คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบการปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมี จำนวน 95 ประเภทย่อย เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตในประเทศ
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวง การคลัง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบในวันนี้ เป็นสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ค้างการพิจารณาในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตในประเทศเพื่อให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างการผลิต 3 อัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด รายการสินค้าที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบประกอบด้วย โพลิเมอร์และของที่ทำด้วยพลาสติก และยางสังเคราะห์ (พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 39 และ 40) จำนวน 95 ประเภทย่อย ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
1. สินค้าที่นำมาพิจารณาปรับลดอัตราอากรศุลกากรจำนวน 86 ประเภทย่อย (117 รายการ) มีรายละเอียด ดังนี้
(1) ปรับลดอัตราอากรขาเข้าให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างฯ ที่กระทรวงการคลังกำหนดทันทีจำนวน 32 รายการ ได้แก่ โพลิเอทิลีนที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสายโทรศัพท์หรือสายไฟฟ้า ปิโตรเลียมเรซิน และอะมิโนเรซินอื่นๆ เป็นต้น
(2) ปรับลดอัตราอากรขาเข้าต่ำกว่าอัตราอากรตามโครงสร้างที่กระทรวงการคลังกำหนดจำนวน 2 รายการ ได้แก่ โพลิไวนิลแอลกอฮอล์ และโพลิเตตราเมทิลีนอีเทอร์ไกลคอล เนื่องจากเป็นสินค้าที่ยังไม่มีผลิตในประเทศ
(3) ทยอยปรับลดอัตราอากรขาเข้าให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างฯที่กระทรวงการคลังกำหนดในวันที่ 1 มกราคม 2550 จำนวน 83 รายการ ได้แก่ เม็ดพลาสติก หลอดและท่อต่างๆ และแผ่นฟิล์มชนิดต่างๆ เป็นต้น
2. สินค้าซึ่งเกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งยังไม่นำมาพิจารณาปรับลดอัตราอากรขาเข้าในครั้งนี้ แต่จะเก็บไว้ใช้ประโยชน์สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจำนวน 9 ประเภทย่อย ได้แก่ อ่างอาบน้ำ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เป็นต้น
การดำเนินการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ ถึงแม้ว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในส่วนของภาษีศุลกากรไปเป็นจำนวน 3,986 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการสูญเสียรายได้ในแต่ละปี ดังนี้ ปี 2548 จำนวน 1,338 ล้านบาท ปี 2549 และ 2550 จำนวนปีละ 1,324 ล้านบาท แต่ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการผลิตในประเทศจะได้รับจากการปรับลดอัตราอากรขาเข้าของสินค้าในกลุ่มดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตในประเทศโดยเฉพาะอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้สามารถแข่งขันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต และสามารถขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในอนาคต
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 112/2547 28 ธันวาคม 2547--
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวง การคลัง เปิดเผยเพิ่มเติมว่า การปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรสินค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ความเห็นชอบในวันนี้ เป็นสินค้าอุตสาหกรรมพื้นฐานที่ค้างการพิจารณาในส่วนของการปรับปรุงโครงสร้างพิกัดอัตราศุลกากรเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตในประเทศเพื่อให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างการผลิต 3 อัตราที่กระทรวงการคลังกำหนด รายการสินค้าที่คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบประกอบด้วย โพลิเมอร์และของที่ทำด้วยพลาสติก และยางสังเคราะห์ (พิกัดอัตราศุลกากรตอนที่ 39 และ 40) จำนวน 95 ประเภทย่อย ซึ่งสรุปได้ ดังนี้
1. สินค้าที่นำมาพิจารณาปรับลดอัตราอากรศุลกากรจำนวน 86 ประเภทย่อย (117 รายการ) มีรายละเอียด ดังนี้
(1) ปรับลดอัตราอากรขาเข้าให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างฯ ที่กระทรวงการคลังกำหนดทันทีจำนวน 32 รายการ ได้แก่ โพลิเอทิลีนที่นำมาใช้ในอุตสาหกรรมผลิตสายโทรศัพท์หรือสายไฟฟ้า ปิโตรเลียมเรซิน และอะมิโนเรซินอื่นๆ เป็นต้น
(2) ปรับลดอัตราอากรขาเข้าต่ำกว่าอัตราอากรตามโครงสร้างที่กระทรวงการคลังกำหนดจำนวน 2 รายการ ได้แก่ โพลิไวนิลแอลกอฮอล์ และโพลิเตตราเมทิลีนอีเทอร์ไกลคอล เนื่องจากเป็นสินค้าที่ยังไม่มีผลิตในประเทศ
(3) ทยอยปรับลดอัตราอากรขาเข้าให้เข้าสู่อัตราอากรตามโครงสร้างฯที่กระทรวงการคลังกำหนดในวันที่ 1 มกราคม 2550 จำนวน 83 รายการ ได้แก่ เม็ดพลาสติก หลอดและท่อต่างๆ และแผ่นฟิล์มชนิดต่างๆ เป็นต้น
2. สินค้าซึ่งเกี่ยวเนื่องกับผู้บริโภคโดยตรง ซึ่งยังไม่นำมาพิจารณาปรับลดอัตราอากรขาเข้าในครั้งนี้ แต่จะเก็บไว้ใช้ประโยชน์สำหรับการเจรจาการค้าระหว่างประเทศจำนวน 9 ประเภทย่อย ได้แก่ อ่างอาบน้ำ และเครื่องใช้บนโต๊ะอาหาร เป็นต้น
การดำเนินการปรับลดอัตราอากรขาเข้าสินค้าในกลุ่มนี้ ถึงแม้ว่าจะทำให้รัฐสูญเสียรายได้ในส่วนของภาษีศุลกากรไปเป็นจำนวน 3,986 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นการสูญเสียรายได้ในแต่ละปี ดังนี้ ปี 2548 จำนวน 1,338 ล้านบาท ปี 2549 และ 2550 จำนวนปีละ 1,324 ล้านบาท แต่ผลประโยชน์ที่ผู้ประกอบการผลิตในประเทศจะได้รับจากการปรับลดอัตราอากรขาเข้าของสินค้าในกลุ่มดังกล่าว จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับผู้ประกอบการผลิตในประเทศโดยเฉพาะอุตสาหกรรมต่อเนื่องให้สามารถแข่งขันเพื่อเพิ่มศักยภาพในการผลิต และสามารถขยายตลาดในต่างประเทศได้มากขึ้น เนื่องจากมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำลง ซึ่งจะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศในอนาคต
--ข่าวกระทรวงการคลัง กลุ่มการประชาสัมพันธ์ สนง.ปลัดกระทรวงการคลัง ฉบับที่ 112/2547 28 ธันวาคม 2547--