นายบัญญัติ บรรทัดฐาน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่พรรคไทยรักไทยยังยืนยันที่จะชูนโยบายประชานิยมและเรียกร้องให้ประชาชนอย่าเลือกพรรคการเมืองมาถ่วงดุลว่า ตนไม่เข้าใจว่าคนพวกนี้เป็นพวกเผด็จการกลับชาติมาเกิดหรืออย่างไร และแสดงว่าจนบัดนี้ยังไม่เข้าใจเจตนารมณ์ที่สำคัญของรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปการเมืองเลย จึงอยากจะแนะนำให้คนพวกนี้ไปอ่านรัฐธรรมนูญกันสัก 2-3 จบ เพื่อจะได้รู้เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ว่า ให้ความสำคัญกับการถ่วงดุลอำนาจให้กับการตรวจสอบมากที่สุด ซึ่งตรงนี้ถือเป็นหัวใจของระบอบประชาธิปไตยที่มีการแบ่งแยกอำนาจ และไม่ยอมให้หลาย ๆ อำนาจไปอยู่ในมือของบุคคลหรือองค์กรเดียว เพื่อเป็นหลักการของการถ่วงดุล และมาถึงรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังเพิ่มอำนาจการถ่วงดุลยิ่งขึ้น โดยให้มีองค์กรอิสระขึ้นมาตรวจสอบ ดังนั้นตนคิดว่าเมื่อก้าวเข้ามาอยู่ในระบบเช่นนี้แล้วควรต้องยอมรับระบบ หากรับระบบไม่ได้ก็ออกไป เพราะมีหลักชัดเจนอยู่แล้ว
“ผมคิดว่าเป็นหลักของตำราฝรั่งด้วยซ้ำไป หลายคนเป็นนักเรียนนอก เป็นหัวนอกกันทั้งนั้น กฎเหล็กของประชาธิปไตยก็คือ อำนาจมากก็คอรัปชั่นมาก อำนาจมากก็โกงมาก เขาถึงให้ความสำคัญเรื่องการถ่วงดุล ก็ดีหากเขาจะพูดให้ชัด ผมอยากเห็นเขาเรียกร้องประชาชนทั้งประเทศว่าอย่าเลือกฝ่ายค้านด้วยซ้ำไป เพราะจะได้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ และจะแก้ปัญหาได้ ขอให้ประกาศออกมาอย่างนี้เลยก็ได้ ประชาชนจะได้เปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าระหว่างการมีฝ่ายค้านกับการมีหลายพรรคเพื่อถ่วงดุลกับการมีฝ่ายเดียว พรรคเดียว อย่างไหนจะดีกว่า ผมว่าดีแล้วที่เขาจะพูดให้ชัด ประชาชนจะได้เปรียบเทียบกันได้” นายบัญญัติ กล่าว
นายบัญญัติ กล่าวว่า พรรคยืนยันเรื่องการถ่วงดุลอำนาจมาตลอด และเคยพูดชัดเจนมาหลายครั้งหลายหน รวมทั้งเคยตอบคำถามทุกครั้งในเวลาที่มีคำถามถามว่า พรรคใหญ่ ๆ ควรจะรวมกันเพื่อจะได้มีเสถียรภาพ แต่พรรคก็บอกว่าพรรคเห็นว่าหลักสำคัญของประชาธิปไตยคือการถ่วงดุล หากพรรคใหญ่ไปรวมกันจนกระทั่งมีเสียงในสภาไม่พอแก่การตรวจสอบถ่วงดุลได้ ประชาธิปไตยจะกลายเป็นเผด็จการไปทันที และเห็นว่าการเสนอความเห็นดังกล่าวของพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่เป็นเพียงอำนาจนิยม แต่จะกลายเป็นเผด็จการนิยมไปแล้ว
สำหรับกรณีรัฐบาลประกาศลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง 10 บาทในช่วงนี้นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนทั้งประเทศคงมีโอกาสได้พิจารณากันว่าทำไมมานั่งบริหารบ้านเมืองหลายปีแล้ว เหตุใดไม่ทำ แต่มาทำก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และการทำเช่นนี้เป็นการเอาภาระมาโยนให้กับฝ่ายรัฐ ซึ่งจะมีผลในอนาคต อย่างไรการที่รัฐบาลทำเช่นนี้อาจจะทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งหวั่นไหว แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งคงจะสรุปบทเรียนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ามีบางพรรคการเมืองหาเสียงโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงกล่าวหารัฐบาลจะเก็บภาษีคนอ้วนว่า ตนยังไม่เคยได้ยินใครได้ยินเรื่องการเก็บภาษีคนอ้วน และคิดว่าคงไม่มีนักการเมืองคนไหนที่เอาเหตุผลเช่นนี้ไปพูด เพราะอย่างน้อยต้องเข้าใจว่าประชาชนไม่มีทางเชื่อ แต่ในส่วนของซีดีเหตุการณ์ตากใบ ที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูลนไปเผยแพร่นั้น นายธานินทร์ก็ชี้แจงให้เป็นว่าเป็นการดำเนินการในฐานะที่เป็นส.ส.ในพื้นที่เพื่อจะบอกชาวบ้านว่า ถ้ารัฐบาลฟังเสียงของฝ่ายค้านที่เตือนรัฐบาลเสมอ เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อวันหนึ่งพรรคเห็นว่า การทำเช่นนี้อาจจะทำให้สังคมสับสนได้ พรรคก็หยุด เพราะพรรคเป็นพรรคที่ฟังคนอื่นอยู่แล้ว โดยอะไรที่จะกระทบกระทั่งกับผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวม แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่พรรคก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือที่จะหยุดยั้ง
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีใช้คำพูดค่อนข้างรุนแรงโดยเปรียบเทียบคนที่เผยแพร่ซีดีเป็น “ควาย”นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา คือในโลกนี้ทุกคนที่คิดต่างจากนายกรัฐมนตรี ก็ผิดกันทั้งนั้นอยู่แล้ว ส่วนจะเรียก “ควาย” หรือ “วัว” ก็แล้วว่า ตนคิดว่าประชาชนในวันนี้รู้กันอยู่แล้ว และคงไม่ต้องไปตอกย้ำอะไร
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวกรณีที่ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายด้านสังคม เพราะเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังดีไม่ว่าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลว่า แนวคิดดังกล่าวตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากดูนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์จะเห็นชัดว่าพรรคมองว่าตอนนี้สังคมมีปัญหา และหากแก้ปัญหาทางสังคมไม่ได้ สังคมขาดคุณธรรมจริยธรรม สังคมมีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมไม่เข้มแข็ง ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจด้วย ซึ่งพรรคพูดเรื่องนี้มา 2 ปีเศษแล้ว ในเวลาที่ประกาศว่าสังคมนำหน้า ใช้การศึกษาเป็นธงนำ
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีออกมาตำหนิผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาพูดเรื่องดังกล่าวนั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าผิดความคาดหมายกันอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้หากใครมีความคิดเห็นแตกต่างจากตัวเอง ถือเป็นผิดทั้งนั้น อย่างไรก็ตามคิดว่าควรให้กำลังใจกับคนเหล่านี้ เพราะหากในบ้านเมืองนี้ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากฝ่ายมีอำนาจ บ้านเมืองจะยิ่งไปกันใหญ่ จะทำให้ฝ่ายที่มีอำนาจจะถืออำนาจโดยพลการที่จะทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่มีใครทัดทานโต้แย้ง ทำให้ประชาชนในประเทศไม่มีโอกาสเปรียบเทียบความคิดเห็นที่แตกต่างกัน พอนานไปจะทำให้ประชาชนกลายเป็นคนโง่ หรือว่ารัฐบาลต้องการเช่นนั้น เพราะปกครองง่าย ก็แล้วแต่รัฐบาล แต่ตนเชื่อว่าประชาชนวันนี้คงไม่พอใจที่จะอยู่ในภาวะเช่นนั้น และตนมั่นใจว่าจะมีคนกล้าอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในวงการวิชาการที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ที่พร้อมจะออกมาแสดงความคิดเห็นให้ประชาชนได้เปรียบเทียบกัน พร้อมที่จะออกมาชี้ผิดชี้ถูกหรือแม้กระทั่งพร้อมที่จะออกมาเตือนสติรัฐบาล ก่อนที่รัฐบาลจะนำพาประเทศชาติ ไปสู่ความเสียหายตามอำเภอใจมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-
“ผมคิดว่าเป็นหลักของตำราฝรั่งด้วยซ้ำไป หลายคนเป็นนักเรียนนอก เป็นหัวนอกกันทั้งนั้น กฎเหล็กของประชาธิปไตยก็คือ อำนาจมากก็คอรัปชั่นมาก อำนาจมากก็โกงมาก เขาถึงให้ความสำคัญเรื่องการถ่วงดุล ก็ดีหากเขาจะพูดให้ชัด ผมอยากเห็นเขาเรียกร้องประชาชนทั้งประเทศว่าอย่าเลือกฝ่ายค้านด้วยซ้ำไป เพราะจะได้มีรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ มีอำนาจเบ็ดเสร็จอยู่ในมือ และจะแก้ปัญหาได้ ขอให้ประกาศออกมาอย่างนี้เลยก็ได้ ประชาชนจะได้เปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจนว่าระหว่างการมีฝ่ายค้านกับการมีหลายพรรคเพื่อถ่วงดุลกับการมีฝ่ายเดียว พรรคเดียว อย่างไหนจะดีกว่า ผมว่าดีแล้วที่เขาจะพูดให้ชัด ประชาชนจะได้เปรียบเทียบกันได้” นายบัญญัติ กล่าว
นายบัญญัติ กล่าวว่า พรรคยืนยันเรื่องการถ่วงดุลอำนาจมาตลอด และเคยพูดชัดเจนมาหลายครั้งหลายหน รวมทั้งเคยตอบคำถามทุกครั้งในเวลาที่มีคำถามถามว่า พรรคใหญ่ ๆ ควรจะรวมกันเพื่อจะได้มีเสถียรภาพ แต่พรรคก็บอกว่าพรรคเห็นว่าหลักสำคัญของประชาธิปไตยคือการถ่วงดุล หากพรรคใหญ่ไปรวมกันจนกระทั่งมีเสียงในสภาไม่พอแก่การตรวจสอบถ่วงดุลได้ ประชาธิปไตยจะกลายเป็นเผด็จการไปทันที และเห็นว่าการเสนอความเห็นดังกล่าวของพรรคไทยรักไทย ไม่ใช่เป็นเพียงอำนาจนิยม แต่จะกลายเป็นเผด็จการนิยมไปแล้ว
สำหรับกรณีรัฐบาลประกาศลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าลง 10 บาทในช่วงนี้นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า ตนคิดว่าประชาชนทั้งประเทศคงมีโอกาสได้พิจารณากันว่าทำไมมานั่งบริหารบ้านเมืองหลายปีแล้ว เหตุใดไม่ทำ แต่มาทำก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง และการทำเช่นนี้เป็นการเอาภาระมาโยนให้กับฝ่ายรัฐ ซึ่งจะมีผลในอนาคต อย่างไรการที่รัฐบาลทำเช่นนี้อาจจะทำให้ชาวบ้านส่วนหนึ่งหวั่นไหว แต่เชื่อว่าส่วนหนึ่งคงจะสรุปบทเรียนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังกล่าวถึงกรณีที่นายกรัฐมนตรีระบุว่ามีบางพรรคการเมืองหาเสียงโดยบิดเบือนข้อเท็จจริงกล่าวหารัฐบาลจะเก็บภาษีคนอ้วนว่า ตนยังไม่เคยได้ยินใครได้ยินเรื่องการเก็บภาษีคนอ้วน และคิดว่าคงไม่มีนักการเมืองคนไหนที่เอาเหตุผลเช่นนี้ไปพูด เพราะอย่างน้อยต้องเข้าใจว่าประชาชนไม่มีทางเชื่อ แต่ในส่วนของซีดีเหตุการณ์ตากใบ ที่นายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูลนไปเผยแพร่นั้น นายธานินทร์ก็ชี้แจงให้เป็นว่าเป็นการดำเนินการในฐานะที่เป็นส.ส.ในพื้นที่เพื่อจะบอกชาวบ้านว่า ถ้ารัฐบาลฟังเสียงของฝ่ายค้านที่เตือนรัฐบาลเสมอ เหตุการณ์นี้คงไม่เกิดขึ้น แต่เมื่อวันหนึ่งพรรคเห็นว่า การทำเช่นนี้อาจจะทำให้สังคมสับสนได้ พรรคก็หยุด เพราะพรรคเป็นพรรคที่ฟังคนอื่นอยู่แล้ว โดยอะไรที่จะกระทบกระทั่งกับผลประโยชน์ของชาติโดยส่วนรวม แม้ว่าจะเป็นเรื่องจริง แต่พรรคก็พร้อมที่จะให้ความร่วมมือที่จะหยุดยั้ง
เมื่อถามว่านายกรัฐมนตรีใช้คำพูดค่อนข้างรุนแรงโดยเปรียบเทียบคนที่เผยแพร่ซีดีเป็น “ควาย”นั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นเรื่องธรรมดา คือในโลกนี้ทุกคนที่คิดต่างจากนายกรัฐมนตรี ก็ผิดกันทั้งนั้นอยู่แล้ว ส่วนจะเรียก “ควาย” หรือ “วัว” ก็แล้วว่า ตนคิดว่าประชาชนในวันนี้รู้กันอยู่แล้ว และคงไม่ต้องไปตอกย้ำอะไร
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ยังกล่าวกรณีที่ม.ร.ว.ปรีดียาธร เทวกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเสนอให้พรรคการเมืองเสนอนโยบายด้านสังคม เพราะเศรษฐกิจในปีหน้าจะยังดีไม่ว่าพรรคไหนเข้ามาเป็นรัฐบาลว่า แนวคิดดังกล่าวตรงกับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะหากดูนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์จะเห็นชัดว่าพรรคมองว่าตอนนี้สังคมมีปัญหา และหากแก้ปัญหาทางสังคมไม่ได้ สังคมขาดคุณธรรมจริยธรรม สังคมมีแต่การเอารัดเอาเปรียบกัน สังคมไม่เข้มแข็ง ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาอะไรได้ รวมทั้งปัญหาเศรษฐกิจด้วย ซึ่งพรรคพูดเรื่องนี้มา 2 ปีเศษแล้ว ในเวลาที่ประกาศว่าสังคมนำหน้า ใช้การศึกษาเป็นธงนำ
ส่วนที่นายกรัฐมนตรีออกมาตำหนิผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยที่ออกมาพูดเรื่องดังกล่าวนั้น นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่น่าผิดความคาดหมายกันอยู่แล้วว่ารัฐบาลนี้หากใครมีความคิดเห็นแตกต่างจากตัวเอง ถือเป็นผิดทั้งนั้น อย่างไรก็ตามคิดว่าควรให้กำลังใจกับคนเหล่านี้ เพราะหากในบ้านเมืองนี้ไม่มีใครมีความกล้าพอที่จะแสดงความคิดเห็นที่แตกต่างจากฝ่ายมีอำนาจ บ้านเมืองจะยิ่งไปกันใหญ่ จะทำให้ฝ่ายที่มีอำนาจจะถืออำนาจโดยพลการที่จะทำอะไรก็ได้ โดยที่ไม่มีใครทัดทานโต้แย้ง ทำให้ประชาชนในประเทศไม่มีโอกาสเปรียบเทียบความคิดเห็นที่แตกต่างกัน พอนานไปจะทำให้ประชาชนกลายเป็นคนโง่ หรือว่ารัฐบาลต้องการเช่นนั้น เพราะปกครองง่าย ก็แล้วแต่รัฐบาล แต่ตนเชื่อว่าประชาชนวันนี้คงไม่พอใจที่จะอยู่ในภาวะเช่นนั้น และตนมั่นใจว่าจะมีคนกล้าอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะในวงการวิชาการที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากรัฐบาล ที่พร้อมจะออกมาแสดงความคิดเห็นให้ประชาชนได้เปรียบเทียบกัน พร้อมที่จะออกมาชี้ผิดชี้ถูกหรือแม้กระทั่งพร้อมที่จะออกมาเตือนสติรัฐบาล ก่อนที่รัฐบาลจะนำพาประเทศชาติ ไปสู่ความเสียหายตามอำเภอใจมากขึ้น
ทีมโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ 24 ธ.ค. 2547--จบ--
-ดท-