‘องอาจ’ เผย..เห็นใจ ‘จักรพันธุ์’ฐานะคู่แข่ง-เพื่อนเก่า เย้ย ‘นายกฯ’ใครกันแน่เป็นหมอรักษาประเทศสมัยวิกฤติปี 40 เตือน‘ทรท.’ จะไม่มีเพื่อนพรรคการเมืองหากยังอหังการ!
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่และว่าที่ผู้สมัครกทม.เขต 30 กล่าวถึงกรณีที่นายจักพันธุ์ ยมจินดา ซึ่งเป็นคู่แข่งในพื้นที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกและตัดสินทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีว่าตนยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอน ซึ่งหากเป็นจริงตนก็รู้สึกเห็นใจในฐานะเพื่อน แม้ว่าจะแข่งในเขตเดียวกันก็ตาม และหากพรรคไทยรักไทยต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัครตนคิดว่าก็คงจะเลือกคนที่เหมาะสม ซึ่งการแข่งขันในเขตนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างราบรื่นดี
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยออกมาวิจารณ์นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นนโยบายจับฉ่ายอมตะนิรันดร์กาลว่า ตนจะไม่ตอบโต้ถ้อยคำของพรรคไทยรักไทยเพราะจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน พรรคไทยรักไทยมักจะบอกว่าขอให้ประชาธิปัตย์เลิกการใช้วาทศิลป์ในการเล่นการเมือง แต่ตนเห็นว่านั่นแหละที่ใช้ประจำ และหากไทยรักไทยจะวิจารณ์ก็ขอให้วิจารณ์บนพื้นฐานของเนื้อหาสาระ ไม่ควรใช่ถ้อยคำที่ด่าให้เจ็บแสบแล้วจบกัน
นายองอาจกล่าวอีกว่า หากไทยรักไทยจะมองว่านโยบายของประชาธิปัตย์จับฉ่าย ทุกพรรคก็จับฉ่ายเหมือนกัน แต่รายละเอียดของประชาธิปัตย์ต่างจากไทบรักไทยแน่นอน ไม่ได้ลอกใครทั้งนั้น และตนมองว่ายโยบายของไทยรักไทยมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการใช้เงินเป็นตัวตั้งในการเข้าไปแก้ปัญหา ใช้เงินเข้าไปลดแลกแจกแถมมากกว่าที่จะเข้าไปสร้างสังคมที่ยั่งยืน และที่ไทยรักไทยบอกว่านโยบายของประชาธิปัตย์ยังขัดแย้งกันเองว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านกันแน่ ซึ่งตนยืนยันว่าพรรคขอ 201 เสียงในเบื้องต้น เพื่อเป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ และหากได้มากกว่านั้นก็อาจตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่นได้ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของพรรคการเมืองและเป็นการประกาศบนพื้นฐานของความจริง ไม่ใช่เพ้อฝันลมๆแล้งๆ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึง คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีที่ปากน้ำที่ว่าไทยรักไทยคิดเหมือนหมอที่เข้ามารักษาคนไข้ แต่พรรคประชาธิปัตย์คิดเหมือนสัปเหร่อหน้าห้องดับจิตว่า นายกคงไม่เข้าใจหน้าที่ของสัปเหร่อว่าต้องทำหน้าที่เผาศพที่เมรุไม่ใช่เฝ้าศพหน้าห้องดับจิต ตนอยากให้นายกฯเข้าใจภาระหน้าที่ของคนอาชีพต่างๆ เพื่อจะได้ประเมินคนอื่นได้ถูก ทั้งนี้หากจะบอกว่าใครคือฝ่ายที่เป็นหมอที่รักษาคนไข้ก็ต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพราะในสมัยที่เศรษฐกิจล่มเมื่อปี 2540 คนที่ทำให้ประเทศป่วยจนเกือบตายก็คือรัฐบาลของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และมีรองนายกฯที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามารักษาจนเดินเหินได้ระดับหนึ่ง แล้วรัฐบาลนี้ก็เข้ามาใช้จ่ายอย่างฟุ้มเฟือย ตนเห็นว่าข้อเปรียบเทียบของนายกฯถือว่ารุนแรงเกินไป อยากให้นายกฯปรับความคิดความเห็นในทางการเมือง เลิกดูถูกคนอื่น แล้วมาว่ากันด้วยนโยบาย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กว่า
“นายกฯอย่าได้อหังการว่าจะอยู่ค้ำฟ้าตลอดไป แล้วทับถมดูถูกพรรคการเมืองอื่น สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เรารับได้ แต่หลายครั้งหลายหนถึงขนาดดูถูกพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยโดยไม่คำนึงถึงหัวอกคนอื่น จนถึงขั้นพรรคชาติไทยต้องออกมาระบายถึงความอึดอัดในการอยู่ร่วมกับำรรคไทยรักไทย หากนายกฯยังอหังการต่อไปท่านคงจะหมดเพื่อนพรรคการเมือง อย่าลืมว่าพรรคของท่านเป็นพรคการเมืองเฉพาะกิจ เพราะเพิ่งพูดว่ายังหาทายาทไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าท่านเป็นเจ้าของพรรคคนเดียว ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ท่านทักษิณต้องไป พรรคไทยรักไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก” นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า การที่พรรคไทยรักไทยยังได้ทบทวนการให้นับคะแนนบัตรเสียในปาร์ตี้ลิสต์เป้นบัตรดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย เป็นการขัดต่อเจตนารมย์รัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง เป็นการไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเล็กๆได้แสดงอุดมการณ์ทางการเมือง ขอฝากเตือนไทยรักไทยว่าอย่าละโมบโลภมากในการอยากเป็นรัฐบาลตามยุทธศาสตร์ 400 เสียง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมทางการเมือง ซึ่งแค่คิดก็ผิดแล้ว เมื่อมีการท้วงติง แทนที่จะหยุดแต่กลับเดินหน้าต่อไป กกต.ต้องความผดุงความยุติธรรมให้เคียงคู่ประเทศชาติต่อไป
ส่วนกรณีที่นายกฯปราศรัยหาเสียงที่ปากน้ำแช่งพวกซื้อเสียง นายองอาจกล่าวว่า การที่นายกฯจะกล่าวแช่งใคร ควรระวังด้วยว่าจะเข้าตัวเอง เพราะพฤติกรรมของนายกฯและพรรคพวกอาจจะมีลักษณะเข้าข่ายเหมือนที่ไปไว้ จึงอยากเตือนนายกฯด้วยว่าก่อนแช่งใครควรย้อนมองตัวเองก่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ เจ้าของพื้นที่และว่าที่ผู้สมัครกทม.เขต 30 กล่าวถึงกรณีที่นายจักพันธุ์ ยมจินดา ซึ่งเป็นคู่แข่งในพื้นที่ถูกศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกและตัดสินทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปีว่าตนยังไม่ทราบรายละเอียดที่แน่นอน ซึ่งหากเป็นจริงตนก็รู้สึกเห็นใจในฐานะเพื่อน แม้ว่าจะแข่งในเขตเดียวกันก็ตาม และหากพรรคไทยรักไทยต้องเปลี่ยนตัวผู้สมัครตนคิดว่าก็คงจะเลือกคนที่เหมาะสม ซึ่งการแข่งขันในเขตนี้ก็ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง ทุกอย่างราบรื่นดี
นายองอาจ ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยออกมาวิจารณ์นโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ว่าเป็นนโยบายจับฉ่ายอมตะนิรันดร์กาลว่า ตนจะไม่ตอบโต้ถ้อยคำของพรรคไทยรักไทยเพราะจะไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชน พรรคไทยรักไทยมักจะบอกว่าขอให้ประชาธิปัตย์เลิกการใช้วาทศิลป์ในการเล่นการเมือง แต่ตนเห็นว่านั่นแหละที่ใช้ประจำ และหากไทยรักไทยจะวิจารณ์ก็ขอให้วิจารณ์บนพื้นฐานของเนื้อหาสาระ ไม่ควรใช่ถ้อยคำที่ด่าให้เจ็บแสบแล้วจบกัน
นายองอาจกล่าวอีกว่า หากไทยรักไทยจะมองว่านโยบายของประชาธิปัตย์จับฉ่าย ทุกพรรคก็จับฉ่ายเหมือนกัน แต่รายละเอียดของประชาธิปัตย์ต่างจากไทบรักไทยแน่นอน ไม่ได้ลอกใครทั้งนั้น และตนมองว่ายโยบายของไทยรักไทยมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการใช้เงินเป็นตัวตั้งในการเข้าไปแก้ปัญหา ใช้เงินเข้าไปลดแลกแจกแถมมากกว่าที่จะเข้าไปสร้างสังคมที่ยั่งยืน และที่ไทยรักไทยบอกว่านโยบายของประชาธิปัตย์ยังขัดแย้งกันเองว่าจะเป็นรัฐบาลหรือฝ่ายค้านกันแน่ ซึ่งตนยืนยันว่าพรรคขอ 201 เสียงในเบื้องต้น เพื่อเป็นฝ่ายค้านที่มีประสิทธิภาพ และหากได้มากกว่านั้นก็อาจตั้งรัฐบาลร่วมกับพรรคอื่นได้ ซึ่งเป็นหลักการพื้นฐานของพรรคการเมืองและเป็นการประกาศบนพื้นฐานของความจริง ไม่ใช่เพ้อฝันลมๆแล้งๆ
โฆษกพรรคประชาธิปัตย์กล่าวถึง คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีที่ปากน้ำที่ว่าไทยรักไทยคิดเหมือนหมอที่เข้ามารักษาคนไข้ แต่พรรคประชาธิปัตย์คิดเหมือนสัปเหร่อหน้าห้องดับจิตว่า นายกคงไม่เข้าใจหน้าที่ของสัปเหร่อว่าต้องทำหน้าที่เผาศพที่เมรุไม่ใช่เฝ้าศพหน้าห้องดับจิต ตนอยากให้นายกฯเข้าใจภาระหน้าที่ของคนอาชีพต่างๆ เพื่อจะได้ประเมินคนอื่นได้ถูก ทั้งนี้หากจะบอกว่าใครคือฝ่ายที่เป็นหมอที่รักษาคนไข้ก็ต้องเป็นพรรคประชาธิปัตย์ เพราะในสมัยที่เศรษฐกิจล่มเมื่อปี 2540 คนที่ทำให้ประเทศป่วยจนเกือบตายก็คือรัฐบาลของพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ และมีรองนายกฯที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และเป็นพรรคประชาธิปัตย์ที่เข้ามารักษาจนเดินเหินได้ระดับหนึ่ง แล้วรัฐบาลนี้ก็เข้ามาใช้จ่ายอย่างฟุ้มเฟือย ตนเห็นว่าข้อเปรียบเทียบของนายกฯถือว่ารุนแรงเกินไป อยากให้นายกฯปรับความคิดความเห็นในทางการเมือง เลิกดูถูกคนอื่น แล้วมาว่ากันด้วยนโยบาย ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์กว่า
“นายกฯอย่าได้อหังการว่าจะอยู่ค้ำฟ้าตลอดไป แล้วทับถมดูถูกพรรคการเมืองอื่น สำหรับพรรคประชาธิปัตย์เรารับได้ แต่หลายครั้งหลายหนถึงขนาดดูถูกพรรคร่วมรัฐบาลอย่างพรรคชาติไทยโดยไม่คำนึงถึงหัวอกคนอื่น จนถึงขั้นพรรคชาติไทยต้องออกมาระบายถึงความอึดอัดในการอยู่ร่วมกับำรรคไทยรักไทย หากนายกฯยังอหังการต่อไปท่านคงจะหมดเพื่อนพรรคการเมือง อย่าลืมว่าพรรคของท่านเป็นพรคการเมืองเฉพาะกิจ เพราะเพิ่งพูดว่ายังหาทายาทไม่ได้ ซึ่งแสดงว่าท่านเป็นเจ้าของพรรคคนเดียว ซึ่งเมื่อถึงเวลาที่ท่านทักษิณต้องไป พรรคไทยรักไทยต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมาก” นายองอาจกล่าว
นายองอาจ กล่าวอีกว่า การที่พรรคไทยรักไทยยังได้ทบทวนการให้นับคะแนนบัตรเสียในปาร์ตี้ลิสต์เป้นบัตรดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เห็นด้วย เป็นการขัดต่อเจตนารมย์รัฐธรรมนูญอย่างยิ่ง เป็นการไม่เปิดโอกาสให้พรรคการเมืองเล็กๆได้แสดงอุดมการณ์ทางการเมือง ขอฝากเตือนไทยรักไทยว่าอย่าละโมบโลภมากในการอยากเป็นรัฐบาลตามยุทธศาสตร์ 400 เสียง ควรคำนึงถึงความเหมาะสมทางการเมือง ซึ่งแค่คิดก็ผิดแล้ว เมื่อมีการท้วงติง แทนที่จะหยุดแต่กลับเดินหน้าต่อไป กกต.ต้องความผดุงความยุติธรรมให้เคียงคู่ประเทศชาติต่อไป
ส่วนกรณีที่นายกฯปราศรัยหาเสียงที่ปากน้ำแช่งพวกซื้อเสียง นายองอาจกล่าวว่า การที่นายกฯจะกล่าวแช่งใคร ควรระวังด้วยว่าจะเข้าตัวเอง เพราะพฤติกรรมของนายกฯและพรรคพวกอาจจะมีลักษณะเข้าข่ายเหมือนที่ไปไว้ จึงอยากเตือนนายกฯด้วยว่าก่อนแช่งใครควรย้อนมองตัวเองก่อน
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 21 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-