ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ในเดือน ก.พ.48 ธพ.ขยายสาขาย่อยเพิ่มขึ้นรวม 7 สาขา รายงานจากธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ.48 ได้มี ธพ.ขยายสาขาย่อยเพิ่มขึ้นรวม 7 สาขา เป็นการเพิ่มสาขา
ย่อยของ ธ.กรุงเทพ 1 สาขา ซึ่งเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าทำให้ ธ.กรุงเทพมีทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 649
สาขา นอกจากนี้เป็นการเพิ่มสาขาย่อย 3 สาขาของ ธ.ไทยพาณิชย์ ทดแทนการปิดสาขาเต็มรูปแบบไป 1 สาขา
ส่งผลให้ ธ.ไทยพาณิชย์มีสาขาในปัจจุบันทั้งหมด 566 สาขา ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยาก็ได้เปิดสาขาย่อยอีก 2
สาขา ทำให้ ธ.กรุงศรีอยุธยามีสาขาทั้งหมด 441 สาขา ส่วน ธ.ไทยธนาคารได้เปิดสาขาย่อยอีก 1 สาขา ทำให้
ไทยธนาคารมีสาขาทั้งสิ้น 99 สาขา ด้าน ธพ.ทุกแห่งมีนโยบายที่จะเปิดสาขาย่อยตามศูนย์การค้าเพื่อตอบสนอง
ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งลดข้อจำกัดเรื่องของเวลาเปิดให้บริการ ในขณะที่ ธพ.จะมีต้นทุนเรื่อง
ของสาขาที่ต่ำกว่าสาขาเต็มรูปแบบ โดยส่วนใหญ่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในการให้บริการ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์
ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยตอบสนองลูกค้าได้ (ผู้จัดการรายวัน)
2. คปน.ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในเดือน ม.ค.48 สำเร็จ 15 ราย มูลหนี้ 41 ล้านบาท รายงาน
จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของคณะกรรมการเพื่อ
ส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ว่า ในเดือน ม.ค.48 มีลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อยุติจำนวน 61 ราย มูล
หนี้ 442 ล้านบาท โดยสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 15 ราย มูลหนี้ 41 ล้านบาท และไม่สำเร็จ 46
ราย มูลหนี้ 401 ล้านบาท ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ ประกอบธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล การ
พาณิชย์ และการเกษตร ประมง ป่าไม้ นอกจากนี้ ในเดือน ม.ค.ยังมีลูกหนี้เป้าหมายรายใหม่ ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่อยู่
ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเข้าโครงการ คปน.เพิ่มอีก 32 ราย มูลหนี้ 124 ล้านบาท
รวมเป็นลูกหนี้เป้าหมายที่เข้าโครงการ คปน.ตั้งแต่ปี 41 ถึง ม.ค.48 มี 17,733 ราย มูลหนี้ 2.88 ล้านล้าน
บาท ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อยุติแล้ว 14,155 ราย มูลหนี้ 1.92 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้มีลูกหนี้ที่ปรับ
โครงสร้างหนี้สำเร็จ 11,456 ราย มูลหนี้ 1.49 ล้านล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่ คปน.จะเจรจาต่อไปมีจำนวน
270 ราย มูลหนี้ 1,127 ล้านบาท (เดลินิวส์)
3. ผลการดำเนินงานของ บจ.ปี 47 มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลัก
ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในปี 47 บจ.ใน ตลท.และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน
457 บริษัท หรือร้อยละ 98 ของบจ.ทั้งหมด 468 บริษัทส่งงบการเงินมา ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานประจำปี
47 ของบจ.มีกำไรสุทธิรวมสูงถึง 464,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 46 ที่มีกำไรสุทธิรวม
37,986 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่ม
ทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. กรมสรรพากรเสนอ ก.คลังชะลอมาตรการภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิด
เผยว่า จากผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 5 เดือนของปีงบประมาณ 48 ที่ยังคงจัดเก็บรายได้สูง
กว่าประมาณการร้อยละ 11.9 ทำให้กรมสรรพากรประเมินว่าตลอดทั้งปีนี้จะจัดเก็บรายได้ 870,000 ล้านบาท
หรือสูงกว่าประมาณการ 50,000 ล้านบาท เพราะมาตรการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรได้ประเมินผลกระทบที่เกิด
ขึ้นอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีเพื่อลดภาระภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยตามนโยบายของ
รมว.คลังที่ยังไม่ได้มีการประกาศใช้อีก 2 รายการ คือ 1) การเพิ่มการให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากการจ้าง
แรงงาน หรือรายได้จากเงินเดือน และ 2) การยกระดับรายได้ที่ต้องคำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอด
รายได้พึงประเมิน (ภาษีเหมาจ่าย) ซึ่งก่อนหน้านี้กรมฯ ได้เสนอให้ ก.คลังรับทราบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การตัดสิน
ใจจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะประกาศใช้หรือไม่ เพราะการลดภาษีทำให้รายได้ลดลงอย่างแน่
นอน โดยกรมฯ ประเมินไว้แล้วว่าหากมีการปรับอัตราภาษีทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวจะส่งผลให้กรมสรรพากรสูญเสีย
รายได้รวมประมาณ 14,799 ล้านบาท แบ่งเป็น การเพิ่มการให้หักค่าใช้จ่ายประมาณ 13,544 ล้านบาท และภาษี
เหมาจ่ายประมาณ 1,255 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อการจัดเก็บรายได้โดยรวมของภาครัฐ (ผู้จัดการ
รายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิว, แนวหน้า)
5. อัตราการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีในปี 48 มีแนวโน้มติดลบ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึง แนวโน้มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
ในปี 48 ว่า คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวของธุรกิจติดลบ เนื่องจากเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุน
การผลิตที่สูงขึ้นเกือบร้อยละ 100 จากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 100 ทั้งวัตถุดิบประเภท
เหล็ก ทองแดง และพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการปรับอัตราค่า
แรงงานใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวในระดับสูง (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ในเดือน ก.พ.48 มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 262,000 ตำแหน่งใน สรอ.สูงสุดในรอบ 4 เดือน
ในขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 4 มี.ค.48 กรมแรงงานของ สรอ.
รายงานมีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 262,000 ตำแหน่งใน สรอ. ในเดือน ก.พ. 48 สูงสุดในรอบ 4 เดือนหลัง
จากเพิ่มขึ้นคงที่อยู่ในระดับ 132,000 ตำแหน่ง 3 เดือนติดต่อกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้นใน
ภาคบริการจำนวน 207,000 ตำแหน่ง ในขณะที่งานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่เดือน ส.ค.47 จากการกลับเข้าทำงานของคนงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ถูกปลดออกไปก่อนหน้านี้ นอก
จากนี้การจ้างงานในภาคการก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น 30,000 ตำแหน่งหลังจากอยู่ในระดับคงที่ในเดือน ม.ค.48 จาก
สภาพอากาศที่หนาวเย็นผิดปรกติ กรมแรงงานยังได้รายงานจำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์อยู่ในระดับคงที่ 33.7
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่รายได้ต่อชั่วโมงอยู่ในระดับคงที่ 15.90 ดอลลลาร์ สรอ.ต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้น 5 เซนต์
จากเดือน ม.ค.48 ช่วยคลายความกังวลว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อจากการที่ค่าแรงสูงขึ้น ในขณะที่รายงานอีกฉบับ
หนึ่งจากผลสำรวจภาคครัวเรือนระบุว่าอัตราการว่างงานในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 จากร้อยละ
5.2 ในเดือนก่อน ทำให้ข่าวดีเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการจ้างงานถูกลบล้างไปบ้าง (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษต่อไป รายงานจากเมืองบา
เซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.48 Toshihiko Fukui ผู้ว่าการ ธ.กลางของญี่ปุ่น กล่าวว่า
การที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในอนาคตซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่ ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังคงรักษานโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษต่อ
ไป จนกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับร้อยละ 0 โดยเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจาก
ประสบปัญหาอยู่บ้างในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นได้เริ่มใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษมาตั้งแต่ปี
2544 โดยการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเงินเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเกือบร้อยละ 0 และกระตุ้นให้
เกิดกิจกรรมทางธุรกิจด้วย อนึ่ง ในปี 47 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งที่ 4 ในรอบทศวรรษ
โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาส นับถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 47 เนื่องจาก
ภาวะการส่งออกและการบริโภคส่วนบุคคลอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่าย
ภายในครัวเรือนของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ในขณะที่อัตราการว่างงานคงที่
อยู่ในระดับต่ำในรอบ 6 ปี ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
3. อัตราส่วนหนี้เสียของ ICBC ซึ่งเป็นธพ.ที่ใหญ่ที่สุดของจีนลดลง รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 5
มี.ค. 48 Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ซึ่งเป็นธพ.ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนเปิด
เผยว่าอัตราส่วนหนี้เสียได้ลดลงอย่างต่อเนื่องต่ำกว่าร้อยละ 19 และสามารถเหลือเพียงร้อยละ 15 — 16 ใน
ปลายปีนี้หากได้รับการอัดฉีดเงินทุน ทั้งนี้รองประธานของ ICBC คาดว่าเป้าหมายต่อไปจะปฏิรูประบบธนาคารและ
ขอรับเงินทุนจากทางการเพิ่มขึ้นที่ระดับ 50 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. โดยมีความหวังว่าจะได้รับเงินทุนก้อนใหม่ใน
ไม่ช้า แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำหนดวันได้ เนื่องจาก ICBC มีแผนแล้วแต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านั้น ICBC รายงานตัวเลขหนี้เสีย ณ สิ้นเดือนก.ย. อยู่ที่ร้อยละ 19.46 ของหนี้ทั้งหมด และได้ตั้งเป้า
หมายให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปี 49 อนึ่งจีนได้อัดฉีดเงินรวม 45 พัน ล ดอลลาร์ สรอ.เข้าสู่ระบบการเงินใน
ปลายปี 46 ผ่าน Bank of China และ China Construction Bank เพื่อให้ความช่วยเหลือเนื่องจากธพ. มี
หนี้เสียเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ธพ. มีความสามารถในการแข่งขันและสามารถร่วมทุนกับ
นักลงทุนต่างชาติและนำธพ.เข้าจดทะเบียนในปีนี้ (รอยเตอร์)
4. นรม. สิงคโปร์เตือนว่าสิงคโปร์จะเผชิญกับการว่างงานเพิ่มขึ้น รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่
5 มี.ค. 48 นรม.สิงคโปร์ให้ความเห็นว่า สิงคโปร์อาจจะเผชิญกับภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากบรรดาบริษัท
ต่างๆได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น อาทิประเทศจีนทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยก่อนหน้านั้นบริษัท
Maxtor Corp. ของสรอ. ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต hard-disk ได้ย้ายฐานการผลิตจำนวน 1 ใน 2 แห่งที่ตั้งใน
สิงคโปร์ ไปยังจีนส่งผลให้มีการเลิกจ้างงาน 5,500 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธ.ค.การว่างงานของสิงคโปร์อยู่ที่
ร้อยละ 3.7 สูงกว่าร้อยละ 1.9 เมื่อครั้งก่อนเกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเซียเมื่อปี 40 แต่ลดลงจากที่เคยสูงสุด
ในรอบ 17 ปีที่ร้อยละ 5.5 เมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 46 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 มี.ค. 48 4 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.507 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.3201/38.6083 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 728.42/17.82 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 43.38 43.67 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.69*/15.19** 21.29/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 5 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ในเดือน ก.พ.48 ธพ.ขยายสาขาย่อยเพิ่มขึ้นรวม 7 สาขา รายงานจากธนาคารแห่งประเทศ
ไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ในเดือน ก.พ.48 ได้มี ธพ.ขยายสาขาย่อยเพิ่มขึ้นรวม 7 สาขา เป็นการเพิ่มสาขา
ย่อยของ ธ.กรุงเทพ 1 สาขา ซึ่งเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้าทำให้ ธ.กรุงเทพมีทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 649
สาขา นอกจากนี้เป็นการเพิ่มสาขาย่อย 3 สาขาของ ธ.ไทยพาณิชย์ ทดแทนการปิดสาขาเต็มรูปแบบไป 1 สาขา
ส่งผลให้ ธ.ไทยพาณิชย์มีสาขาในปัจจุบันทั้งหมด 566 สาขา ขณะที่ ธ.กรุงศรีอยุธยาก็ได้เปิดสาขาย่อยอีก 2
สาขา ทำให้ ธ.กรุงศรีอยุธยามีสาขาทั้งหมด 441 สาขา ส่วน ธ.ไทยธนาคารได้เปิดสาขาย่อยอีก 1 สาขา ทำให้
ไทยธนาคารมีสาขาทั้งสิ้น 99 สาขา ด้าน ธพ.ทุกแห่งมีนโยบายที่จะเปิดสาขาย่อยตามศูนย์การค้าเพื่อตอบสนอง
ลูกค้าที่ต้องการความสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งลดข้อจำกัดเรื่องของเวลาเปิดให้บริการ ในขณะที่ ธพ.จะมีต้นทุนเรื่อง
ของสาขาที่ต่ำกว่าสาขาเต็มรูปแบบ โดยส่วนใหญ่จะนำเทคโนโลยีเข้ามาเสริมในการให้บริการ อีกทั้งมีผลิตภัณฑ์
ใหม่ ๆ ที่ทันสมัยตอบสนองลูกค้าได้ (ผู้จัดการรายวัน)
2. คปน.ปรับปรุงโครงสร้างหนี้ในเดือน ม.ค.48 สำเร็จ 15 ราย มูลหนี้ 41 ล้านบาท รายงาน
จากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าในการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ของคณะกรรมการเพื่อ
ส่งเสริมการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (คปน.) ว่า ในเดือน ม.ค.48 มีลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อยุติจำนวน 61 ราย มูล
หนี้ 442 ล้านบาท โดยสามารถปรับปรุงโครงสร้างหนี้สำเร็จ 15 ราย มูลหนี้ 41 ล้านบาท และไม่สำเร็จ 46
ราย มูลหนี้ 401 ล้านบาท ซึ่งลูกหนี้ส่วนใหญ่ที่ปรับโครงสร้างหนี้สำเร็จ ประกอบธุรกิจอุปโภคบริโภคส่วนบุคคล การ
พาณิชย์ และการเกษตร ประมง ป่าไม้ นอกจากนี้ ในเดือน ม.ค.ยังมีลูกหนี้เป้าหมายรายใหม่ ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่อยู่
ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายเข้าโครงการ คปน.เพิ่มอีก 32 ราย มูลหนี้ 124 ล้านบาท
รวมเป็นลูกหนี้เป้าหมายที่เข้าโครงการ คปน.ตั้งแต่ปี 41 ถึง ม.ค.48 มี 17,733 ราย มูลหนี้ 2.88 ล้านล้าน
บาท ซึ่งเป็นลูกหนี้ที่เจรจาจนมีข้อยุติแล้ว 14,155 ราย มูลหนี้ 1.92 ล้านล้านบาท และในจำนวนนี้มีลูกหนี้ที่ปรับ
โครงสร้างหนี้สำเร็จ 11,456 ราย มูลหนี้ 1.49 ล้านล้านบาท สำหรับลูกหนี้ที่ คปน.จะเจรจาต่อไปมีจำนวน
270 ราย มูลหนี้ 1,127 ล้านบาท (เดลินิวส์)
3. ผลการดำเนินงานของ บจ.ปี 47 มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 37 กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลัก
ทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เปิดเผยว่า ในปี 47 บจ.ใน ตลท.และตลาดหลักทรัพย์ใหม่ (MAI) จำนวน
457 บริษัท หรือร้อยละ 98 ของบจ.ทั้งหมด 468 บริษัทส่งงบการเงินมา ปรากฏว่า ผลการดำเนินงานประจำปี
47 ของบจ.มีกำไรสุทธิรวมสูงถึง 464,317 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 46 ที่มีกำไรสุทธิรวม
37,986 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 37 โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 3 อันดับแรก คือ กลุ่ม
ทรัพยากร กลุ่มธุรกิจการเงิน และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง (ข่าวสด, กรุงเทพธุรกิจ, ผู้จัดการรายวัน)
4. กรมสรรพากรเสนอ ก.คลังชะลอมาตรการภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อย อธิบดีกรมสรรพากร เปิด
เผยว่า จากผลการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากรในช่วง 5 เดือนของปีงบประมาณ 48 ที่ยังคงจัดเก็บรายได้สูง
กว่าประมาณการร้อยละ 11.9 ทำให้กรมสรรพากรประเมินว่าตลอดทั้งปีนี้จะจัดเก็บรายได้ 870,000 ล้านบาท
หรือสูงกว่าประมาณการ 50,000 ล้านบาท เพราะมาตรการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล
ในช่วงที่ผ่านมาไม่มีผลกระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพากร และกรมสรรพากรได้ประเมินผลกระทบที่เกิด
ขึ้นอย่างระมัดระวังอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม มาตรการภาษีเพื่อลดภาระภาษีสำหรับผู้ที่มีรายได้น้อยตามนโยบายของ
รมว.คลังที่ยังไม่ได้มีการประกาศใช้อีก 2 รายการ คือ 1) การเพิ่มการให้หักค่าใช้จ่ายสำหรับเงินได้จากการจ้าง
แรงงาน หรือรายได้จากเงินเดือน และ 2) การยกระดับรายได้ที่ต้องคำนวณภาษีในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอด
รายได้พึงประเมิน (ภาษีเหมาจ่าย) ซึ่งก่อนหน้านี้กรมฯ ได้เสนอให้ ก.คลังรับทราบเรียบร้อยแล้ว ทั้งนี้ การตัดสิน
ใจจะขึ้นอยู่กับการพิจารณาของรัฐบาลชุดใหม่ว่าจะประกาศใช้หรือไม่ เพราะการลดภาษีทำให้รายได้ลดลงอย่างแน่
นอน โดยกรมฯ ประเมินไว้แล้วว่าหากมีการปรับอัตราภาษีทั้ง 2 ประเภทดังกล่าวจะส่งผลให้กรมสรรพากรสูญเสีย
รายได้รวมประมาณ 14,799 ล้านบาท แบ่งเป็น การเพิ่มการให้หักค่าใช้จ่ายประมาณ 13,544 ล้านบาท และภาษี
เหมาจ่ายประมาณ 1,255 ล้านบาท แต่เชื่อว่าจะไม่เป็นปัญหาต่อการจัดเก็บรายได้โดยรวมของภาครัฐ (ผู้จัดการ
รายวัน, โลกวันนี้, ไทยรัฐ, เดลินิว, แนวหน้า)
5. อัตราการขยายตัวของธุรกิจเอสเอ็มอีในปี 48 มีแนวโน้มติดลบ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่ง
ประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยถึง แนวโน้มผู้ประกอบการอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)
ในปี 48 ว่า คาดว่าจะมีอัตราการขยายตัวของธุรกิจติดลบ เนื่องจากเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบอย่างหนักจากต้นทุน
การผลิตที่สูงขึ้นเกือบร้อยละ 100 จากสถานการณ์ราคาวัตถุดิบปรับตัวสูงขึ้นถึงร้อยละ 100 ทั้งวัตถุดิบประเภท
เหล็ก ทองแดง และพลาสติก เป็นต้น นอกจากนี้ ยังได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการปรับอัตราค่า
แรงงานใหม่ตั้งแต่เดือน ม.ค.ที่ผ่านมา รวมถึงอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ปรับตัวในระดับสูง (กรุงเทพธุรกิจ)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. ในเดือน ก.พ.48 มีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 262,000 ตำแหน่งใน สรอ.สูงสุดในรอบ 4 เดือน
ในขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 รายงานจากวอชิงตัน เมื่อ 4 มี.ค.48 กรมแรงงานของ สรอ.
รายงานมีการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้น 262,000 ตำแหน่งใน สรอ. ในเดือน ก.พ. 48 สูงสุดในรอบ 4 เดือนหลัง
จากเพิ่มขึ้นคงที่อยู่ในระดับ 132,000 ตำแหน่ง 3 เดือนติดต่อกัน โดยส่วนใหญ่เป็นการจ้างงานใหม่เพิ่มขึ้นใน
ภาคบริการจำนวน 207,000 ตำแหน่ง ในขณะที่งานในภาคการผลิตเพิ่มขึ้น 20,000 ตำแหน่ง เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก
นับตั้งแต่เดือน ส.ค.47 จากการกลับเข้าทำงานของคนงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ที่ถูกปลดออกไปก่อนหน้านี้ นอก
จากนี้การจ้างงานในภาคการก่อสร้างก็เพิ่มขึ้น 30,000 ตำแหน่งหลังจากอยู่ในระดับคงที่ในเดือน ม.ค.48 จาก
สภาพอากาศที่หนาวเย็นผิดปรกติ กรมแรงงานยังได้รายงานจำนวนชั่วโมงทำงานต่อสัปดาห์อยู่ในระดับคงที่ 33.7
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่รายได้ต่อชั่วโมงอยู่ในระดับคงที่ 15.90 ดอลลลาร์ สรอ.ต่อชั่วโมง เพิ่มขึ้น 5 เซนต์
จากเดือน ม.ค.48 ช่วยคลายความกังวลว่าจะเกิดภาวะเงินเฟ้อจากการที่ค่าแรงสูงขึ้น ในขณะที่รายงานอีกฉบับ
หนึ่งจากผลสำรวจภาคครัวเรือนระบุว่าอัตราการว่างงานในเดือน ก.พ.48 เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 5.4 จากร้อยละ
5.2 ในเดือนก่อน ทำให้ข่าวดีเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของตัวเลขการจ้างงานถูกลบล้างไปบ้าง (รอยเตอร์)
2. ธ.กลางญี่ปุ่นยังคงดำเนินนโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษต่อไป รายงานจากเมืองบา
เซิล ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 7 มี.ค.48 Toshihiko Fukui ผู้ว่าการ ธ.กลางของญี่ปุ่น กล่าวว่า
การที่ราคาน้ำมันได้ปรับตัวสูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินในอนาคตซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่อาจจะส่งผลกระทบต่อ
อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของญี่ปุ่น แต่ ธ.กลางญี่ปุ่นจะยังคงรักษานโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษต่อ
ไป จนกว่าดัชนีราคาผู้บริโภคจะเพิ่มขึ้นอยู่เหนือระดับร้อยละ 0 โดยเศรษฐกิจของญี่ปุ่นในปีนี้จะฟื้นตัวดีขึ้นหลังจาก
ประสบปัญหาอยู่บ้างในปีที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธ.กลางญี่ปุ่นได้เริ่มใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินแบบพิเศษมาตั้งแต่ปี
2544 โดยการเพิ่มสภาพคล่องในตลาดเงินเพื่อรักษาระดับอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับเกือบร้อยละ 0 และกระตุ้นให้
เกิดกิจกรรมทางธุรกิจด้วย อนึ่ง ในปี 47 เศรษฐกิจของญี่ปุ่นได้เข้าสู่ภาวะถดถอยเป็นครั้งที่ 4 ในรอบทศวรรษ
โดยการขยายตัวของเศรษฐกิจได้ลดลงอย่างต่อเนื่องถึง 3 ไตรมาส นับถึงไตรมาสสุดท้ายของปี 47 เนื่องจาก
ภาวะการส่งออกและการบริโภคส่วนบุคคลอ่อนตัวลง อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลในปัจจุบันแสดงให้เห็นว่าการใช้จ่าย
ภายในครัวเรือนของญี่ปุ่นในเดือน ม.ค.48 ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดในรอบ 6 เดือน ในขณะที่อัตราการว่างงานคงที่
อยู่ในระดับต่ำในรอบ 6 ปี ทำให้คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจในปีนี้จะปรับตัวดีขึ้น (รอยเตอร์)
3. อัตราส่วนหนี้เสียของ ICBC ซึ่งเป็นธพ.ที่ใหญ่ที่สุดของจีนลดลง รายงานจากปักกิ่งเมื่อวันที่ 5
มี.ค. 48 Industrial and Commercial Bank of China (ICBC) ซึ่งเป็นธพ.ขนาดใหญ่ที่สุดของจีนเปิด
เผยว่าอัตราส่วนหนี้เสียได้ลดลงอย่างต่อเนื่องต่ำกว่าร้อยละ 19 และสามารถเหลือเพียงร้อยละ 15 — 16 ใน
ปลายปีนี้หากได้รับการอัดฉีดเงินทุน ทั้งนี้รองประธานของ ICBC คาดว่าเป้าหมายต่อไปจะปฏิรูประบบธนาคารและ
ขอรับเงินทุนจากทางการเพิ่มขึ้นที่ระดับ 50 พัน ล. ดอลลาร์ สรอ. โดยมีความหวังว่าจะได้รับเงินทุนก้อนใหม่ใน
ไม่ช้า แม้ว่าจะยังไม่สามารถกำหนดวันได้ เนื่องจาก ICBC มีแผนแล้วแต่ยังไม่ได้รับการอนุมัติอย่างเป็นทางการ
ก่อนหน้านั้น ICBC รายงานตัวเลขหนี้เสีย ณ สิ้นเดือนก.ย. อยู่ที่ร้อยละ 19.46 ของหนี้ทั้งหมด และได้ตั้งเป้า
หมายให้ต่ำกว่าร้อยละ 10 ในปี 49 อนึ่งจีนได้อัดฉีดเงินรวม 45 พัน ล ดอลลาร์ สรอ.เข้าสู่ระบบการเงินใน
ปลายปี 46 ผ่าน Bank of China และ China Construction Bank เพื่อให้ความช่วยเหลือเนื่องจากธพ. มี
หนี้เสียเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นยังมีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ธพ. มีความสามารถในการแข่งขันและสามารถร่วมทุนกับ
นักลงทุนต่างชาติและนำธพ.เข้าจดทะเบียนในปีนี้ (รอยเตอร์)
4. นรม. สิงคโปร์เตือนว่าสิงคโปร์จะเผชิญกับการว่างงานเพิ่มขึ้น รายงานจากสิงคโปร์ เมื่อวันที่
5 มี.ค. 48 นรม.สิงคโปร์ให้ความเห็นว่า สิงคโปร์อาจจะเผชิญกับภาวะการว่างงานเพิ่มขึ้นเนื่องจากบรรดาบริษัท
ต่างๆได้ย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น อาทิประเทศจีนทั้งนี้เพื่อลดต้นทุนการผลิต โดยก่อนหน้านั้นบริษัท
Maxtor Corp. ของสรอ. ซึ่งเป็นบริษัทที่ผลิต hard-disk ได้ย้ายฐานการผลิตจำนวน 1 ใน 2 แห่งที่ตั้งใน
สิงคโปร์ ไปยังจีนส่งผลให้มีการเลิกจ้างงาน 5,500 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือนธ.ค.การว่างงานของสิงคโปร์อยู่ที่
ร้อยละ 3.7 สูงกว่าร้อยละ 1.9 เมื่อครั้งก่อนเกิดวิกฤติการณ์การเงินในเอเซียเมื่อปี 40 แต่ลดลงจากที่เคยสูงสุด
ในรอบ 17 ปีที่ร้อยละ 5.5 เมื่อไตรมาสที่ 3 ปี 46 (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 7 มี.ค. 48 4 มี.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 38.507 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 38.3201/38.6083 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 2.25 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 728.42/17.82 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 7,900/8,000 7,850/7,950 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 43.38 43.67 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 21.69*/15.19** 21.29/15.19** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับเพิ่ม ลิตรละ 40 สตางค์ เมื่อ 5 มี.ค. 48
* *ปรับเพิ่ม ลิตรละ 60 สตางค์ เมื่อ 22 ก.พ. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--