“สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) เผยว่า เศรษฐกิจเดือนพฤศจิกายนขยายตัวต่อเนื่อง คาดผลกระทบจากคลื่นยักษ์อาจส่งผลกระทบไม่เกินร้อยละ 0.3 เนื่องจากรัฐบาลมีมาตรการรองรับอย่างทันท่วงที”
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายนยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ การลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจักรมีแนวโน้มขยายตัวดี การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาครัฐจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีงบประมาณก่อน การผลิตมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีและความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤศจิกายนขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 20.7 จากเดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบปี สะท้อนว่าประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง
การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การลงทุนภาคเอกชนทั้งจากการลงทุนใหม่และใช้ในการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยังคงขยายตัวสูง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนพฤศจิกายนที่ขยายตัวร้อยละ 9.6 ขณะที่การลงทุนภาคก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ 35.5 ในเดือนพฤศจิกายนและปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 22.3 ในเดือนตุลาคม
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์ดี รายจ่ายรัฐบาลตามระบบ สศค. เดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 11.39 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 21.9 ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เป็นผลมาจากการเร่งการส่งออกรับเทศกาลคริสต์มาส ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 19.4 ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 จำนวน 151.6 ล้านดอลลาร์
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงจากร้อยละ 3.5 ในเดือนก่อน เนื่องมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ไก่สด ไข่สด ผักสดและผลไม้สด ปรับตัวลดลง สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.6 ในเดือนตุลาคม ทุนสำรองทางการอยู่ระดับที่แข็งแกร่งที่ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 5.3 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
สำหรับเหตุการณ์คลื่นยักษ์ใน 6 จังหวัดภาคใต้
ดร. นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงว่า สศค. ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น ในเบื้องต้นคาดว่า จะมีผลกระทบทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน กล่าวคือ ด้านอุปสงค์คือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไป ส่วนด้านอุปทาน คือ ความเสียหายของสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนน โรงแรม บ้านเรือน และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและใต้ทะเล แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วคาดว่าผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจาก ขนาดของเศรษฐกิจของ 6 จังหวัด (ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล) รวมกันมีขนาดคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของขนาดเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศ และที่สำคัญ รัฐบาลรวมทั้งภาคเอกชนได้มีมาตรการรองรับเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับ สศค. ได้ใช้แบบจำลองเศรษฐกิจประเมินว่าจะทำให้เศรษฐกิจในปี 2548 ขยายตัวลดลงร้อยละ 0.3 ต่อปี
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเสริมว่า สำหรับมาตรการของรัฐบาลที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การอนุมัติงบกลางจำนวน 28,000 ล้านบาท มาตรการทางด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงิน มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าว รัฐบาลยังมีมาตรการอื่นๆ ได้แก่ มาตรการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวและสาธารณูปโภค โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศกลับมาท่องเที่ยวในฝั่งทะเลอันดามันหรือมาเที่ยวฝั่งอ่าวไทยมากขึ้น และการเร่งบูรณะและก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่โดนทำลายขึ้นมาใหม่ และเร่งฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและใต้ทะเล ตลอดจนจัดวางผังเมืองขึ้นมาใหม่ เหล่านี้ จะทำให้สาขาการท่องเที่ยวกลับมาเป็นที่สนใจและรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ถือเป็นการพลิกโฉมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดย (1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 20.7 ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนความต้องการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 13.5 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่หดตัวร้อยละ 12 ในเดือนก่อนหน้า (3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.3 จุด ปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน เนื่องจาก ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศปรับลดลง และประชาชนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และปัญหาความไม่สงบของภาคใต้ (4) มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 2.0 ในเดือนตุลาคม
การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย (1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤศจิกายนยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราเร่งที่ร้อยละ 35.5 (2) การลงทุนปรับปรุงการผลิตเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 9.6 เดือนพฤศจิกายน (3) มูลค่าของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม — พฤศจิกายน อยู่ที่ 507.3 พันล้านบาทขยายตัวที่ร้อยละ 72.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 22.3 ในเดือนตุลาคม
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง (1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 21.9 ต่อเนื่องจากร้อยละ 21.5 ในเดือนก่อน โดยเป็นการขยายตัวเกินร้อยละ 20 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 การขยายตัวของการส่งออกที่สูงเป็นผลจากการเร่งส่งออกรับเทศการคริสต์มาส และปีใหม่ (2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 ลดลงจากขยายตัวที่ร้อยละ 19.4 ในเดือนตุลาคม (3) ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุลเล็กน้อยที่ 151.6 ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เกินดุล 673.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม เนื่องมาจากการการส่งออกที่ขยายตัวอย่างสูงถึงแม้การขยายตัวของการนำเข้าจะสูงขึ้นก็ตาม (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านท่าอากาศยานดอนเมืองเดือนตุลาคมมีจำนวน 6.7 แสนราย ขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 ลดลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 16.4
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยรายจ่ายรัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษา และวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 11.39 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 33.2 โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 ขณะที่รายจ่ายลงทุนหดตัวตัวที่ร้อยละ 4.7
การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 5.6 อยู่ที่ 151.3 จุด โดยหมวดอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) หดตัวลงร้อยละ 9.2 ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึง ร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 9.4และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30 หดตัวร้อยละ 3.7 ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 74.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.9 ในเดือนก่อน
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในอัตราเร่ง ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราชะลอตัว เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดย (1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 3.2 (2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 11.6 ในเดือนตุลาคม ตามความต้องการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย (1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1,212.8 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 หรือขยายตัวร้อยละ 10.4 (2) สินเชื่อคงค้าง ขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างสุทธิโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1,031 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2 อยู่ที่ 105.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด (4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 (5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1,546.2 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจมีกำไรสุทธิ จำนวน 13 พันล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง (1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงจากร้อยละ 3.5ในเดือนก่อนเนื่องมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ไก่สด ไข่สด ผักสดและผลไม้สด ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีการปรับราคาสูงขึ้นได้แก่ ข้าวสาร เนื้อสุกร ปลาและสัตว์น้ำ (2) อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.6 ในเดือนตุลาคม (3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนกันยายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,064 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเกินดุล 647 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน (4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 5.3 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
รายงานฐานะการคลัง
ดุลการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค. เบื้องต้นในปีงบประมาณ 2548 (ต.ค. — พ.ย. 47)
การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้หลังหักนับซ้ำแล้วจำนวน 192,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ด้านรายได้ รัฐบาลมีรายได้รวม 208,616 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 161,176 ล้านบาท รายได้จากเงินฝากนอกงบประมาณ เงินช่วยเหลือ และกองทุนนอกงบประมาณจำนวน 47,440 ล้านบาท รัฐบาลมีรายได้สุทธิหลังหักนับซ้ำแล้วจำนวน 192,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 5,169 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8
เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2548 มีจำนวน 209,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 27.7 ด้านรายจ่าย รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 225,519 ล้านบาท โดยจ่ายจากเงินงบประมาณจำนวน 203,161 ล้านบาท จากเงินฝากนอกงบประมาณ เงินช่วยเหลือ กองทุนนอกงบประมาณ และรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศจำนวน 22,358 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ(หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 209,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 27.7 ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 195,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 29.6 และรายจ่ายลงทุน 13,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.8
ผลการดำเนินนโยบายการคลังในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลขาดดุลจำนวน 31,154 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาล (Central Government) ขาดดุลทั้งสิ้น 31,154 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกินดุลจำนวน 11,944 ล้านบาท
คาดการณ์ดุลการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค. ปีงบประมาณ 2548
ดุลการคลังของภาคสาธารณะตลอดปี จะเกินดุลเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 1.7 ของ GDP ตลอดปีงบประมาณ 2548 คาดว่าดุลการคลังของภาคสาธารณะตามระบบ สศค.จะเกินดุล 176,398 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 1.7 ของ GDP ทั้งนี้เป็นผลจากการเกินดุลของรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 1.9 0.4 และ 0.2 ตามลำดับ
ดุลการคลังตามระบบกระแสเงินสด ในปีงบประมาณ 2548 (ต.ค. — พ.ย. 47)
ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลตามระบบกระแสเงินสด 109,791 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 1.6 ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 52,610 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนแรกของ 2548 ปีงบประมาณ รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 143,810 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 7,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 ขณะที่การเบิกจ่ายมีจำนวนทั้งสิ้น 202,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 33,199 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 58,887 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 50,904 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 109,791 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 57,181 ล้านบาท สาเหตุสำคัญที่ขาดดุลมากขึ้นเนื่องจากในเดือนตุลาคมมีการโอนรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจจำนวน 17,366 ล้านบาท รายจ่ายจากเงินอุดหนุนให้ส่วนราชการประมาณ 36,000 ล้านบาท และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติถอนเงินออกจากคลังจำนวน 8,900 ล้านบาท ส่วนดุลงบประมาณเบื้องต้น ขาดดุล 52,512 ล้านบาท
หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,109.9 พันล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 48.17 ของ GDP หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 กันยายน 2547 มีจำนวน 3,109,975 ล?นบาท หรือร?อยละ 48.17 ของ GDP เป็น หนี้ที่รัฐบาลกู?โดยตรง 1,828,412 ล?นบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม?เป?นสถาบันการเงิน 882,561 ล?นบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟ??นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 318,914 ล?นบาท หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 125,509 ล?นบาท จากเดือนก่อน โดย หนี้ที่รัฐบาลกู?โดยตรงลดลง 60,933 ล?นบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม?เป?นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 7,176 ล?นบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟ??นฟูฯ เพิ่มขึ้น 57,401 ล?นบาทหนี้สาธารณะจำแนกได?เป?น หนี้ต?งประเทศ 654,031 ล?นบาท หรือร?อยละ 21.03 หนี้ในประเทศ 2,057,030 ล?นบาท หรือร?อยละ 77.58
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 16/2547 29 ธันวาคม 2547--
นายสมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง แถลงรายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2547 ดังนี้
เศรษฐกิจไทยในเดือนพฤศจิกายนยังคงขยายตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อน โดยการบริโภคภาคเอกชนและการส่งออกเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ การลงทุนภาคเอกชนในภาคก่อสร้างและเครื่องมือเครื่องจักรมีแนวโน้มขยายตัวดี การค้าระหว่างประเทศทั้งการส่งออกและนำเข้าขยายตัวสูง การใช้จ่ายภาครัฐจะขยายตัวอย่างต่อเนื่องจากปีงบประมาณก่อน การผลิตมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้นเสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศมีความมั่นคงอยู่ในเกณฑ์ดี ในขณะที่ฐานะการคลังอยู่ในกรอบของความยั่งยืนทางการคลัง
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีและความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับตัวสูงขึ้นอีกครั้ง โดยภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศเดือนพฤศจิกายนขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 20.7 จากเดือนก่อน ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคปรับเพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบปี สะท้อนว่าประชาชนเริ่มมีความเชื่อมั่นว่าเศรษฐกิจจะขยายตัวต่อเนื่อง
การลงทุนภาคเอกชนยังคงมีแนวโน้มขยายตัวสูง การลงทุนภาคเอกชนทั้งจากการลงทุนใหม่และใช้ในการขยายและปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตยังคงขยายตัวสูง โดยมูลค่าการนำเข้าสินค้าทุนเดือนพฤศจิกายนที่ขยายตัวร้อยละ 9.6 ขณะที่การลงทุนภาคก่อสร้างยังคงมีแนวโน้มที่ดีตามการขยายตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ สะท้อนจากรายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวร้อยละ 35.5 ในเดือนพฤศจิกายนและปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์เพิ่มขึ้นที่ร้อยละ 22.3 ในเดือนตุลาคม
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์ดี รายจ่ายรัฐบาลตามระบบ สศค. เดือนพฤศจิกายน อยู่ที่ 11.39 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 33.2 เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 21.9 ขยายตัวมากกว่าร้อยละ 20 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 เป็นผลมาจากการเร่งการส่งออกรับเทศกาลคริสต์มาส ขณะที่มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 เร่งขึ้นจากร้อยละ 19.4 ในเดือนก่อน ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุลติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 จำนวน 151.6 ล้านดอลลาร์
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง โดยอัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงจากร้อยละ 3.5 ในเดือนก่อน เนื่องมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ไก่สด ไข่สด ผักสดและผลไม้สด ปรับตัวลดลง สำหรับอัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.6 ในเดือนตุลาคม ทุนสำรองทางการอยู่ระดับที่แข็งแกร่งที่ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 5.3 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
สำหรับเหตุการณ์คลื่นยักษ์ใน 6 จังหวัดภาคใต้
ดร. นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงว่า สศค. ขอแสดงความเสียใจต่อผู้ประสบภัยใน 6 จังหวัดภาคใต้ รวมถึงชาวต่างประเทศที่มาท่องเที่ยวในประเทศไทย
สำหรับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นนั้น ในเบื้องต้นคาดว่า จะมีผลกระทบทั้งด้านอุปสงค์และอุปทาน กล่าวคือ ด้านอุปสงค์คือ จำนวนนักท่องเที่ยวที่หายไป ส่วนด้านอุปทาน คือ ความเสียหายของสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น ถนน โรงแรม บ้านเรือน และทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและใต้ทะเล แต่เมื่อพิจารณาโดยรวมแล้วคาดว่าผลกระทบไม่มากนัก เนื่องจาก ขนาดของเศรษฐกิจของ 6 จังหวัด (ภูเก็ต พังงา กระบี่ ระนอง ตรัง และสตูล) รวมกันมีขนาดคิดเป็นร้อยละ 2.7 ของขนาดเศรษฐกิจรวมทั้งประเทศ และที่สำคัญ รัฐบาลรวมทั้งภาคเอกชนได้มีมาตรการรองรับเหตุการณ์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับ สศค. ได้ใช้แบบจำลองเศรษฐกิจประเมินว่าจะทำให้เศรษฐกิจในปี 2548 ขยายตัวลดลงร้อยละ 0.3 ต่อปี
นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเสริมว่า สำหรับมาตรการของรัฐบาลที่ได้มีการดำเนินการไปแล้ว ได้แก่ การอนุมัติงบกลางจำนวน 28,000 ล้านบาท มาตรการทางด้านภาษีอากรและค่าธรรมเนียม มาตรการช่วยเหลือด้านการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยและสถาบันการเงิน มาตรการเพิ่มความคล่องตัวการเบิกจ่ายเงินทดรองราชการ
นอกเหนือจากมาตรการดังกล่าว รัฐบาลยังมีมาตรการอื่นๆ ได้แก่ มาตรการฟื้นฟูแหล่งท่องเที่ยวและสาธารณูปโภค โดยส่งเสริมการท่องเที่ยวเพื่อดึงดูดให้นักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศกลับมาท่องเที่ยวในฝั่งทะเลอันดามันหรือมาเที่ยวฝั่งอ่าวไทยมากขึ้น และการเร่งบูรณะและก่อสร้างสาธารณูปโภคพื้นฐานที่โดนทำลายขึ้นมาใหม่ และเร่งฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติทั้งบนบกและใต้ทะเล ตลอดจนจัดวางผังเมืองขึ้นมาใหม่ เหล่านี้ จะทำให้สาขาการท่องเที่ยวกลับมาเป็นที่สนใจและรองรับการกลับมาของนักท่องเที่ยว ถือเป็นการพลิกโฉมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน
รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลังเดือนพฤศจิกายน 2547
การบริโภคภาคเอกชนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี โดย (1) ภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากการบริโภคภายในประเทศขยายตัวร้อยละ 20.7 ในเดือนพฤศจิกายน สะท้อนความต้องการบริโภคภาคเอกชนที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง (2) ภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บจากสินค้าคงทนขยายตัวร้อยละ 13.5 ในเดือนพฤศจิกายน หลังจากที่หดตัวร้อยละ 12 ในเดือนก่อนหน้า (3) ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤศจิกายนปรับขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 90.3 จุด ปรับขึ้นเป็นครั้งแรกในรอบ 11 เดือน เนื่องจาก ราคาน้ำมันเบนซินในประเทศปรับลดลง และประชาชนคลายความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไข้หวัดนก และปัญหาความไม่สงบของภาคใต้ (4) มูลค่าการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคเดือนพฤศจิกายน เพิ่มขึ้นร้อยละ 12.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับปริมาณการนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคขยายตัวร้อยละ 2.0 ในเดือนตุลาคม
การลงทุนภาคเอกชนยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดย (1) รายได้ภาษีที่จัดเก็บจากการทำธุรกรรมอสังหาริมทรัพย์เดือนพฤศจิกายนยังคงขยายตัวต่อเนื่องในอัตราเร่งที่ร้อยละ 35.5 (2) การลงทุนปรับปรุงการผลิตเพื่อรองรับการขยายตัวของอุปสงค์ทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ โดยการนำเข้าสินค้าทุนขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดีที่ร้อยละ 9.6 เดือนพฤศจิกายน (3) มูลค่าของโครงการที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนสะสมตั้งแต่เดือนมกราคม — พฤศจิกายน อยู่ที่ 507.3 พันล้านบาทขยายตัวที่ร้อยละ 72.1 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (4) ปริมาณการจำหน่ายซีเมนต์ในประเทศขยายตัวในอัตราเร่งที่ร้อยละ 22.3 ในเดือนตุลาคม
การค้าระหว่างประเทศขยายตัวสูง (1) มูลค่าการส่งออกเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.8 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ขยายตัวร้อยละ 21.9 ต่อเนื่องจากร้อยละ 21.5 ในเดือนก่อน โดยเป็นการขยายตัวเกินร้อยละ 20 ติดต่อกันเป็นเดือนที่ 6 การขยายตัวของการส่งออกที่สูงเป็นผลจากการเร่งส่งออกรับเทศการคริสต์มาส และปีใหม่ (2) มูลค่าการนำเข้าเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 8.6 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 31.0 ลดลงจากขยายตัวที่ร้อยละ 19.4 ในเดือนตุลาคม (3) ดุลการค้าเดือนพฤศจิกายนเกินดุลเล็กน้อยที่ 151.6 ดอลลาร์ สรอ. หลังจากที่เกินดุล 673.2 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนตุลาคม เนื่องมาจากการการส่งออกที่ขยายตัวอย่างสูงถึงแม้การขยายตัวของการนำเข้าจะสูงขึ้นก็ตาม (4) จำนวนนักท่องเที่ยวต่างประเทศที่เดินทางเข้าประเทศไทยผ่านท่าอากาศยานดอนเมืองเดือนตุลาคมมีจำนวน 6.7 แสนราย ขยายตัวที่ร้อยละ 11.0 ลดลงจากเดือนก่อนที่ขยายตัวร้อยละ 16.4
การใช้จ่ายภาครัฐขยายตัวในเกณฑ์ดี โดยรายจ่ายรัฐบาลตามระบบสถิติเพื่อการศึกษา และวิเคราะห์นโยบายการคลัง (GFS) เดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ 11.39 พันล้านบาท ขยายตัวร้อยละ 33.2 โดยแบ่งเป็นรายจ่ายประจำเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.4 ขณะที่รายจ่ายลงทุนหดตัวตัวที่ร้อยละ 4.7
การผลิตภาคอุตสาหกรรมมีแนวโน้มที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 5.6 อยู่ที่ 151.3 จุด โดยหมวดอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อการส่งออก (ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกมากกว่าร้อยละ 60) หดตัวลงร้อยละ 9.2 ส่วนอุตสาหกรรมที่ผลิตเพื่อส่งออกระหว่างร้อยละ 30 ถึง ร้อยละ 60 ขยายตัวร้อยละ 9.4และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมที่ส่งออกน้อยกว่าร้อยละ 30 หดตัวร้อยละ 3.7 ส่วนอัตราการใช้กำลังการผลิตเดือนตุลาคมอยู่ที่ร้อยละ 74.6 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 69.9 ในเดือนก่อน
สินเชื่อธนาคารพาณิชย์ยังคงขยายตัวในอัตราเร่ง ขณะที่เงินฝากขยายตัวในอัตราชะลอตัว เมื่อเทียบกับเดือนก่อน โดย (1) เงินฝากของธนาคารพาณิชย์เดือนตุลาคมขยายตัวร้อยละ 3.2 (2) สินเชื่อธนาคารพาณิชย์บวกกลับตัดหนี้สูญและหนี้ที่โอนไป AMCs แต่ไม่รวมสินเชื่อที่ให้ AMCs ขยายตัวต่อเนื่องร้อยละ 11.6 ในเดือนตุลาคม ตามความต้องการลงทุนของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
สถาบันการเงินเฉพาะกิจส่วนใหญ่ มีฐานะการเงินที่มั่นคง โดย (1) เงินฝากของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยอยู่ที่ระดับ 1,212.8 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 หรือขยายตัวร้อยละ 10.4 (2) สินเชื่อคงค้าง ขยายตัวได้ดี โดยสินเชื่อคงค้างสุทธิโดยรวมมีจำนวนทั้งสิ้น 1,031 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 (3) หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ2 อยู่ที่ 105.3 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ปี 47 คิดเป็นร้อยละ 10.6 ของสินเชื่อคงค้างทั้งหมด (4) อัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงโดยทั่วไปแล้วยังคงสูงกว่ามาตรฐาน กล่าวคือ สถาบันการเงินเฉพาะกิจทุกแห่งมีเงินกองทุนสูงกว่าอัตราร้อยละ 8.5 ที่ธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนด โดยมีสถาบันการเงินเฉพาะกิจจำนวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย และธนาคารออมสิน มีเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยงสูงกว่าร้อยละ 15 (5) สินทรัพย์โดยรวมของสถาบันการเงินเฉพาะกิจทั้ง 8 แห่ง อยู่ที่ 1,546.2 พันล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ส่วนผลประกอบการของสถาบันการเฉพาะกิจมีกำไรสุทธิ จำนวน 13 พันล้านบาท
เสถียรภาพทางเศรษฐกิจทั้งภายใน และภายนอกประเทศอยู่ในระดับที่มั่นคง (1) อัตราเงินเฟ้อเดือนพฤศจิกายนอยู่ที่ร้อยละ 3.0 ลดลงจากร้อยละ 3.5ในเดือนก่อนเนื่องมาจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ไก่สด ไข่สด ผักสดและผลไม้สด ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อน ขณะที่กลุ่มสินค้าที่มีการปรับราคาสูงขึ้นได้แก่ ข้าวสาร เนื้อสุกร ปลาและสัตว์น้ำ (2) อัตราการว่างงานอยู่ในระดับต่ำที่ร้อยละ 1.6 ในเดือนตุลาคม (3) ดุลบัญชีเดินสะพัดเดือนกันยายนเกินดุลทั้งสิ้น 1,064 ล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นจากเกินดุล 647 ล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนก่อน (4) ทุนสำรองทางการอยู่ที่ 48.3 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ในเดือนพฤศจิกายน คิดเป็น 5.3 เดือนของมูลค่าการนำเข้า หรือประมาณ 3.9 เท่าของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น
รายงานฐานะการคลัง
ดุลการคลังของรัฐบาลตามระบบ สศค. เบื้องต้นในปีงบประมาณ 2548 (ต.ค. — พ.ย. 47)
การฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของเศรษฐกิจส่งผลให้รัฐบาลมีรายได้หลังหักนับซ้ำแล้วจำนวน 192,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว ด้านรายได้ รัฐบาลมีรายได้รวม 208,616 ล้านบาท โดยมีรายได้นำส่งคลัง 161,176 ล้านบาท รายได้จากเงินฝากนอกงบประมาณ เงินช่วยเหลือ และกองทุนนอกงบประมาณจำนวน 47,440 ล้านบาท รัฐบาลมีรายได้สุทธิหลังหักนับซ้ำแล้วจำนวน 192,534 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 5,169 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 2.8
เม็ดเงินที่อัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในปีงบประมาณ 2548 มีจำนวน 209,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 27.7 ด้านรายจ่าย รัฐบาลได้จ่ายเงินไปแล้วรวมทั้งสิ้น 225,519 ล้านบาท โดยจ่ายจากเงินงบประมาณจำนวน 203,161 ล้านบาท จากเงินฝากนอกงบประมาณ เงินช่วยเหลือ กองทุนนอกงบประมาณ และรายจ่ายเงินกู้ต่างประเทศจำนวน 22,358 ล้านบาท ส่งผลให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ(หลังหักนับซ้ำแล้ว) จำนวน 209,437 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วถึงร้อยละ 27.7 ประกอบด้วยรายจ่ายประจำ 195,579 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 29.6 และรายจ่ายลงทุน 13,859 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้วร้อยละ 5.8
ผลการดำเนินนโยบายการคลังในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลขาดดุลจำนวน 31,154 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP ดุลการคลัง (Fiscal Balance) ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2548 รัฐบาล (Central Government) ขาดดุลทั้งสิ้น 31,154 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 0.4 ของ GDP ขณะที่ช่วงเดียวกันของปีที่แล้วเกินดุลจำนวน 11,944 ล้านบาท
คาดการณ์ดุลการคลังภาคสาธารณะตามระบบ สศค. ปีงบประมาณ 2548
ดุลการคลังของภาคสาธารณะตลอดปี จะเกินดุลเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP เทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 1.7 ของ GDP ตลอดปีงบประมาณ 2548 คาดว่าดุลการคลังของภาคสาธารณะตามระบบ สศค.จะเกินดุล 176,398 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 2.5 ของ GDP เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งเกินดุลร้อยละ 1.7 ของ GDP ทั้งนี้เป็นผลจากการเกินดุลของรัฐบาล องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และรัฐวิสาหกิจ คิดเป็นร้อยละ 1.9 0.4 และ 0.2 ตามลำดับ
ดุลการคลังตามระบบกระแสเงินสด ในปีงบประมาณ 2548 (ต.ค. — พ.ย. 47)
ดุลเงินสดของรัฐบาลขาดดุลตามระบบกระแสเงินสด 109,791 ล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 1.6 ของ GDP ขาดดุลเพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปีที่แล้ว 52,610 ล้านบาท ในช่วง 2 เดือนแรกของ 2548 ปีงบประมาณ รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังรวมทั้งสิ้น 143,810 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 7,049 ล้านบาท หรือร้อยละ 4.7 ขณะที่การเบิกจ่ายมีจำนวนทั้งสิ้น 202,697 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีที่แล้ว 33,199 ล้านบาท หรือร้อยละ 19.6 ส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณขาดดุล 58,887 ล้านบาท เมื่อรวมกับการขาดดุลเงินนอกงบประมาณ 50,904 ล้านบาท ทำให้รัฐบาลขาดดุลเงินสด 109,791 ล้านบาท ขณะที่ช่วงเดียวกันปีที่แล้วขาดดุล 57,181 ล้านบาท สาเหตุสำคัญที่ขาดดุลมากขึ้นเนื่องจากในเดือนตุลาคมมีการโอนรายได้ให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นตามพระราชบัญญัติกำหนดแผนและขั้นตอนกระจายอำนาจจำนวน 17,366 ล้านบาท รายจ่ายจากเงินอุดหนุนให้ส่วนราชการประมาณ 36,000 ล้านบาท และกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติถอนเงินออกจากคลังจำนวน 8,900 ล้านบาท ส่วนดุลงบประมาณเบื้องต้น ขาดดุล 52,512 ล้านบาท
หนี้สาธารณะ
หนี้สาธารณะ ณ สิ้นเดือนกันยายน 2547 มีจำนวนทั้งสิ้น 3,109.9 พันล้านบาท คิดเป็น ร้อยละ 48.17 ของ GDP หนี้สาธารณะคงค้าง ณ วันที่ 31 กันยายน 2547 มีจำนวน 3,109,975 ล?นบาท หรือร?อยละ 48.17 ของ GDP เป็น หนี้ที่รัฐบาลกู?โดยตรง 1,828,412 ล?นบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม?เป?นสถาบันการเงิน 882,561 ล?นบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟ??นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน 318,914 ล?นบาท หนี้สาธารณะคงค้างเพิ่มขึ้น 125,509 ล?นบาท จากเดือนก่อน โดย หนี้ที่รัฐบาลกู?โดยตรงลดลง 60,933 ล?นบาท หนี้ของรัฐวิสาหกิจที่ไม?เป?นสถาบันการเงินเพิ่มขึ้น 7,176 ล?นบาท หนี้สินของกองทุนเพื่อการฟ??นฟูฯ เพิ่มขึ้น 57,401 ล?นบาทหนี้สาธารณะจำแนกได?เป?น หนี้ต?งประเทศ 654,031 ล?นบาท หรือร?อยละ 21.03 หนี้ในประเทศ 2,057,030 ล?นบาท หรือร?อยละ 77.58
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 16/2547 29 ธันวาคม 2547--