ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. อัตราดอกเบี้ยของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจไทยปี 47 จะขยายตัวในระดับร้อยละ 6.0 ส่วนปี48
จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5-6.5 แม้ว่า ธปท. จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็ตาม เพราะในขณะนี้เศรษฐกิจไทย
ไม่จำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้ว ส่วนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปและใน
อนาคตจะพิจารณาจาการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี ก็ยังสามารถขยับอัตรา
ดอกเบี้ยขึ้นได้ เพื่อดูแลด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะ ธปท. ให้ความสำคัญการเติบโตของจีดีพีเป็นหลัก ดังนั้น
หากจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกจะขยับขึ้นอย่างมีจังหวะและค่อย ๆ ขยับขึ้น สำหรับความเป็นห่วงที่ว่าการขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยจะทำให้มีเงินไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้นและจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ธปท. ได้พิจารณาในเรื่อง
เงินทุนเคลื่อนย้ายแล้ว และไม่เป็นห่วงว่าจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น เพราะ ธปท. ได้เข้าไปดูแลตลาดเงินและอัตรา
แลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
2. สถาบันประกันเงินฝากจะไม่คุ้มครองเงินฝากเต็ม 100% นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า หลังจากตั้งสถาบันประกันเงินฝากขึ้นในปีหน้า จะไม่มีการคุ้ม
ครองเงินฝากเต็ม 100% ให้กับผู้ฝากทุกราย ในส่วนของผู้ฝากเงินรายใหญ่ต้องบริหารและรับความเสี่ยงด้วยตัว
เอง สำหรับผู้ฝากเงินรายย่อยยังได้รับความคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งถ้าเกณฑ์คุ้มครองต่ำสุดที่ 1 ล้านบาท จะเป็นการ
คุ้มครองคนฝากเงินถึงร้อยละ 98 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการเพิ่มกลไกที่ทำให้ระบบ
การเงินแข็งแรง ขณะที่รัฐบาลสามารถนำเงินภาษีไปใช้ในสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์ได้มากขึ้น จากเดิมที่นำเงินภาษี
ไปช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยการที่ไม่คุ้มครองเงินฝากทั้ง 100% จะช่วยให้ ธ.พาณิชย์ต้องดูแลและ
พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็ง มีความรับผิดชอบต่อผู้ฝากเงินมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจปรับเครดิตให้ประเทศไทยในปี 48 นายวรภัค ธันยาวงษ์
ผู้บริหารอาวุโส บ. เจ.พี.มอร์แกน มองว่า ในปี 48 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งอาจจะมีการปรับอันดับ
เครดิตให้กับไทย เนื่องจากมีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและจัดเก็บรายได้จากภาษีเพิ่มสูงขึ้นตลอด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทเครดิตจะพิจารณาต่อไปคือ เสถียรภาพทางการเมืองโดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ว่า
จะสร้างเสถียรภาพได้ดีเหมือนครั้งแรกหรือไม่ รวมถึงบัญชีงบดุลของประเทศในขณะนี้และอนาคต ซึ่งรัฐบาลจะมี
โครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่าสูง ว่าจะใช้เงินจากแหล่งใดและส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างไร โดย
เจ.พี.มอร์แกนมีมุมมองที่เป็นบวก น่าจะอัพเกรดได้ไปอยู่ในระดับเอ อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บ. เจแปน เครดิต เรทติ้ง
เอเยนซี่ (เจซีอาร์) ได้ประกาศปรับเพิ่มระดับเครดิตของประเทศไทยจาก BBB เป็น BBB+ และมีแนวโน้ม
เสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 18 พ.ย.47 โดยให้เหตุผลสำคัญคือ 1) ดุลบัญชีเดินสะพัดและระดับ
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในฐานะที่ดีมาก และ 2) คาดว่าปริมาณเอ็นพีเอจะทยอยลดลง เพราะภาคธุรกิจ
อยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง (โพสต์ทูเดย)
4. บลจ. ออกกองทุนลงทุน ตปท. ลดความเสี่ยง น.ส.ดวงมน ธีระวิคาวี ผอฝ.กำกับธุรกิจ
จัดการลงทุน สนง.กลต. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กลต. อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรวงเงินให้แต่ละบริษัทหลักทรัพย์
จัดการกองทุนรวม (บลจ.) หลังจากที่ ธปท. อนุมัติวงเงินให้ บลจ.ลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 500 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. แบ่งเป็น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. และกองทุนรวม 300 ล้านดอลลาร์
สรอ. แต่ในเบื้องต้นจำนวนวงเงินแต่ละ บลจ. จะต้องสอดคล้องกัน ซึ่ง กลต. จะต้องเสนอให้คณะกรรมการ กลต.
พิจารณาก่อนออกเป็นประกาศให้ลงทุนได้ และจะต้องมีการแจ้งให้ ธปท. ทราบก่อน ถ้า ธปท. ไม่มีข้อสังเกตใด
บลจ. ก็จะสามารถไปลงทุนในต่างประเทศได้ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการ กลต. ในเดือน ม.ค.48 (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF กระตุ้นให้ ธ.กลางยุโรปใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รายงานจากเมดริด เมื่อ
19 ธ.ค.47 Rodrigo Rato ประธาน จนท.บริหารของ IMF ได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.ฉบับหนึ่งของสเปนว่าขณะนี้
ค่าเงินยูโรอยู่ระดับใกล้จะถึงจุดสมดุลแล้วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.โดยมีค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับ
เงินดอลลาร์ สรอ.ที่ 1.3470 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร ล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ 1.33 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร จากการที่ค่า
เงินยูโรแข็งแกร่งขึ้นทำให้อัตราเงินเฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.4 ต่อปีในเดือน ต.ค.47
มาอยู่ที่ร้อยละ 2.2 ต่อปีในเดือน พ.ย.47 จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปและ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน
ภูมิภาคนี้หากไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นภายหลัง (รอยเตอร์)
2. ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอังกฤษเตรียมย้ายฐานการผลิตออกสู่ต่างประเทศเพื่อเพิ่มความ
สามารถทางการแข่งขัน รายงานจากลอนดอนเมื่อ 20 ธ.ค.47 The Engineering Employers’
Federation เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวน 500 แห่ง พบว่า ผู้
ประกอบการเกือบครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนแผนการผลิตในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยผู้ประกอบการร้อยละ 42 ได้
มีการดำเนินการว่าจ้างผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภท(Outsource)แทนการผลิตเอง ในขณะที่ผู้ประกอบการ
อีกกว่าร้อยละ 30 มีแผนที่จะดำเนินการเช่นเดียวกันในระยะต่อไปเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน อนึ่ง ขณะนี้ผู้
ประกอบการอุตสาหกรรมอังกฤษได้มุ่งเน้นความสำคัญไปยังวิธีการลดความกดดันด้านการแข่งขัน ซึ่งกำลังประสบอยู่
จากการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากแรงงานและต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยผลการ
สำรวจพบว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชาวอังกฤษถึงร้อยละ 57 มองว่า จีนจะเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมการ
ผลิตของอังกฤษในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า เทียบกับร้อยละ 18 ในปี 44 ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 20 ของผู้ตอบแบบ
สอบถามที่เห็นว่าจีนเป็นโอกาส อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของ The Confederation of British
Industry เมื่อเดือน ต.ค.47 กลับพบว่า จีนเป็นประเทศเป้าหมายในระดับต้นสำหรับการเลือกลงทุนของผู้
ประกอบการอังกฤษ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าจีดีพีที่แท้จริงของญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ในปีงบประมาณ 48/49 รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 20 ธ.ค.47 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลประมาณการผลิตภัณฑ์ในประเทศที่แท้จริง (real GDP)
ของญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ในปีงบประมาณ 48/49 (เริ่มปีงบประมาณเดือน เม.ย.48) และ norminal GDP
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 นอกจากนี้ รัฐบาลยังประมาณการดัชนีราคาผู้บริโภคว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในปี
งบประมาณเดียวกัน อันเป็นการประมาณการในภาพบวกครั้งแรกตั้งแต่ปีงบประมาณ 43/44 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นประสบกับภาวะ
เงินฝืดมามากกว่า 5 ปีแล้ว กระตุ้นให้ ธ.กลางญี่ปุ่นนำกรอบนโยบายผ่อนคลายด้านปริมาณมาใช้อันจะส่งผลให้ตลาด
เงินมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรักษาอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้มีประสิทธิภาพที่ระดับ 0 เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวด้านราคาผู้บริโภคได้ถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ธ.กลางญี่ปุ่นให้
คำมั่นว่าจะยังคงดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในอัตราเทียบ
ต่อปี (ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน) ให้มีเสถียรภาพเหนือกว่าระดับ 0 ทั้งนี้ ตัวปรับลดจีดีพีนั้น (อัตราจีดีพีที่แท้จริง
ซึ่งได้จากการนำ Nominal GDP หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ประมาณการว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ —0.3 ในปีงบประมาณ 48/49
เทียบกับที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ —1.3 ในปีงบประมาณก่อนหน้านี้ โดยตัวปรับลดจีดีพีลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของร้อยละ 1.3
ในปีงบประมาณ 47/48 เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
4. รัฐบาลจีนคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตเกินกว่าร้อยละ 9.0 รายงานจากมาเก๊า เมื่อ
วันที่ 19 ธ.ค 47 นาย Hu Jintao ปธน.จีนกล่าวในขณะเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 5 ปีที่มาเก๊าเป็นอิสระจากการ
ปกครองของปอร์ตุเกส ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตเกินกว่าร้อยละ 9.0 ในปีนี้ เนื่องจากแรงอัดฉีดจากเงินลงทุนโดย
ตรงจากต่างประเทศของจีนที่สูงถึง 60 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. โดยก่อนหน้านั้น จีนได้ตั้งเป้าหมายการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 7.0 ซึ่งการคาดการณ์ใหม่ในครั้งนี้เพื่อสะท้อนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของ
จีนแม้ว่าจะเป็นช่วงที่กำลังลดการกู้ยืมและการลงทุนที่มากเกินไปก็ตาม อย่างไรก็ตามในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา
เศรษฐกิจจีนได้ชะลอตัวลงแต่ก็ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 9.1 ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียว
กันปีก่อน และคาดว่ามูลค่าการค้าทั้งปีของจีนจะสูงสุดถึง 1.1 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. โดยการส่งออกในช่วง 10
เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 อยู่ที่ระดับ 468.7 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 อยู่ที่
ระดับ 457.7 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้า 11 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ส่วนปีหน้านั้นจีนได้ตั้งเป้า
หมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 8.0 และเป้าหมายเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 4.0 เพื่อเป็นการลด
ความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนและทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20/12/2490 17 ธ.ค 47 30/1/2490 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.269 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.0640/39.3475 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.000-2.050 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 669.46/ 20.46 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.93 35.26 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.29*/14.59 19.29*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 17 ธ.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. อัตราดอกเบี้ยของไทยในอนาคตขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล
ผู้ว่าการ ธปท. เปิดเผยว่า ธปท. ประเมินว่าภาวะเศรษฐกิจไทยปี 47 จะขยายตัวในระดับร้อยละ 6.0 ส่วนปี48
จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 5.5-6.5 แม้ว่า ธปท. จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายแล้วก็ตาม เพราะในขณะนี้เศรษฐกิจไทย
ไม่จำเป็นต้องใช้อัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจอีกแล้ว ส่วนนโยบายอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปและใน
อนาคตจะพิจารณาจาการขยายตัวทางเศรษฐกิจเป็นหลัก หากเศรษฐกิจไทยยังขยายตัวได้ดี ก็ยังสามารถขยับอัตรา
ดอกเบี้ยขึ้นได้ เพื่อดูแลด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ เพราะ ธปท. ให้ความสำคัญการเติบโตของจีดีพีเป็นหลัก ดังนั้น
หากจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกจะขยับขึ้นอย่างมีจังหวะและค่อย ๆ ขยับขึ้น สำหรับความเป็นห่วงที่ว่าการขึ้นอัตรา
ดอกเบี้ยจะทำให้มีเงินไหลเข้าประเทศเพิ่มขึ้นและจะส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนั้น ธปท. ได้พิจารณาในเรื่อง
เงินทุนเคลื่อนย้ายแล้ว และไม่เป็นห่วงว่าจะทำให้เงินบาทแข็งขึ้น เพราะ ธปท. ได้เข้าไปดูแลตลาดเงินและอัตรา
แลกเปลี่ยนค่าเงินบาทอย่างใกล้ชิดอยู่แล้ว (ไทยรัฐ, ผู้จัดการรายวัน)
2. สถาบันประกันเงินฝากจะไม่คุ้มครองเงินฝากเต็ม 100% นางธาริษา วัฒนเกส รองผู้ว่าการ
สายเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า หลังจากตั้งสถาบันประกันเงินฝากขึ้นในปีหน้า จะไม่มีการคุ้ม
ครองเงินฝากเต็ม 100% ให้กับผู้ฝากทุกราย ในส่วนของผู้ฝากเงินรายใหญ่ต้องบริหารและรับความเสี่ยงด้วยตัว
เอง สำหรับผู้ฝากเงินรายย่อยยังได้รับความคุ้มครองเงินฝาก ซึ่งถ้าเกณฑ์คุ้มครองต่ำสุดที่ 1 ล้านบาท จะเป็นการ
คุ้มครองคนฝากเงินถึงร้อยละ 98 ของผู้ฝากเงินทั้งระบบ ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่ดีเพราะเป็นการเพิ่มกลไกที่ทำให้ระบบ
การเงินแข็งแรง ขณะที่รัฐบาลสามารถนำเงินภาษีไปใช้ในสิ่งจำเป็นและมีประโยชน์ได้มากขึ้น จากเดิมที่นำเงินภาษี
ไปช่วยเหลือสถาบันการเงินที่มีปัญหา โดยการที่ไม่คุ้มครองเงินฝากทั้ง 100% จะช่วยให้ ธ.พาณิชย์ต้องดูแลและ
พัฒนาตัวเองให้เข้มแข็ง มีความรับผิดชอบต่อผู้ฝากเงินมากขึ้น (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน, กรุงเทพธุรกิจ)
3. บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถืออาจปรับเครดิตให้ประเทศไทยในปี 48 นายวรภัค ธันยาวงษ์
ผู้บริหารอาวุโส บ. เจ.พี.มอร์แกน มองว่า ในปี 48 บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือหลายแห่งอาจจะมีการปรับอันดับ
เครดิตให้กับไทย เนื่องจากมีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจและจัดเก็บรายได้จากภาษีเพิ่มสูงขึ้นตลอด
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่บริษัทเครดิตจะพิจารณาต่อไปคือ เสถียรภาพทางการเมืองโดยเฉพาะการเลือกตั้งครั้งใหม่นี้ว่า
จะสร้างเสถียรภาพได้ดีเหมือนครั้งแรกหรือไม่ รวมถึงบัญชีงบดุลของประเทศในขณะนี้และอนาคต ซึ่งรัฐบาลจะมี
โครงการลงทุนขนาดใหญ่มูลค่าสูง ว่าจะใช้เงินจากแหล่งใดและส่งผลต่อภาพรวมทางเศรษฐกิจอย่างไร โดย
เจ.พี.มอร์แกนมีมุมมองที่เป็นบวก น่าจะอัพเกรดได้ไปอยู่ในระดับเอ อนึ่ง ก่อนหน้านี้ บ. เจแปน เครดิต เรทติ้ง
เอเยนซี่ (เจซีอาร์) ได้ประกาศปรับเพิ่มระดับเครดิตของประเทศไทยจาก BBB เป็น BBB+ และมีแนวโน้ม
เสถียรภาพ (Stable Outlook) เมื่อวันที่ 18 พ.ย.47 โดยให้เหตุผลสำคัญคือ 1) ดุลบัญชีเดินสะพัดและระดับ
เงินทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในฐานะที่ดีมาก และ 2) คาดว่าปริมาณเอ็นพีเอจะทยอยลดลง เพราะภาคธุรกิจ
อยู่ในช่วงฟื้นตัวอย่างต่อเนื่อง (โพสต์ทูเดย)
4. บลจ. ออกกองทุนลงทุน ตปท. ลดความเสี่ยง น.ส.ดวงมน ธีระวิคาวี ผอฝ.กำกับธุรกิจ
จัดการลงทุน สนง.กลต. เปิดเผยว่า ขณะนี้ กลต. อยู่ระหว่างการพิจารณาจัดสรรวงเงินให้แต่ละบริษัทหลักทรัพย์
จัดการกองทุนรวม (บลจ.) หลังจากที่ ธปท. อนุมัติวงเงินให้ บลจ.ลงทุนในต่างประเทศ จำนวน 500 ล้าน
ดอลลาร์ สรอ. แบ่งเป็น กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ 200 ล้านดอลลาร์ สรอ. และกองทุนรวม 300 ล้านดอลลาร์
สรอ. แต่ในเบื้องต้นจำนวนวงเงินแต่ละ บลจ. จะต้องสอดคล้องกัน ซึ่ง กลต. จะต้องเสนอให้คณะกรรมการ กลต.
พิจารณาก่อนออกเป็นประกาศให้ลงทุนได้ และจะต้องมีการแจ้งให้ ธปท. ทราบก่อน ถ้า ธปท. ไม่มีข้อสังเกตใด
บลจ. ก็จะสามารถไปลงทุนในต่างประเทศได้ โดยจะมีการประชุมคณะกรรมการ กลต. ในเดือน ม.ค.48 (ข่าวสด)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. IMF กระตุ้นให้ ธ.กลางยุโรปใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย รายงานจากเมดริด เมื่อ
19 ธ.ค.47 Rodrigo Rato ประธาน จนท.บริหารของ IMF ได้ให้สัมภาษณ์ นสพ.ฉบับหนึ่งของสเปนว่าขณะนี้
ค่าเงินยูโรอยู่ระดับใกล้จะถึงจุดสมดุลแล้วเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ สรอ.โดยมีค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบกับ
เงินดอลลาร์ สรอ.ที่ 1.3470 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร ล่าสุดซื้อขายอยู่ที่ 1.33 ดอลลาร์ สรอ.ต่อยูโร จากการที่ค่า
เงินยูโรแข็งแกร่งขึ้นทำให้อัตราเงินเฟ้อของเขตเศรษฐกิจยุโรปชะลอตัวลงจากร้อยละ 2.4 ต่อปีในเดือน ต.ค.47
มาอยู่ที่ร้อยละ 2.2 ต่อปีในเดือน พ.ย.47 จึงเป็นเวลาเหมาะสมที่รัฐบาลของประเทศสมาชิกเขตเศรษฐกิจ
ยุโรปและ ธ.กลางยุโรปหรือ ECB จะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจใน
ภูมิภาคนี้หากไม่มีสัญญาณชัดเจนว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อขึ้นภายหลัง (รอยเตอร์)
2. ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมอังกฤษเตรียมย้ายฐานการผลิตออกสู่ต่างประเทศเพื่อเพิ่มความ
สามารถทางการแข่งขัน รายงานจากลอนดอนเมื่อ 20 ธ.ค.47 The Engineering Employers’
Federation เปิดเผยผลการสำรวจความคิดเห็นจากผู้ประกอบการอุตสาหกรรมจำนวน 500 แห่ง พบว่า ผู้
ประกอบการเกือบครึ่งหนึ่งมีแผนที่จะปรับเปลี่ยนแผนการผลิตในช่วง 5 ปีข้างหน้า โดยผู้ประกอบการร้อยละ 42 ได้
มีการดำเนินการว่าจ้างผลิตชิ้นส่วนและอุปกรณ์บางประเภท(Outsource)แทนการผลิตเอง ในขณะที่ผู้ประกอบการ
อีกกว่าร้อยละ 30 มีแผนที่จะดำเนินการเช่นเดียวกันในระยะต่อไปเพื่อลดต้นทุนการดำเนินงาน อนึ่ง ขณะนี้ผู้
ประกอบการอุตสาหกรรมอังกฤษได้มุ่งเน้นความสำคัญไปยังวิธีการลดความกดดันด้านการแข่งขัน ซึ่งกำลังประสบอยู่
จากการแข่งขันของสินค้าจากต่างประเทศที่มีราคาถูกกว่าเนื่องจากแรงงานและต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่า โดยผลการ
สำรวจพบว่า ผู้ประกอบการอุตสาหกรรมชาวอังกฤษถึงร้อยละ 57 มองว่า จีนจะเป็นภัยคุกคามต่ออุตสาหกรรมการ
ผลิตของอังกฤษในช่วงเวลา 5 ปีข้างหน้า เทียบกับร้อยละ 18 ในปี 44 ในขณะที่มีเพียงร้อยละ 20 ของผู้ตอบแบบ
สอบถามที่เห็นว่าจีนเป็นโอกาส อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจของ The Confederation of British
Industry เมื่อเดือน ต.ค.47 กลับพบว่า จีนเป็นประเทศเป้าหมายในระดับต้นสำหรับการเลือกลงทุนของผู้
ประกอบการอังกฤษ (รอยเตอร์)
3. คาดว่าจีดีพีที่แท้จริงของญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ในปีงบประมาณ 48/49 รายงานจาก
โตเกียว เมื่อ 20 ธ.ค.47 รัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่า รัฐบาลประมาณการผลิตภัณฑ์ในประเทศที่แท้จริง (real GDP)
ของญี่ปุ่นจะขยายตัวร้อยละ 1.6 ในปีงบประมาณ 48/49 (เริ่มปีงบประมาณเดือน เม.ย.48) และ norminal GDP
คาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 1.3 นอกจากนี้ รัฐบาลยังประมาณการดัชนีราคาผู้บริโภคว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 ในปี
งบประมาณเดียวกัน อันเป็นการประมาณการในภาพบวกครั้งแรกตั้งแต่ปีงบประมาณ 43/44 ทั้งนี้ ญี่ปุ่นประสบกับภาวะ
เงินฝืดมามากกว่า 5 ปีแล้ว กระตุ้นให้ ธ.กลางญี่ปุ่นนำกรอบนโยบายผ่อนคลายด้านปริมาณมาใช้อันจะส่งผลให้ตลาด
เงินมีสภาพคล่องเพิ่มมากขึ้น รวมทั้งรักษาอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นให้มีประสิทธิภาพที่ระดับ 0 เพื่อกระตุ้นกิจกรรมทาง
เศรษฐกิจ ขณะเดียวกันความเคลื่อนไหวด้านราคาผู้บริโภคได้ถูกเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด เนื่องจาก ธ.กลางญี่ปุ่นให้
คำมั่นว่าจะยังคงดำเนินนโยบายแบบผ่อนคลายจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานในอัตราเทียบ
ต่อปี (ที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน) ให้มีเสถียรภาพเหนือกว่าระดับ 0 ทั้งนี้ ตัวปรับลดจีดีพีนั้น (อัตราจีดีพีที่แท้จริง
ซึ่งได้จากการนำ Nominal GDP หักด้วยอัตราเงินเฟ้อ) ประมาณการว่าจะอยู่ที่ระดับร้อยละ —0.3 ในปีงบประมาณ 48/49
เทียบกับที่คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ร้อยละ —1.3 ในปีงบประมาณก่อนหน้านี้ โดยตัวปรับลดจีดีพีลดลงกว่าครึ่งหนึ่งของร้อยละ 1.3
ในปีงบประมาณ 47/48 เนื่องจากราคาน้ำมันเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว (รอยเตอร์)
4. รัฐบาลจีนคาดว่าในปีนี้เศรษฐกิจจีนจะเติบโตเกินกว่าร้อยละ 9.0 รายงานจากมาเก๊า เมื่อ
วันที่ 19 ธ.ค 47 นาย Hu Jintao ปธน.จีนกล่าวในขณะเข้าร่วมงานฉลองครบรอบ 5 ปีที่มาเก๊าเป็นอิสระจากการ
ปกครองของปอร์ตุเกส ว่าเศรษฐกิจจีนจะเติบโตเกินกว่าร้อยละ 9.0 ในปีนี้ เนื่องจากแรงอัดฉีดจากเงินลงทุนโดย
ตรงจากต่างประเทศของจีนที่สูงถึง 60 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. โดยก่อนหน้านั้น จีนได้ตั้งเป้าหมายการขยายตัวทาง
เศรษฐกิจในปีนี้ไว้ที่ร้อยละ 7.0 ซึ่งการคาดการณ์ใหม่ในครั้งนี้เพื่อสะท้อนภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริงของ
จีนแม้ว่าจะเป็นช่วงที่กำลังลดการกู้ยืมและการลงทุนที่มากเกินไปก็ตาม อย่างไรก็ตามในช่วงหลายไตรมาสที่ผ่านมา
เศรษฐกิจจีนได้ชะลอตัวลงแต่ก็ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งถึงร้อยละ 9.1 ในไตรมาสที่ 3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียว
กันปีก่อน และคาดว่ามูลค่าการค้าทั้งปีของจีนจะสูงสุดถึง 1.1 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. โดยการส่งออกในช่วง 10
เดือนแรกเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 35 อยู่ที่ระดับ 468.7 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 อยู่ที่
ระดับ 457.7 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้า 11 พัน ล.ดอลลาร์สรอ. ส่วนปีหน้านั้นจีนได้ตั้งเป้า
หมายการขยายตัวทางเศรษฐกิจไว้ที่ร้อยละ 8.0 และเป้าหมายเงินเฟ้อประมาณร้อยละ 4.0 เพื่อเป็นการลด
ความร้อนแรงทางเศรษฐกิจของจีนและทำให้เศรษฐกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคงและมีเสถียรภาพ (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 20/12/2490 17 ธ.ค 47 30/1/2490 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.269 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 39.0640/39.3475 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.000-2.050 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 669.46/ 20.46 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,150/8,250 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 36.93 35.26 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.29*/14.59 19.29*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 17 ธ.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--