึ้นในปัจจุบันโดยเฉพาะคุณสมบัติของเส้นใยไหมที่เป็นโปรตีนซึ่งไม่ทำให้ระคายเคืองต่อผิวหนังเมื่อสวมใส่ ประกอบกับการใช่สารเคมีในกระบวนการผลิตเส้นใหมมีสัดส่วนน้อยมากเมื่อเทียบกับกระบวนการผลิตเส้นใยประเภทอื่นๆนอกจากนี้ การสนับสนุนอุตสาหกรรมสิ่งทออย่างจริงจังของภาครัฐผ่านโครงการ “กรุงเทพฯ เมืองแฟชั่น” รวมทั้งการส่งเสริมอุตสาหกรรมรากหญ้าผ่านโครงการ OTOP คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนสำคัญต่อการส่งออกไหมและผลิคภัณฑ์ของไทยในระยะข้างหน้า
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธันวาคม 2547--
-พห-