ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. เอดีบีเตือนภัยเอเชียเข้มงวดการเงินการคลัง ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ปีนี้จะ
ยังคงเป็นปีทองของภูมิภาคเอเชียตะวันออก แม้ว่าโลกต้องเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและมีแรงขับเคลื่อน
ทางเศรษฐกิจน้อยลง แต่คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.6 ซึ่งจัดว่ามีการขยาย
ตัวสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เติบโต
อย่างแข็งแกร่ง แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกจะเติบโตร้อยละ 6.5 เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและ
สรอ. ชะลอตัว ปัจจัยสำคัญท้าทายเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ในปีหน้าอยู่ที่ว่า จะสามารถรักษาอัตราการขยายตัวให้คงที่ได้
หรือไม่เมื่อถึงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยของ สรอ. และภาวะเงินเฟ้อในประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น พร้อมทั้งเตือนให้
ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเร่งปรับนโยบายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้นโยบายการเงินการคลังที่เข้ม
งวดยิ่งขึ้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งเร่งปฏิรูปโครงสร้างเพื่อดึงดูด
การลงทุนจากภาคเอกชน (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. บสท. ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จกว่า 7 แสนล้านบาท นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธาน
กรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของ บสท. ครบรอบ 3 ปี ว่า สามารถ
จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนมาจากสถาบันการเงินจนมีข้อยุติ ณ วันที่ 30 พ.ย.47 รวมทั้งสิ้น 767,058
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน โดย
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาทั้งหมด มูลค่า 777,175 ล้านบาท จากลูกหนี้ 15,491 ราย นอกจากนี้ บสท. ยัง
ช่วยฟื้นฟูกิจการให้ลูกหนี้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ คิดเป็นมูลหนี้ของลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ 525,942 ล้าน
บาท หรือประมาณร้อยละ 69 จากหนี้ที่ปรับโครงสร้างจนได้ข้อยุติ (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
3. ปี 48 ธุรกิจธนาคารจะขยายตัวร้อยละ 5-6 เท่ากับจีดีพี คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.ใหญ่
ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับเพิ่มเครดิต ธ.ไทยพาณิชย์ 3 แห่ง คือ ธ.นครหลวงไทย
ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ เป็นการสะท้อนภาวะการเงินและความน่าเชื่อถือ สำหรับภาพรวม
ธุรกิจ ธ.พาณิชย์ในปี 48 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี อาจจะไม่ดีมากเท่ากับปีนี้ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือภาวะ
เศรษฐกิจของ สรอ. และจีน สำหรับไทยคาดว่าจีดีพีจะเติบโตร้อยละ 5-6 ส่วนอัตราเงินเฟ้อคงไม่มีผลกระทบ
มากและถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ขณะที่ระบบ ธ.พาณิชย์ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ร้อยละ 5-6 เช่นกัน ด้านสภาพ
คล่องในระบบนั้นคาดว่าประมาณครึ่งปีหน้าน่าจะลดลงสู่ภาวะปกติ ส่วนอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องสภาพคล่อง
อย่างเดียว แต่มีการชี้นำจากทางการและคู่แข่งด้วย ถ้าธนาคารใหญ่ขยับขึ้นก็อาจทำให้ธนาคารอื่นขยับตาม
(ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
4. เศรษฐกิจภาคใต้ชะลอตัวหนักจากสถานการณ์ความรุนแรง รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า
เศรษฐกิจในภาคใต้ ณ เดือน ต.ค.47 อยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวอย่าง
มากจากผลกระทบสถานการณ์ความรุนแรง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางผ่านด่านตรวจชายแดนเข้าเมืองเพียง
216,000 คน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 13 ตามการลดลงของนักท่องเที่ยวภาคใต้ตอนล่างที่ลดลง
ถึงร้อยละ 30.1 ขณะที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24.9 สำหรับ
การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัว โดยเฉพาะภาคการก่อสร้างลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง
ลดลงร้อยละ 3.5 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยการส่งเสริมการ
ลงทุนและการจดทะเบียนธุรกิจการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูง (มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของ สรอ.จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1.25 ในปีหน้าในขณะที่อัตรา
ดอกเบี้ยของอังกฤษอาจจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว รายงานจากลอนดอน เมื่อ 20 ธ.ค.47 ผลสำรวจความเห็นของนัก
วิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 1.25 ในปีหน้าซึ่งจะทำให้
อัตราดอกเบี้ยในตอนสิ้นปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.5 หลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วร้อยละ 1.25 ตั้งแต่เดือน มิ.ย.47
เป็นต้นมา เช่นเดียวกับที่ผลสำรวจคาดว่า ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ๆ ละร้อยละ 0.25
ในช่วงครึ่งหลังปีหน้า หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ร้อยละ 2.0 นับตั้งแต่เดือน
มิ.ย.46 เป็นต้นมา อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ธ.กลางยุโรปจะลดแทนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่หลาย
คนคาดไว้ ในขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษและ ธ.กลางญี่ปุ่นจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยใน
ปีหน้า โดยในกรณีของอังกฤษนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ร้อยละ 4.75 อยู่ในระดับสูงสุด
แล้วโดยดูจากตัวเลขการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงแต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคนที่
เชื่อว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะซบเซาของญี่ปุ่นทำให้
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละศูนย์ต่อไปในปีหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ —48 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 21 ธ.ค.47
The Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) เปิดเผยว่า จากการสำรวจความ
คิดเห็นของสมาชิกทั้งหมดพบว่ามากกว่าร้อยละ 48 เห็นว่าดัชนีราคาบ้านในอังกฤษในรอบ 3 เดือน (ถึงสิ้น พ.ย.47)
จะลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ —48 (หลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ระดับ —40 อันเป็น
ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 33 เป็นต้นมา ทั้งนี้ การลดลงอย่างมากของดัชนีราคาบ้านดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อความคาด
หวังของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับความมีเสถียรภาพด้านราคา แต่เป็นระดับต่ำใหม่ที่มีความสมดุลตั้งแต่เดือน ธ.ค.35
ที่ตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษเคยเฟื่องฟูอย่างมากและส่งผลต่อราคาสุทธิของสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยในด้านลบ อย่าง
ไรก็ตาม การลดลงของราคาบ้านในอังกฤษในฤดูใบไม้ร่วงนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับนโยบายการปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยของ ธ.กลางอังกฤษในปี 47 ที่ปรับเพิ่มถึง 5 ครั้ง (ล่าสุดอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75) เนื่องจากความแข็ง
แกร่งทางเศรษฐกิจจากทั่วโลก รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่ ธ.กลางอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีถัดไป ทั้ง
นี้ ยอดขายที่อยู่อาศัยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำสุดมากกว่า 9 ปี โดยลดลงอยู่ที่ร้อยละ 28 ซึ่งเป็นระดับ
เกือบ 3 เท่าของปีก่อน (ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9) นอกจากนี้ อัตราส่วนของยอดขายที่อยู่อาศัยต่อที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ได้
ขายลดลงอยู่ที่ร้อยละ 32 ในเดือน พ.ย.47 อันเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 42 ส่วนอัตราเฉลี่ยระยะยาวอยู่ที่ร้อยละ 37 (รอยเตอร์)
3. จีนนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 45.6 รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 21 ธ.ค 47
รัฐบาลจีนเปิดเผยว่า จีนซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากสรอ.นำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 11.1 ล้านตัน
เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.6 และเมื่อรวมในช่วง 11 เดือนของปีนี้จีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 110.6 ล้านตันเพิ่มขึ้น
จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 35.2 ส่วนการส่งออกน้ำมันดีเซล และแก๊สโซลีนของจีนในเดือน พ.ย. ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่
แล้วร้อยละ76.1 และร้อยละ 12.4 อยู่ที่ระดับ 35,552 ตัน และ 401,568 ตัน ตามลำดับ (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานของจีนยังคงได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง รายงานจากซิดนี่เมื่อ
วันที่ 20 ธ.ค 47 Moody Investors Service เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานของจีนอาทิอุตสาหกรรม
อลูมีเนียม ทองแดง นิเกิล และตะกั่ว ซึ่งที่ผ่านมาจีนเป็นผู้นำการผลิตและการบริโภคของโลกเนื่องจากได้รับการ
สนับสนุนจากรัฐบาลจีนในด้านภาษีและค่าธรรมเนียมรวมทั้งการเป็นประเทศอุตสาหกรรมของจีนทำให้อุตสาหกรรมดัง
กล่าวขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่การที่รัฐบาลจีนมีนโยบายลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจจีนลง โดยจะลดอุตสาหกรรม
ขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ สิ้นเปลืองพลังงาน และก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมในระดับสูง คาดว่าในระยะสั้น
อุตสาหกรรมบางอย่างอาทิ อลูมิเนียม และเหล็กกล้าจะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามในระยะยาว
Moody มองว่าจีนยังคงเป็นที่น่าลงทุนเนื่องจากความต้องการขยายการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่ง
ที่มีประสิทธิภาพ (รอยเตอร์)
5. จำนวนบุคคลและบริษัทล้มละลายของสิงคโปร์ลดลงในเดือน พ.ย.47 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
20 ธ.ค.47 The Ministry of Law เปิดเผยว่า จำนวนบุคคลและบริษัทล้มละลายโดยรวมของสิงคโปร์ ณ สิ้น
เดือน พ.ย.47 มีจำนวน 21,226 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากจำนวน 21,047 รายเมื่อสิ้นเดือน ต.ค.47 โดย
ในจำนวนรวมดังกล่าว การล้มละลายรายใหม่ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับที่สูงกว่าระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีคือ 4,484 รายเมื่อปี 46 ในขณะที่บุคคลและ
บริษัทล้มละลายในเดือน พ.ย.47 มีจำนวน 331 ราย ลดลงจาก 426 รายในเดือนก่อน นับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่
เดือน ธ.ค.46 ทั้งนี้ ตามกฎหมายของสิงคโปร์ บุคคลหรือบริษัทที่เข้าข่ายล้มละลายคือบุคคลหรือบริษัทที่มีหนี้สินเป็น
จำนวนเกินกว่า 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (6,079 ดอลลาร์ สรอ.) (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21/12/2490 20 ธ.ค 47 30/1/2490 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.148 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.9608/39.2576 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.000-2.050 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 675.71/ 23.86 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,200/8,300 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.88 36.93 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.29*/14.59 19.29*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 17 ธ.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. เอดีบีเตือนภัยเอเชียเข้มงวดการเงินการคลัง ธ.เพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ระบุว่า ปีนี้จะ
ยังคงเป็นปีทองของภูมิภาคเอเชียตะวันออก แม้ว่าโลกต้องเผชิญกับภาวะราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นและมีแรงขับเคลื่อน
ทางเศรษฐกิจน้อยลง แต่คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจของภูมิภาคนี้จะอยู่ที่ระดับร้อยละ 7.6 ซึ่งจัดว่ามีการขยาย
ตัวสูงสุดในรอบ 7 ปีที่ผ่านมานับตั้งแต่เกิดวิกฤตทางการเงิน เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศอุตสาหกรรมส่วนใหญ่เติบโต
อย่างแข็งแกร่ง แต่ในปีหน้าคาดว่าเศรษฐกิจเอเชียตะวันออกจะเติบโตร้อยละ 6.5 เนื่องจากเศรษฐกิจญี่ปุ่นและ
สรอ. ชะลอตัว ปัจจัยสำคัญท้าทายเศรษฐกิจภูมิภาคนี้ในปีหน้าอยู่ที่ว่า จะสามารถรักษาอัตราการขยายตัวให้คงที่ได้
หรือไม่เมื่อถึงเวลาที่อัตราดอกเบี้ยของ สรอ. และภาวะเงินเฟ้อในประเทศอยู่ในช่วงขาขึ้น พร้อมทั้งเตือนให้
ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเร่งปรับนโยบายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ดังกล่าว โดยใช้นโยบายการเงินการคลังที่เข้ม
งวดยิ่งขึ้น ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศมีความยืดหยุ่นมากขึ้น รวมทั้งเร่งปฏิรูปโครงสร้างเพื่อดึงดูด
การลงทุนจากภาคเอกชน (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
2. บสท. ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จกว่า 7 แสนล้านบาท นายโอฬาร ไชยประวัติ ประธาน
กรรมการบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทย (บสท.) เปิดเผยผลการดำเนินงานของ บสท. ครบรอบ 3 ปี ว่า สามารถ
จัดการสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่ได้รับโอนมาจากสถาบันการเงินจนมีข้อยุติ ณ วันที่ 30 พ.ย.47 รวมทั้งสิ้น 767,058
ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 98 ของสินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาจากสถาบันการเงินทั้งของรัฐและเอกชน โดย
สินทรัพย์ด้อยคุณภาพที่รับโอนมาทั้งหมด มูลค่า 777,175 ล้านบาท จากลูกหนี้ 15,491 ราย นอกจากนี้ บสท. ยัง
ช่วยฟื้นฟูกิจการให้ลูกหนี้สามารถดำเนินกิจการต่อไปได้ คิดเป็นมูลหนี้ของลูกหนี้ที่ปรับโครงสร้างหนี้ 525,942 ล้าน
บาท หรือประมาณร้อยละ 69 จากหนี้ที่ปรับโครงสร้างจนได้ข้อยุติ (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)
3. ปี 48 ธุรกิจธนาคารจะขยายตัวร้อยละ 5-6 เท่ากับจีดีพี คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กก.ผจก.ใหญ่
ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส ปรับเพิ่มเครดิต ธ.ไทยพาณิชย์ 3 แห่ง คือ ธ.นครหลวงไทย
ธ.กสิกรไทย และ ธ.ไทยพาณิชย์ เป็นการสะท้อนภาวะการเงินและความน่าเชื่อถือ สำหรับภาพรวม
ธุรกิจ ธ.พาณิชย์ในปี 48 โดยรวมอยู่ในเกณฑ์ดี อาจจะไม่ดีมากเท่ากับปีนี้ โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องจับตามองคือภาวะ
เศรษฐกิจของ สรอ. และจีน สำหรับไทยคาดว่าจีดีพีจะเติบโตร้อยละ 5-6 ส่วนอัตราเงินเฟ้อคงไม่มีผลกระทบ
มากและถือว่าอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ ขณะที่ระบบ ธ.พาณิชย์ก็ยังมีโอกาสที่จะเติบโตได้ร้อยละ 5-6 เช่นกัน ด้านสภาพ
คล่องในระบบนั้นคาดว่าประมาณครึ่งปีหน้าน่าจะลดลงสู่ภาวะปกติ ส่วนอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องสภาพคล่อง
อย่างเดียว แต่มีการชี้นำจากทางการและคู่แข่งด้วย ถ้าธนาคารใหญ่ขยับขึ้นก็อาจทำให้ธนาคารอื่นขยับตาม
(ข่าวสด, โพสต์ทูเดย์, กรุงเทพธุรกิจ)
4. เศรษฐกิจภาคใต้ชะลอตัวหนักจากสถานการณ์ความรุนแรง รายงานข่าวจาก ธปท. แจ้งว่า
เศรษฐกิจในภาคใต้ ณ เดือน ต.ค.47 อยู่ในภาวะชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่ชะลอตัวอย่าง
มากจากผลกระทบสถานการณ์ความรุนแรง ส่งผลให้นักท่องเที่ยวเดินทางผ่านด่านตรวจชายแดนเข้าเมืองเพียง
216,000 คน ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 13 ตามการลดลงของนักท่องเที่ยวภาคใต้ตอนล่างที่ลดลง
ถึงร้อยละ 30.1 ขณะที่ภาคใต้ฝั่งตะวันตกไม่ได้รับผลกระทบมากนัก ยังมีนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 24.9 สำหรับ
การลงทุนภาคเอกชนยังชะลอตัว โดยเฉพาะภาคการก่อสร้างลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 พื้นที่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง
ลดลงร้อยละ 3.5 เนื่องจากเริ่มเข้าสู่ฤดูฝน อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนมีทิศทางที่ดีขึ้น โดยการส่งเสริมการ
ลงทุนและการจดทะเบียนธุรกิจการค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นในอัตราสูง (มติชน, แนวหน้า)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ผลสำรวจคาดว่าอัตราดอกเบี้ยของ สรอ.จะเพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 1.25 ในปีหน้าในขณะที่อัตรา
ดอกเบี้ยของอังกฤษอาจจะอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว รายงานจากลอนดอน เมื่อ 20 ธ.ค.47 ผลสำรวจความเห็นของนัก
วิเคราะห์โดยรอยเตอร์คาดว่า ธ.กลาง สรอ.จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ 1.25 ในปีหน้าซึ่งจะทำให้
อัตราดอกเบี้ยในตอนสิ้นปีหน้าเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 3.5 หลังจากขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาแล้วร้อยละ 1.25 ตั้งแต่เดือน มิ.ย.47
เป็นต้นมา เช่นเดียวกับที่ผลสำรวจคาดว่า ธ.กลางยุโรปจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 1-2 ครั้ง ๆ ละร้อยละ 0.25
ในช่วงครึ่งหลังปีหน้า หลังจากคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ร้อยละ 2.0 นับตั้งแต่เดือน
มิ.ย.46 เป็นต้นมา อย่างไรก็ดีนักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่า ธ.กลางยุโรปจะลดแทนที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามที่หลาย
คนคาดไว้ ในขณะที่ผลสำรวจนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่า ธ.กลางอังกฤษและ ธ.กลางญี่ปุ่นจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ยใน
ปีหน้า โดยในกรณีของอังกฤษนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันที่ร้อยละ 4.75 อยู่ในระดับสูงสุด
แล้วโดยดูจากตัวเลขการซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และการใช้จ่ายของผู้บริโภคที่ชะลอตัวลงแต่ก็มีนักวิเคราะห์บางคนที่
เชื่อว่าจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกอย่างน้อย 1 ครั้งในปีหน้า ในขณะที่เศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะซบเซาของญี่ปุ่นทำให้
นักวิเคราะห์เชื่อว่า ธ.กลางญี่ปุ่นจะคงนโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำร้อยละศูนย์ต่อไปในปีหน้าเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ (รอยเตอร์)
2. ดัชนีราคาบ้านในอังกฤษในเดือน พ.ย.47 ลดลงอยู่ที่ระดับ —48 รายงานจากลอนดอน เมื่อ 21 ธ.ค.47
The Royal Institution of Chartered Surveyors (RICS) เปิดเผยว่า จากการสำรวจความ
คิดเห็นของสมาชิกทั้งหมดพบว่ามากกว่าร้อยละ 48 เห็นว่าดัชนีราคาบ้านในอังกฤษในรอบ 3 เดือน (ถึงสิ้น พ.ย.47)
จะลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ —48 (หลังปรับปัจจัยทางฤดูกาล) จากก่อนหน้านี้ที่อยู่ที่ระดับ —40 อันเป็น
ระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 33 เป็นต้นมา ทั้งนี้ การลดลงอย่างมากของดัชนีราคาบ้านดังกล่าวไม่ส่งผลกระทบต่อความคาด
หวังของนักเศรษฐศาสตร์เกี่ยวกับความมีเสถียรภาพด้านราคา แต่เป็นระดับต่ำใหม่ที่มีความสมดุลตั้งแต่เดือน ธ.ค.35
ที่ตลาดที่อยู่อาศัยของอังกฤษเคยเฟื่องฟูอย่างมากและส่งผลต่อราคาสุทธิของสินทรัพย์ที่อยู่อาศัยในด้านลบ อย่าง
ไรก็ตาม การลดลงของราคาบ้านในอังกฤษในฤดูใบไม้ร่วงนั้นเป็นเหตุการณ์ที่สอดคล้องกับนโยบายการปรับเพิ่มอัตรา
ดอกเบี้ยของ ธ.กลางอังกฤษในปี 47 ที่ปรับเพิ่มถึง 5 ครั้ง (ล่าสุดอยู่ที่ระดับร้อยละ 4.75) เนื่องจากความแข็ง
แกร่งทางเศรษฐกิจจากทั่วโลก รวมทั้งมีความเป็นไปได้ที่ ธ.กลางอาจจะปรับเพิ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกในปีถัดไป ทั้ง
นี้ ยอดขายที่อยู่อาศัยในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาอยู่ในระดับต่ำสุดมากกว่า 9 ปี โดยลดลงอยู่ที่ร้อยละ 28 ซึ่งเป็นระดับ
เกือบ 3 เท่าของปีก่อน (ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9) นอกจากนี้ อัตราส่วนของยอดขายที่อยู่อาศัยต่อที่อยู่อาศัยที่ยังไม่ได้
ขายลดลงอยู่ที่ร้อยละ 32 ในเดือน พ.ย.47 อันเป็นระดับต่ำสุดตั้งแต่ปี 42 ส่วนอัตราเฉลี่ยระยะยาวอยู่ที่ร้อยละ 37 (รอยเตอร์)
3. จีนนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนพ.ย. เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 45.6 รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 21 ธ.ค 47
รัฐบาลจีนเปิดเผยว่า จีนซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 รองจากสรอ.นำเข้าน้ำมันดิบในเดือน พ.ย. 11.1 ล้านตัน
เพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันปีก่อนร้อยละ 45.6 และเมื่อรวมในช่วง 11 เดือนของปีนี้จีนนำเข้าน้ำมันดิบสูงถึง 110.6 ล้านตันเพิ่มขึ้น
จากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 35.2 ส่วนการส่งออกน้ำมันดีเซล และแก๊สโซลีนของจีนในเดือน พ.ย. ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่
แล้วร้อยละ76.1 และร้อยละ 12.4 อยู่ที่ระดับ 35,552 ตัน และ 401,568 ตัน ตามลำดับ (รอยเตอร์)
4. คาดว่าอุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานของจีนยังคงได้รับการส่งเสริมอย่างต่อเนื่อง รายงานจากซิดนี่เมื่อ
วันที่ 20 ธ.ค 47 Moody Investors Service เปิดเผยว่า อุตสาหกรรมโลหะพื้นฐานของจีนอาทิอุตสาหกรรม
อลูมีเนียม ทองแดง นิเกิล และตะกั่ว ซึ่งที่ผ่านมาจีนเป็นผู้นำการผลิตและการบริโภคของโลกเนื่องจากได้รับการ
สนับสนุนจากรัฐบาลจีนในด้านภาษีและค่าธรรมเนียมรวมทั้งการเป็นประเทศอุตสาหกรรมของจีนทำให้อุตสาหกรรมดัง
กล่าวขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง แต่การที่รัฐบาลจีนมีนโยบายลดความร้อนแรงทางเศรษฐกิจจีนลง โดยจะลดอุตสาหกรรม
ขนาดเล็กที่ใช้เทคโนโลยีต่ำ สิ้นเปลืองพลังงาน และก่อให้เกิดมลพิษต่อสภาพแวดล้อมในระดับสูง คาดว่าในระยะสั้น
อุตสาหกรรมบางอย่างอาทิ อลูมิเนียม และเหล็กกล้าจะมีความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตามในระยะยาว
Moody มองว่าจีนยังคงเป็นที่น่าลงทุนเนื่องจากความต้องการขยายการผลิต โครงสร้างพื้นฐาน และการขนส่ง
ที่มีประสิทธิภาพ (รอยเตอร์)
5. จำนวนบุคคลและบริษัทล้มละลายของสิงคโปร์ลดลงในเดือน พ.ย.47 รายงานจากสิงคโปร์เมื่อ
20 ธ.ค.47 The Ministry of Law เปิดเผยว่า จำนวนบุคคลและบริษัทล้มละลายโดยรวมของสิงคโปร์ ณ สิ้น
เดือน พ.ย.47 มีจำนวน 21,226 ราย เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.9 จากจำนวน 21,047 รายเมื่อสิ้นเดือน ต.ค.47 โดย
ในจำนวนรวมดังกล่าว การล้มละลายรายใหม่ในช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.47) เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบ
กับช่วงเดียวกันของปีก่อน สู่ระดับที่สูงกว่าระดับสูงสุดในรอบ 18 ปีคือ 4,484 รายเมื่อปี 46 ในขณะที่บุคคลและ
บริษัทล้มละลายในเดือน พ.ย.47 มีจำนวน 331 ราย ลดลงจาก 426 รายในเดือนก่อน นับเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่
เดือน ธ.ค.46 ทั้งนี้ ตามกฎหมายของสิงคโปร์ บุคคลหรือบริษัทที่เข้าข่ายล้มละลายคือบุคคลหรือบริษัทที่มีหนี้สินเป็น
จำนวนเกินกว่า 10,000 ดอลลาร์สิงคโปร์ (6,079 ดอลลาร์ สรอ.) (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 21/12/2490 20 ธ.ค 47 30/1/2490 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 39.148 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.9608/39.2576 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.000-2.050 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 675.71/ 23.86 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 8,200/8,300 8,150/8,250 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 35.88 36.93 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 19.29*/14.59 19.29*/14.59 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด ลิตรละ 30 สตางค์ เมื่อ 17 ธ.ค.47
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--