นางอัจนา ไวความดี ผู้ช่วยผู้ว่าการสายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงถึงผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินในวันนี้ ซึ่งที่ประชุมได้พิจารณาภาวะเศรษฐกิจและแนวโน้มในระยะต่อไป เพื่อกำหนดแนวนโยบายการเงินที่เหมาะสม โดยมีประเด็นที่สำคัญ ดังนี้
1. จากข้อมูลล่าสุด เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2547 และมกราคม 2548 ชะลอตัวจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและภาวะภัยแล้ง นอกจากนี้ การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น แต่ในปีนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงใกล้เคียงกับที่ประมาณไว้เดิม โดยมีการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่ปรับฤดูกาลแล้วในเดือนกุมภาพันธ์เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและการปรับราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ปรับฤดูกาลแล้วเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศ แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลในเดือนมกราคมนี้เนื่องจากการนำเข้า เร่งตัวสูงขึ้นและผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่คณะกรรมการฯ ประเมินว่า สถานการณ์ดังกล่าวนี้น่าจะเป็นภาวะชั่วคราว
3. คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจจะมีแรงกดดันด้านราคาเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในระยะที่ผ่านมา นอกจากนั้น การสูงขึ้นของราคาน้ำมันในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี มีโอกาสทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปเร่งตัวมากขึ้น อีกทั้ง ผลกระทบของเหตุการณ์ภัยธรรมชาติมิได้รุนแรงกว่าที่ได้ประเมินไว้ในการประชุมครั้งที่แล้ว ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าควรจะปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันจากร้อยละ 2 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยมีผลทันที
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. จากข้อมูลล่าสุด เศรษฐกิจไทยในเดือนธันวาคม 2547 และมกราคม 2548 ชะลอตัวจากเหตุการณ์ภัยธรรมชาติและภาวะภัยแล้ง นอกจากนี้ การส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวในอัตราที่ชะลอลง คณะกรรมการฯ ประเมินว่า ความเสี่ยงต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจมีมากขึ้น แต่ในปีนี้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงใกล้เคียงกับที่ประมาณไว้เดิม โดยมีการลงทุนของภาครัฐและภาคเอกชนเป็นปัจจัยขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำคัญ
2. ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปที่ปรับฤดูกาลแล้วในเดือนกุมภาพันธ์เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและการปรับราคาน้ำมันดีเซลภายในประเทศ ขณะที่ดัชนีราคาผู้บริโภคพื้นฐานที่ปรับฤดูกาลแล้วเร่งตัวขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน สำหรับเสถียรภาพต่างประเทศ แม้ว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะขาดดุลในเดือนมกราคมนี้เนื่องจากการนำเข้า เร่งตัวสูงขึ้นและผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง แต่คณะกรรมการฯ ประเมินว่า สถานการณ์ดังกล่าวนี้น่าจะเป็นภาวะชั่วคราว
3. คณะกรรมการฯ เห็นว่า เศรษฐกิจจะมีแรงกดดันด้านราคาเพิ่มขึ้นในระยะต่อไป เนื่องจากต้นทุนการผลิตได้เพิ่มขึ้นค่อนข้างมากในระยะที่ผ่านมา นอกจากนั้น การสูงขึ้นของราคาน้ำมันในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวอยู่ในเกณฑ์ดี มีโอกาสทำให้เงินเฟ้อในระยะต่อไปเร่งตัวมากขึ้น อีกทั้ง ผลกระทบของเหตุการณ์ภัยธรรมชาติมิได้รุนแรงกว่าที่ได้ประเมินไว้ในการประชุมครั้งที่แล้ว ดังนั้น คณะกรรมการฯ จึงเห็นว่าควรจะปรับดอกเบี้ยสูงขึ้นเพื่อรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจอันจะเอื้อต่อการขยายตัวอย่างต่อเนื่องในระยะยาว
คณะกรรมการฯ จึงมีมติให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตรระยะ 14 วันจากร้อยละ 2 ต่อปี เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยมีผลทันที
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--