การค้าระหว่างไทยกับอิหร่าน
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและอิหร่านได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1955 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่านในระยะที่ผ่านมา โดยประเทศไทยพยายามเน้นการส่งเสริมความสัมพันธ์กับอิหร่านเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือของคณะกรรมาธิการร่วมเศรษฐกิจไทย-อิหร่าน (JC) เป็นหลักเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางด้านการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ขณะที่ฝ่ายอิหร่านพยายามส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเพื่อหวังผลทางการเมืองเป็นสำคัญ ประเทศไทยและอิหร่าน ได้มีการจัดประชุม JC มาแล้วรวม 7 ครั้ง โดยการประชุม JC ครั้งล่าสุดจัดเมื่อระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2004 ณ กรุงเตหะราน
ปริมาณการค้ารวม
ระหว่างประเทศไทยกับอิหร่านในปี 2547 มีมูลค่า 492.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการขยายตัวทางการค้ารวม ร้อยละ 33.84 จากปี 2546 โดยการส่งออกของไทยมีมูลค่า 452.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 52.55 ในขณะที่การนำเข้าของไทยจากอิหร่านมีมูลค่าเพียง 35.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราลดลงร้อยละ 44.0 ในปี 2548 ช่วง 2 เดือนแรก มีการมูลค่าการค้ารวม 92.6 ล้านเหรีญสหรัฐฯ และการส่งออกมูลค่า 78.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 83.36 จากปี 2547 ในช่วงเดียวกัน (ตารางสถิติการค้าประกอบ)
สถิติการค้าระหว่างไทยกับอิหร่าน (หน่วย ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ปี ปริมาณการค้ารวม ส่งออก อัตราขยาย (%) นำเข้า ดุลการค้า
2544 208.41 132.38 -25.78 76.02 56.37
2545 238.83 177.18 33.83 61.66 115.52
2546 368.25 296.88 67.56 71.38 225.50
2547 492.86 452.88 52.55 39.97 412.91
2548 (มค.-กพ.) 92.60 78.90 83.36 13.70 65.10
หมายเหตุ : ปี 2548 อัตราการขยายตัวในช่วงเดียวกันของปี 2547
สินค้าส่งออกที่สำคัญ (ปี 2547) ได้แก่ สินค้าข้าว (140.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) วิทยุ โทรทัศน์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ (39.6 ล้านเหรียญฯ) เครื่องจักรและชิ้นส่วน (33.7 ล้านเหรียญฯ) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (23.33 ล้านเหรียญฯ) ยางพารา (21.4 ล้านเหรียญฯ) หลอดภาพโทรทัศน์ (18.9 ล้านเหรียญฯ) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ (17.1 ล้านเหรียญฯ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (16.8 ล้านเหรียญฯ) เส้นใยประดิษฐ์ (16.6 ล้านเหรียญฯ) เครื่องซักผ้าเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ (13.3 ล้านเหรียญฯ) รายการสินค้าส่วนใหญ่มีการขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2546 ในอัตราเฉลี่ยกว่าร้อยละ 50 โดยเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ในระยะสั้นกำหนดให้เป็นการขยายตัวร้อยละ 30 และในระยะยาวขยายตัวร้อยละ 40 สำหรับมูลค่าประมาณการการส่งออกจำนวน 634 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้านำเข้าที่สำคัญ (ปี 2547) ได้แก่ สินค้าเหล็กและเหล็กกล้า (17.6 ล้านเหรียญฯ) เคมีภัณฑ์ (8.3 ล้านเหรียญฯ) สินแร่โลหะอื่นๆ และเศษโลหะ (6.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ปลาหมึกสดแช่งแข็ง (3.0 ล้านเหรียญฯ) เครื่องมือเครื่องใช้ด้านวิทยาศาสตร์ (1.5 ล้านเหรียญฯ) ด้ายและเส้นใย (1.0 ล้านเหรียญฯ) ส่วนประกอบโครงรถและตัวถัง (.40 ล้านเหรียญ) เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม (.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เชื้อเพลิง (.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และกาแฟ ชาและเครื่องเทศ (.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยรายการสินค้าส่วนใหญ่มีอัตราเฉลี่ยลดลง
สินค้าที่มีศักยภาพส่งออกของไทย
อาจพิจารณาความสามารถในการส่งออกสินค้าของไทยมายังประเทศอิหร่าน สามารถสรุปสินค้าทีมีศักยภาพในการส่งออกมายังประเทศอิหร่านได้แก่
1. ข้าว เป็นสินค้าที่มีการส่งออกในอัตราส่วนมากถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด ในปี 2547 มีมูลค่า 140.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปี 2548 ประมาณการการขยายตัวร้อยละ 15 ทั้งนี้เป็นสินค้าที่มีการควบคุมการนำเข้า โดยรัฐบาลอิหร่านเป็นผู้ผูกขาดการนำเข้าข้าวของประเทศ ทั้งนี้ อิหร่านสามารถปลูกข้าวประมาณปีละ 3.3 ล้านตันแต่ยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าโดยเฉลี่ยปีละ 700,000 ตัน โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่งจากผู้นำเข้าต่างประเทศประมาณ 400,000 ตันต่อปี ทั้งนี้เป็นการนำเข้าเพื่อมาจำหน่ายเป็นข้าวสวัสดิการแก่ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ดังนั้นเป็นการนำเข้าเป็นข้าวขาว 100% เกรดสอง คู่แข่งของไทย ได้แก่เวียดนาม ปากีสถาน อุรุกวัยและอินเดีย ปัจจุบันอิหร่านไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวหอม เพราะไม่ต้องการมีการแข่งขันกับข้าวที่มีผลิตภายในประเทศ
2. เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วน เพราะอัตราภาษีของอิหร่านเอื้อให้มีการนำเข้าเป็นวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปแทนการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปซึ่งตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงและการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี เช่น อ้างถึงมาตรฐานการผลิตสินค้า ปัจจุบันมีการขยายตัวมาตลอดระยเวลา 3 ปีที่ผ่านมาและในอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นทุกปี
3. เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนเช่นกัน เนื่องจากอัตราภาษี แต่มีการขยายตัวสูงเช่นเดียวกัน
4. เครื่องซักผ้า และเครื่องซักแห็งและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วน เช่น
เดียวกัน และขยายตัวสูง
5. ผ้าผืน เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยผ้าผืนไทยได้ความนิยมจากผู้บริโภคและได้รับการยอมรับเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง
6. อาหารแปรรูป ผักผลไม้กระป๋อง น้ำสัปปะรด น้ำผลไม้อื่นๆ มะขามหวานและมะขามเปรี้ยว ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอิหร่านมากขึ้น และเป็นที่นิยมและเชื่อถือในคุณภาพสินค้าไทย
7. ของใช้ภายในบ้าน ได้แก่ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก ทำจากไม้และเซรามิก เนื่องจากคู่แข่งคือประเทศจีนมีสินค้าจำหน่ายในประเทศอิหร่านมามากและนานแล้ว แต่เป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้ผู้บริโภคอิหร่านมีภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อสินค้าจากจีน แต่ให้ความเชื่อถือสินค้าที่ผลิตจากไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะการเน้นแหล่งผลิต Made in Thailand บนสินค้าซึ่งสามาถสร้างภาพพจน์เป็นมูลค่าเพิ่มของสินค้าไทยในตลาดอิหร่าน
8. ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงขึ้นมาก เนื่องจากอิหร่านจำเป็นต้องใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ ยางรถยนต์ และเครื่องเครื่องใช้ไฟฟ้า
9. การประกอบรถกระบะ และอะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์ มีความต้องการในสินค้าอะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศมีคุณภาพต่ำ และแหล่งนำเข้าจากจีนเริ่มไม่ได้รับความเชื่อถือในด้านคุณภาพ นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยได้ร่วมดำเนินธุรกิจที่จะประกอบรถกะบะในประเทศอิหร่าน ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตรถกระบะออกจำหน่ายในประเทศอิหร่านในปี 2548
10. นอกจากนี้ มีกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจการก่อสร้าง เนื่องจากประเทศอิหร่านกำลังมีนโยบายการบูรณะและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่หยุดมากว่า 27 ปี หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ ธุรกิจโรงพยาบาล เนื่องจากประเทศอิหร่านมีกลุ่มที่มีรายได้สูงในอัตราร้อยละ 15 - 20 ของประชากรของประเทศ ที่มีความต้องการการรักษาพยาบาลที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อใช้การบำบัดรักษาที่ทันสมัยซึ่งประเทศอิหร่านมีความขาดแคลน ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ซึ่งอิหร่านได้ลดกฎระเบียบการประมูลมากขึ้น โดยในขณะนี้ ปตทผส. ได้มีกำหนดที่จะร่วมลงนามการขุดเจาะสัมปทานน้ำมันในประเทศอิหร่านในช่วงเดือนเมษายน 2548 และการร่วมลงทุนการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีของภาคเอกชนไทย และธุรกิจร้านอาหารไทย ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการเปิดร้านอาหารไทยขึ้นเป็นร้านแรกในกรุงเตหะรานเมื่อเดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมา
ปัญหาและอุปสรรคการค้าในประเทศอิหร่าน
นโยบายการค้าของประเทศอิหร่าน
อิหร่านมีนโยบายที่จะรักษาดุลการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก รัฐบาลจึงมีนโยบายในการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในอัตราที่สูงเพื่อเป็นการปกป้องอุตสาหกรรม รัฐบาลอิหร่านจึงได้มีการประเมินและปรับปรุงนโยบายการนำเข้าของประเทศทุกๆ สิ้นปีของประเทศ Iranian Calendar Year (เดือนมีนาคม) และจะมีผลใช้ในปีถัดไป นโยบายดังกล่าวจะจัดพิมพ์โดยกระทรวงพาณิชย์ของอิหร่าน กฎและระเบียบการนำเข้าสินค้าจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สินค้าที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของอิหร่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสามารถนำเข้าได้โดยไม่มีข้อห้ามใดๆ สินค้าที่สามารถนำเข้าได้ในบางช่วงเวลาโดยขึ้นอยู่กับปริมาณกำลังผลิตภายในประเทศในขณะนั้น โดยจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลอิหร่านก่อนหรือภาครัฐฯ จะเป็นผู้ผูกขาดการนำเข้าเอง ได้แก่ สินค้าข้าว ข้าวสาลี นมผงสำหรับทารก น้ำมันพืช และสินค้าที่ห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด ซึ่งได้แก่สินค้าทุกชนิดที่มาจากประเทศอิสราเอล สินค้าที่อาจมีผลกระทบต่อศาสนาอิสลาม และสินค้าที่อาจเป็นภัยอันตรายต่อสถานการณ์ในประเทศ ได้แก่ สินค้าที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิด สิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับศาสนาและรูปปั้นต่างๆ เครื่องแบบทหาร สินค้าอาวุธสงคราม ฝิ่นและยาเสพติดทุกประเภท เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วัตถุโบราณ วิทยุสื่อสาร และงานศิลปะ
มาตรการด้านภาษีและมิใช่ภาษี
สินค้าที่ส่งมายังประเทศอิหร่าน จำเป็นต้องตรวจเช็คข้อมูลและกฎระเบียบในการนำเข้าของประเทศอิหร่านอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากรัฐบาลอิหร่านมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในบางกรณีจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศุลกากรในการนำเข้าสินค้ามายังประเทศอิหร่านและมีความซับซ้อนของกฎระเบียบการนำเข้า ทั้งนี้ มีกฎหมายการนำเข้าหลักที่กำหนดให้บริษทที่จดทะเบียนในประเทศอิหร่านได้เท่านั้นที่สามารถขอใบอนุญาตการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ อิหร่านเก็บภาษีศุลกากรโดยใช้ระบบ Ad Valorem เป็นพื้นฐานและมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ้นปีของอิหร่าน Iranian Calendar Year (เดือนมีนาคม)
นอกจากนี้ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานของสินค้าภายในประเทศ ดังเช่น การนำเข้าเหล้กเส้น ซึ่งอิหร่านใช้มาตรฐานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่นการกำหนดจากน้ำหนักแทนขนาด หรือการควบคุมการนำเข้ารถยนต์โดยต้องผ่านมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานแห่งชาติ ทั้งที่รถยนต์ที่ผลิตในประเทศโดยข้อเท็จจริง เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไปของโลก สำหรับอัตราภาษีนำเข้าซึ่งมีอัตราสูงทำให้การส่งออกสินค้าในหลายรายการ ผู้นำเข้าอิหร่านจะนำเข้าผ่านรัฐดูไบ ซึ่งเมื่อถึงดูไบแล้ว จะนำเข้าโดยการลักลอบหรือวิธีการที่หลีกเลี่ยงหรือการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ แทนการเสียภาษีนำเข้าโดยตรง ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปราคาแพง Luxury Goods และสินค้าประเภทอัญมณีและพลอยสี เสื้อผ้าสำเร็จรูปมียี่ห้อ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท ซึ่งคนอิหร่านนำเข้าจากไทยในปริมาณสูง แต่ไม่ค่อยปรากฎอยู่ในสถิติการส่งออกเพราะเป็นการซื้อด้วยเงินสด และเป็นการลักลอบนำเข้าไปเอง
ปัญหาทางด้านการเมือง
เนื่องจากประเทศอิหร่านถูกกีดกันทางการเมืองจากประเทศสหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถทำการค้ากับประเทศสหรัฐฯ ได้โดตรง ต้องนำเข้าสินค้าผ่านประเทศที่ 3 โดยปกติจะใช้ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและระบบการเงิน นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านยังคงถูกเพ่งเล็งเรื่องการครอบครองและการดำเนินการพัฒนาปรมาณู ซึ่งจะมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนภายในประเทศ สำหรับสถานภาพทางการเมืองภายในประเทศ ผู้นำศาสนาและคณะกรรมการด้านศาสนามีอำนาจในการตัดสินใจในการออกกฎหมายขั้นสุดท้าย ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าและการลงทุนให้ดีหรือพัฒนามากขึ้นได้ค่อนข้างช้า นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านได้พยายามมาโดยตลอดที่จะสมัครเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลกมากกว่า 6 ปี (18 ครั้ง) แต่ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสมาชิก เนื่องจากสหรัฐฯ ได้บอยค๊อดมาโดยตลอด แต่ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2548 สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีที่จะไม่ขัดขวางการขอเป็นสมาชิกภาพขององค์การค้าโลกของอิหร่านต่อไป
ปัญหาด้านระบบการเงิน
เนื่องจากประเทศอิหร่านขาดประสิทธิภาพการบริหารการเงินในตลาดต่างประเทศ อันเนื่องมาจากการกีดกันในด้านระบบสินเชื่อจากประเทศสหรัฐฯ ที่ครอบครองระบบการเงินของโลก ทำให้ประเทศอิหร่านประสบปัญหาด้านระบบการโอนเงินเข้าออกไปประเทศ และมีปัญหาการการประสานงานด้านการเงินระหว่างธนาคารจากต่างประเทศ ทำให้ระบบงานที่ล่าช้าและติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบการควบคุมเงินตราของประเทศ นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีธนาคารต่างชาติอนุญาตให้ตั้งอยู่ในประเทศอิหร่าน แต่อนุญาตให้มีสำนักงานประสานงาน Liaison Office ของธนาคารต่างชาติที่มีเพียง 3 แห่ง สำหรับการควบคุมเงินตราต่างประเทศ ประเทศอิหร่านมีมาตรการควบคุมเงินตราต่างประเทศ โดยระบุไว้ว่าจะต้องแจ้งการศุลกากรหากมีการแลกเปลี่ยนเงินตราในปริมาณเกินกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป การแลกเปลี่ยนเงินตราสามารถแลกเงินตราประเทศโดยเฉพาะเงินเหรียญสหรัฐฯ ทำได้โดยง่ายทั้งในตลาดมืดหรือธนาคารที่มีอัตราใกล้เคียงกันมาก แต่การแลกคืนจากเงินท้องถิ่นเป็นเหรียญสหรัฐฯ จะเป็นไปด้วยความยากลำบากและอัตราที่แตกต่างกันมาก
สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์
ปัจจุบันมีกฎหมายการคุ้มครองสิทธบัตร เครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์เทียบเท่านานาชาติ แต่ไม่มีการควบคุมและลงโทษผู้ละเมิดกฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจัง และพบการละเมิดกฎหมายอย่างรุนแรง ทั้งที่ประเทศอิหร่านเป็นสมาชิกสนธิสัญญา Paris Convention ซึ่งให้ความคุ้มครองในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้ว
ลู่ทางการส่งออก
โดยข้อเท็จจริงประเทศอิหร่าน มีกฎระเบียบการค้าที่ค่อนข้างเคร่งครัด เนื่องจากต้องการปกป้องอุตสาหรรมภายในประเทศ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามแก้ไขกฎระเบียบและมาตรการต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าเพื่อปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการค้าของประเทศให้มีมาตรฐานสากล แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในด้านการเมือง ในปัจจุบันสินค้าหลักของไทยที่ส่งออกไปยังอิหร่าน คือ ข้าว ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 30-40 ของมูลค่ารวมการส่งออกของไทยไปอิหร่าน สำหรับสินค้าอื่นๆ มีการส่งออกไปอิหร่าน มีมูลค่าไม่มากนักเนื่องจากผู้ส่งออกไทยจะใช้วิธีการส่งสินค้าผ่านพ่อค้าคนกลางในรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และส่งออกไปอิหร่านอีกต่อหนึ่ง ส่งผลให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งซึ่งส่งสินค้าไปยังอิหร่านโดยตรง และทำให้สินค้าไทยต้องสูญเสียตลาดให้แก่ประเทศคู่แข่งขันในระยะยาว ดังนั้น ผู้ส่งออกไทย จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเจาะตลาดอิหร่านเป็นลักษณะเชิงรุกโดยการเข้ามาติดต่อเจรจาการค้ากับผู้นำเข้าอิหร่านโดย ตรงด้วยวิธีการหาตัวแทนการค้าและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศอิหร่านเพื่อที่จะส่งเสริมให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคอิหร่านต่อไป สำหรับการเจรจาติดต่อการค้ากับนักธุรกิจอิหร่าน การตัดสินใจในการซื้อสินค้ายังคงใช้ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยเป็นหลัก หากนักธุรกิจอิหร่านเห็นว่ามีช่องทางที่จะได้กำไรก็จะตกลงการค้าทันที โดยผู้ส่งออกไทยมีหน้าที่จัดส่งสินค้า และนักธุรกิจ/ผู้นำเข้าอิหร่าน จะมีวิธีการที่จะนำเข้าสินค้าเข้าสู่ตลาดอิหร่านเอง
ลักษณะและรูปแบบการทำธุรกิจในอิหร่าน
กลุ่มผู้ซื้อที่สำคัญ ได้แก่กลุ่มที่มีฐานะทางการเงินสูง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ด้วยวิธีการซื้อสินค้าด้วยตนเองจากแหล่งจำหน่ายสินค้าและจากข้อมูลจากการส่งเสริมการขายที่สำคัญ โดยใช้ผ่านผู้นำเข้าและผู้ค้าส่งรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงเตหะราน นอกจากนี้แล้ว สื่อที่ใช้เป็นการส่งเสริมการขายที่ดีที่สุดคือสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นสื่อที่กระจายไปสู่ประชากรส่วนใหญ่ สำหรับลักษณะธุรกิจของประเทศได้แก่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นของภาครัฐ ส่วนระดับกลางและขนาดเล็กและเป็นผู้นำเข้าเอกชนจะดำเนินการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัดตามเครือข่ายขนาดเล็กๆ เอง นอกจากนี้ ในบางรายการสินค้าที่ภาครัฐฯ เป็นผู้มีสิทธิ์นำเข้าสินค้าเอง แต่สามารถมอบหมายให้ภาคเอกชนอิหร่านเป็นตัวแทนในการนำเข้าแทน โดยต้องได้รับอนุญาตจากภาครัฐก่อน
แนวทางในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
การเตรียมความพร้อมด้านธุรกิจและการเข้าสู่ตลาด
นักธุรกิจอิหร่านส่วนใหญ่พูดภาษาฟาร์ซี (อิหร่าน) เป็นหลัก แต่มีกลุ่มนักธุรกิจอิหร่านที่ทำการค้าระหว่างประเทศ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี นอกจากนี้ ต้องศึกษาข้อสัญญากับนักธุรกิจอิหร่านให้ดี เพราะอิหร่านจะนิยมข้อกำหนดของตนเองเป็นมาตรฐาน Iranian Term ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อสัญญาตามมาตรฐานโลก และระบบการชำระเงินก็เป็นข้อสำคัญ เนื่องจากระบบการเงินการคลังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ และการแลกเปลี่ยนเงินตราผ่านธนาคารต่างประเทศค่อนข้างมีปัญหา จึงจำเป็นต้องพึ่งธนาคารจากประเทศที่สาม เช่นที่รัฐดูไบ หรือผ่านระบบการเงินของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
พฤติกรรมของผู้บริโภคในอิหร่าน
ความนิยมสินค้า
ประเทศอิหร่านมีการปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลาม และ ชาวอิหร่านจะถูกจำกัดสิทธิในการดำเนินชีวิตประจำวันหลายประการด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม คนอิหร่านที่เป็นชนชั้นสูง ประมาณร้อยละ 15-20 เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง จะนิยมเดินทางออกไปพักผ่อนและจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในต่างประเทศ สำหรับชาวอิหร่าน ที่เป็นชนชั้นกลาง ประมาณร้อยละ 20 — 30 และระดับล่างประมาณร้อยละ 60 จะนิยมซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ โดยนิยมสินค้าที่มีคุณภาพดี แต่ราคาถูก การซื้อสินค้าแต่ละครั้งจะมีการเปรียบเทียบราคาและต่อรองราคาสินค้าจนกว่าตนเองจะพอใจ ชาวอิหร่านจะจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่อิหร่าน (เดือนมีนาคมของทุกปี) ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจการค้าคึกคักที่สุดในรอบปี สำหรับการเจรจาติดต่อการค้ากับนักธุรกิจอิหร่าน การตัดสินใจในการซื้อสินค้ายังคงใช้ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยเป็นหลัก หากนักธุรกิจอิหร่านเห็นว่ามีช่องทางที่จะได้กำไรก็จะตกลงการค้าทันที โดยผู้ส่งออกไทยมีหน้าที่จัดส่งสินค้า และ นักธุรกิจ/ผู้นำเข้าอิหร่าน จะมีวิธีการที่จะนำเข้าสินค้าเข้าสู่ตลาดอิหร่านเอง
รูปแบบสินค้า
คนอิหร่านนิยมสินค้าที่มีความทันสมัยและมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากภูมิภาคยุโรป แต่เนื่องจากราคาสินค้าดังกล่าวมีราคาแพง จึงจำเป็นต้องซื้อสินค้าจากเอเชีย ประเทศจีนได้เข้ามาครอบครองสินค้านำเข้าเป็นหลัก และเป็นสินค้าที่คุณภาพต่ำและราคาถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพพจน์ของสนค้าจีนเป็นภาพพจน์สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ จึงเริ่มสนใจนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ไทย เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น ประเทศไทยได้รับความยอมรับในคุณภาพสินค้า รูปแบบและสีสรรของสินค้าที่ทันสมัยและแนวโน้มไปทางยุโรป จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศอิหร่าน ทางเหนือมี 4 ฤดู ความนิยมสินค้าที่มีรูปแบบที่ยั่งยืน ก็ได้รับความนิยมสูง
ราคาสินค้า
ราคาสินคาเป็นปัจจัยหลักในตลาดขณะนี้ เนื่องจากสินค้าของประเทศอิหร่านเอง และจากจีนมีราคาค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเข้ามาในตลาดประเทศอิหร่านจึงต้องไม่สูงมาก เพราะจะทำให้ความสนใจมีน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม สินคาที่มีคุณภาพสูงและราคาสูงก็สามารถจำหน่ายได้ เพราะมีกลุ่มผู้บริโภค ประมาณร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่อหัวสูงมาก และไม่คำนึงราคาเป็นปัจจัยการซื้อสินค้า
การติดต่อนัดหมายทางธุรกิจในอิหร่าน
1. ควรเรียนรู้ความหมายของภาษาเปอร์เซียบางประโยค หรือ บางคำ
2. ชาวอิหร่านไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นชาวอาหรับ
3. การไปเยี่ยมเยียนลูกค้าอิหร่านอย่างสม่ำเสมอ หรือ อาศัยความคุ้นเคย จะเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาธุรกิจในระยะยาว
4. ควรมีการนัดหมายเจรจาธุรกิจล่วงหน้า
5. ควรมีล่ามในการเจรจาธุรกิจ เนื่องจากชาวอิหร่านไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษ
6. ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ในเรื่องการเมืองและศาสนา
7. ไม่ควรเดินทางมาเจรจาติดต่อธุรกิจในประเทศอิหร่านในช่วงเดือนวันที่ 15 - 31 มีนาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวของเทศกาลวันปีใหม่อิหร่าน และช่วงถือศีลอด Ramadan ประมาณ 1 เดือนในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ช่องทางการจำหน่าย
ช่องทางการส่งสินค้าไทยไปประเทศอิหร่านที่สำคัญ คือ เขตการค้าเสรี (Free Trade Zone) ซึ่งประกอบด้วย เกาะคีช (Kish) เกาะเคชม์ (Qeshm) และผ่านเมืองท่า 3 แห่งที่สำคัญ ได้แก่เมืองชาร์บาฮาร์ (Chabahar) คอร์รัมชาร์ (Korramshar) และบันดาอับบัส (Bandar abbas) โดยเฉพาะที่เกาะคีช รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้แข่งขันกับรัฐดูไบ โดยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ส่งไปยัง Mainland อิหร่านโดยตรง ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยอาจใช้เกาะคีช เป็นฐานในการกระจายสินค้าไปยังอิหร่านต่อไป ในปัจจุบัน มีสินค้าไทยวางจำหน่ายที่เกาะคีช เช่นสินค้าเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา ดอกไม้ประดิษฐ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน ของประดับและ ตกแต่งบ้าน สินค้าอาหารกระป๋อง เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ไม่ได้ส่งออกจากประเทศไทยไปที่เกาะคีช โดยตรง แต่ส่งผ่านพ่อค้าคนกลางในรัฐดูไบ ทำให้ต้นทุนสินค้าของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน
กลยุทธ์ทางการค้า
1. จัดคณะผู้แทนการค้าระดับสูง จากหน่วยงานภาครัฐฯ และเอกชน เดินทางไปเยือนประเทศอิหร่าน อย่างสม่ำเสมอเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้าและการเมือง
2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุน และ ตั้งฐานธุรกิจในเขตการค้าเสรีของอิหร่านเพื่อใช้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไทยไปยัง mainland อิหร่าน ต่อไป
3. สนับสนุนนักธุรกิจไทยเข้าร่วมโครงการผลักดันการส่งออกไปตลาดอิหร่าน (ตลาดใหม่) ในงานแสดงสินค้าที่มีศักยภาพ และโน้มน้าวให้นักธุกิจอิหร่านเดินทางไปเยือนงานแสดงสินค้าและกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น และสนับสนุนให้มีพบปะเจรจาการค้าเพื่อสามารถเจาะตลาดกับนักธุรกิจอิหร่านโดยตรง ซึ่งจะช่วยสร้างตลาดสินค้าไทยอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ในประเทศอิหร่านต่อไป
4. สนับสนุนให้ประเทศอิหร่านเข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก (WTO) ซึ่งจะทำให้อิหร่านต้องมีพันธกรณีที่จะต้องแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้าให้เป็นมาตรฐานสากล
5. พิจารณาใช้ประเทศอิหร่านเป็นฐานการกระจายสินค้าไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่ประเทศไทยเข้าไม่ถึง อาทิ ประเทศอิรัก อัฟกานิสถาน อาร์เซอไบจาน อาร์เมเนีย เติร์กเมนิสถาน คาซัคสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งประเทศส่วนใหญ่เหล่านี้ ไม่มีพรมแดรติดทะเลเพื่อใช้การขนส่งสินค้าทางเรือ ตลอดจนเชื่อมผ่านความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอิหร่านผ่านประเทศเหล่านี้
---------------------------------------------------------
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน
ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของประเทศอิหร่าน
ภาวะเศรษฐกิจทั่วไป
-ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ 111 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปี 2546)
-รายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,659 เหรียญสหรัฐฯ (ปี 2546)
-อัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติร้อยละ 6.8 (ปี 2547)
-อัตราเงินเฟ้อ 15 % (ปี 2546)
-ระบบการเงิน เงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เรียล (Rial)
-อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 7,900 - 8,000 เรียล (ปี 2547)
-เงินตราสำรองต่างประเทศ 20.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปี 2547)
-ตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 402 บริษัท มูลค่า Market Capital จำนวน 418,954 พันล้านเรียล (หรือ 52.37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ณ เดือนธันวาคม 2547
-ธนาคาร ของภาครัฐฯ จำนวน 11 ธนาคาร ภาคเอกชน จำนวน 4 ธนาคาร ยังไม่อนุญาตให้ธนาคารต่างชาติเปิดดำเนินการธุรกรรมทางการเงินในประเทศได้ แต่มีสำนักงานประสานงาน Liaison office 3 ธนาคาร
โครงสร้างผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
น้ำมัน 14.2%
เกษตรกรรมและ ประมง 21.2%
เหมืองแร่และอุตสาหกรรม 19.4%
บริการ 35.2%
พาณิชย์และอื่นๆ 10.0%
มูลค่าการส่งออกในปี 2546 มูลค่า 25.44 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าออกที่สำคัญได้แก่ สินค้าน้ำมันดิบ (ร้อยละ 80ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) แก๊สธรรมชาติ พรม ผลไม้ ถั่วต่างๆ ฝ้าย อัญมณี ทองคำ ไข่ปลาคาร์เวียร์
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ตลาดส่งออกหลักได้แก่ ญี่ปุ่น (20.50%) อิตาลี (7.50%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (6.25%) ฝรั่งเศส (5.50%) และ จีน (4.50%)
มูลค่าการนำเข้าในปี 2546 มูลค่า 20.34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้านำเข้าที่สำคัญ สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ สินค้ายุทโธปกรณ์ทางการทหาร เครื่องจักรกล เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหาร เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ การขนส่ง
ตลาดนำเข้าหลัก ได้แก่เยอรมนี(17.10%) สวิสเซอร์แลนด์ (9.30%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (9.10%) ฝรั่งเศส (5.90%) และอิตาลี (5.80%)
ที่มา: http://www.depthai.go.th
-ดท-
ความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างประเทศไทยและอิหร่านได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1955 ประเทศไทยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับอิหร่านในระยะที่ผ่านมา โดยประเทศไทยพยายามเน้นการส่งเสริมความสัมพันธ์กับอิหร่านเฉพาะด้านเศรษฐกิจที่อยู่ภายใต้กรอบความร่วมมือของคณะกรรมาธิการร่วมเศรษฐกิจไทย-อิหร่าน (JC) เป็นหลักเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาทางด้านการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาได้ประสบผลสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ขณะที่ฝ่ายอิหร่านพยายามส่งเสริมความร่วมมือและแลกเปลี่ยนเพื่อหวังผลทางการเมืองเป็นสำคัญ ประเทศไทยและอิหร่าน ได้มีการจัดประชุม JC มาแล้วรวม 7 ครั้ง โดยการประชุม JC ครั้งล่าสุดจัดเมื่อระหว่างวันที่ 5 - 7 กันยายน 2004 ณ กรุงเตหะราน
ปริมาณการค้ารวม
ระหว่างประเทศไทยกับอิหร่านในปี 2547 มีมูลค่า 492.86 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยเป็นการขยายตัวทางการค้ารวม ร้อยละ 33.84 จากปี 2546 โดยการส่งออกของไทยมีมูลค่า 452.88 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เป็นการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 52.55 ในขณะที่การนำเข้าของไทยจากอิหร่านมีมูลค่าเพียง 35.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราลดลงร้อยละ 44.0 ในปี 2548 ช่วง 2 เดือนแรก มีการมูลค่าการค้ารวม 92.6 ล้านเหรีญสหรัฐฯ และการส่งออกมูลค่า 78.9 ล้านเหรียญสหรัฐฯ มีอัตราการขยายตัวสูงขึ้นร้อยละ 83.36 จากปี 2547 ในช่วงเดียวกัน (ตารางสถิติการค้าประกอบ)
สถิติการค้าระหว่างไทยกับอิหร่าน (หน่วย ล้านเหรียญสหรัฐฯ)
ปี ปริมาณการค้ารวม ส่งออก อัตราขยาย (%) นำเข้า ดุลการค้า
2544 208.41 132.38 -25.78 76.02 56.37
2545 238.83 177.18 33.83 61.66 115.52
2546 368.25 296.88 67.56 71.38 225.50
2547 492.86 452.88 52.55 39.97 412.91
2548 (มค.-กพ.) 92.60 78.90 83.36 13.70 65.10
หมายเหตุ : ปี 2548 อัตราการขยายตัวในช่วงเดียวกันของปี 2547
สินค้าส่งออกที่สำคัญ (ปี 2547) ได้แก่ สินค้าข้าว (140.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) วิทยุ โทรทัศน์และอุปกรณ์และส่วนประกอบ (39.6 ล้านเหรียญฯ) เครื่องจักรและชิ้นส่วน (33.7 ล้านเหรียญฯ) เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ (23.33 ล้านเหรียญฯ) ยางพารา (21.4 ล้านเหรียญฯ) หลอดภาพโทรทัศน์ (18.9 ล้านเหรียญฯ) ด้ายและเส้นใยประดิษฐ์ (17.1 ล้านเหรียญฯ) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ (16.8 ล้านเหรียญฯ) เส้นใยประดิษฐ์ (16.6 ล้านเหรียญฯ) เครื่องซักผ้าเครื่องซักแห้งและส่วนประกอบ (13.3 ล้านเหรียญฯ) รายการสินค้าส่วนใหญ่มีการขยายตัวสูงขึ้นจากปี 2546 ในอัตราเฉลี่ยกว่าร้อยละ 50 โดยเป้าหมายการส่งออกในปี 2548 ในระยะสั้นกำหนดให้เป็นการขยายตัวร้อยละ 30 และในระยะยาวขยายตัวร้อยละ 40 สำหรับมูลค่าประมาณการการส่งออกจำนวน 634 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้านำเข้าที่สำคัญ (ปี 2547) ได้แก่ สินค้าเหล็กและเหล็กกล้า (17.6 ล้านเหรียญฯ) เคมีภัณฑ์ (8.3 ล้านเหรียญฯ) สินแร่โลหะอื่นๆ และเศษโลหะ (6.55 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) ปลาหมึกสดแช่งแข็ง (3.0 ล้านเหรียญฯ) เครื่องมือเครื่องใช้ด้านวิทยาศาสตร์ (1.5 ล้านเหรียญฯ) ด้ายและเส้นใย (1.0 ล้านเหรียญฯ) ส่วนประกอบโครงรถและตัวถัง (.40 ล้านเหรียญ) เครื่องจักรใช้ในอุตสาหกรรม (.36 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) เชื้อเพลิง (.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) และกาแฟ ชาและเครื่องเทศ (.30 ล้านเหรียญสหรัฐฯ) โดยรายการสินค้าส่วนใหญ่มีอัตราเฉลี่ยลดลง
สินค้าที่มีศักยภาพส่งออกของไทย
อาจพิจารณาความสามารถในการส่งออกสินค้าของไทยมายังประเทศอิหร่าน สามารถสรุปสินค้าทีมีศักยภาพในการส่งออกมายังประเทศอิหร่านได้แก่
1. ข้าว เป็นสินค้าที่มีการส่งออกในอัตราส่วนมากถึง 1 ใน 4 ของมูลค่าการส่งออกของไทยทั้งหมด ในปี 2547 มีมูลค่า 140.56 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในปี 2548 ประมาณการการขยายตัวร้อยละ 15 ทั้งนี้เป็นสินค้าที่มีการควบคุมการนำเข้า โดยรัฐบาลอิหร่านเป็นผู้ผูกขาดการนำเข้าข้าวของประเทศ ทั้งนี้ อิหร่านสามารถปลูกข้าวประมาณปีละ 3.3 ล้านตันแต่ยังมีความจำเป็นต้องนำเข้าโดยเฉลี่ยปีละ 700,000 ตัน โดยนำเข้าจากไทยเป็นอันดับหนึ่งจากผู้นำเข้าต่างประเทศประมาณ 400,000 ตันต่อปี ทั้งนี้เป็นการนำเข้าเพื่อมาจำหน่ายเป็นข้าวสวัสดิการแก่ผู้บริโภคที่มีรายได้น้อย ดังนั้นเป็นการนำเข้าเป็นข้าวขาว 100% เกรดสอง คู่แข่งของไทย ได้แก่เวียดนาม ปากีสถาน อุรุกวัยและอินเดีย ปัจจุบันอิหร่านไม่อนุญาตให้มีการนำเข้าข้าวหอม เพราะไม่ต้องการมีการแข่งขันกับข้าวที่มีผลิตภายในประเทศ
2. เครื่องปรับอากาศ และส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วน เพราะอัตราภาษีของอิหร่านเอื้อให้มีการนำเข้าเป็นวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปแทนการนำเข้าสินค้าสำเร็จรูปซึ่งตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสูงและการใช้มาตรการที่มิใช่ภาษี เช่น อ้างถึงมาตรฐานการผลิตสินค้า ปัจจุบันมีการขยายตัวมาตลอดระยเวลา 3 ปีที่ผ่านมาและในอัตราการขยายตัวสูงมากขึ้นทุกปี
3. เครื่องรับวิทยุ โทรทัศน์และส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วนเช่นกัน เนื่องจากอัตราภาษี แต่มีการขยายตัวสูงเช่นเดียวกัน
4. เครื่องซักผ้า และเครื่องซักแห็งและส่วนประกอบ เป็นการนำเข้าเป็นอะไหล่ชิ้นส่วน เช่น
เดียวกัน และขยายตัวสูง
5. ผ้าผืน เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูง เพื่อนำไปผลิตเสื้อผ้าสำเร็จรูป โดยผ้าผืนไทยได้ความนิยมจากผู้บริโภคและได้รับการยอมรับเป็นสินค้าที่มีคุณภาพสูง
6. อาหารแปรรูป ผักผลไม้กระป๋อง น้ำสัปปะรด น้ำผลไม้อื่นๆ มะขามหวานและมะขามเปรี้ยว ได้รับความนิยมจากผู้บริโภคอิหร่านมากขึ้น และเป็นที่นิยมและเชื่อถือในคุณภาพสินค้าไทย
7. ของใช้ภายในบ้าน ได้แก่ผลิตภัณฑ์ทำจากพลาสติก ทำจากไม้และเซรามิก เนื่องจากคู่แข่งคือประเทศจีนมีสินค้าจำหน่ายในประเทศอิหร่านมามากและนานแล้ว แต่เป็นสินค้าที่มีคุณภาพต่ำ ทำให้ผู้บริโภคอิหร่านมีภาพพจน์ที่ไม่ดีต่อสินค้าจากจีน แต่ให้ความเชื่อถือสินค้าที่ผลิตจากไทยเป็นสินค้าที่มีคุณภาพดี โดยเฉพาะการเน้นแหล่งผลิต Made in Thailand บนสินค้าซึ่งสามาถสร้างภาพพจน์เป็นมูลค่าเพิ่มของสินค้าไทยในตลาดอิหร่าน
8. ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา เป็นสินค้าที่มีความต้องการสูงขึ้นมาก เนื่องจากอิหร่านจำเป็นต้องใช้เป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่นอุตสาหกรรมรถยนต์ ยางรถยนต์ และเครื่องเครื่องใช้ไฟฟ้า
9. การประกอบรถกระบะ และอะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์ มีความต้องการในสินค้าอะไหล่รถยนต์และจักรยานยนต์ เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศมีคุณภาพต่ำ และแหล่งนำเข้าจากจีนเริ่มไม่ได้รับความเชื่อถือในด้านคุณภาพ นอกจากนี้ ภาคเอกชนไทยได้ร่วมดำเนินธุรกิจที่จะประกอบรถกะบะในประเทศอิหร่าน ซึ่งคาดว่าจะมีการผลิตรถกระบะออกจำหน่ายในประเทศอิหร่านในปี 2548
10. นอกจากนี้ มีกลุ่มธุรกิจบริการ เช่น ธุรกิจการก่อสร้าง เนื่องจากประเทศอิหร่านกำลังมีนโยบายการบูรณะและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศที่หยุดมากว่า 27 ปี หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศ ธุรกิจโรงพยาบาล เนื่องจากประเทศอิหร่านมีกลุ่มที่มีรายได้สูงในอัตราร้อยละ 15 - 20 ของประชากรของประเทศ ที่มีความต้องการการรักษาพยาบาลที่จำเป็นต้องใช้เครื่องมือแพทย์เพื่อใช้การบำบัดรักษาที่ทันสมัยซึ่งประเทศอิหร่านมีความขาดแคลน ธุรกิจการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สธรรมชาติ ซึ่งอิหร่านได้ลดกฎระเบียบการประมูลมากขึ้น โดยในขณะนี้ ปตทผส. ได้มีกำหนดที่จะร่วมลงนามการขุดเจาะสัมปทานน้ำมันในประเทศอิหร่านในช่วงเดือนเมษายน 2548 และการร่วมลงทุนการก่อสร้างโรงงานปิโตรเคมีของภาคเอกชนไทย และธุรกิจร้านอาหารไทย ซึ่งในปัจจุบัน ได้มีการเปิดร้านอาหารไทยขึ้นเป็นร้านแรกในกรุงเตหะรานเมื่อเดือนธันวาคม 2547 ที่ผ่านมา
ปัญหาและอุปสรรคการค้าในประเทศอิหร่าน
นโยบายการค้าของประเทศอิหร่าน
อิหร่านมีนโยบายที่จะรักษาดุลการค้าระหว่างประเทศเป็นหลัก รัฐบาลจึงมีนโยบายในการตั้งกำแพงภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศในอัตราที่สูงเพื่อเป็นการปกป้องอุตสาหกรรม รัฐบาลอิหร่านจึงได้มีการประเมินและปรับปรุงนโยบายการนำเข้าของประเทศทุกๆ สิ้นปีของประเทศ Iranian Calendar Year (เดือนมีนาคม) และจะมีผลใช้ในปีถัดไป นโยบายดังกล่าวจะจัดพิมพ์โดยกระทรวงพาณิชย์ของอิหร่าน กฎและระเบียบการนำเข้าสินค้าจะแบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่ สินค้าที่ได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ของอิหร่านเป็นที่เรียบร้อยแล้วและสามารถนำเข้าได้โดยไม่มีข้อห้ามใดๆ สินค้าที่สามารถนำเข้าได้ในบางช่วงเวลาโดยขึ้นอยู่กับปริมาณกำลังผลิตภายในประเทศในขณะนั้น โดยจะต้องขออนุญาตจากรัฐบาลอิหร่านก่อนหรือภาครัฐฯ จะเป็นผู้ผูกขาดการนำเข้าเอง ได้แก่ สินค้าข้าว ข้าวสาลี นมผงสำหรับทารก น้ำมันพืช และสินค้าที่ห้ามนำเข้าโดยเด็ดขาด ซึ่งได้แก่สินค้าทุกชนิดที่มาจากประเทศอิสราเอล สินค้าที่อาจมีผลกระทบต่อศาสนาอิสลาม และสินค้าที่อาจเป็นภัยอันตรายต่อสถานการณ์ในประเทศ ได้แก่ สินค้าที่ทำจากเนื้อหมูทุกชนิด สิ่งพิมพ์ที่เกี่ยวกับศาสนาและรูปปั้นต่างๆ เครื่องแบบทหาร สินค้าอาวุธสงคราม ฝิ่นและยาเสพติดทุกประเภท เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ วัตถุโบราณ วิทยุสื่อสาร และงานศิลปะ
มาตรการด้านภาษีและมิใช่ภาษี
สินค้าที่ส่งมายังประเทศอิหร่าน จำเป็นต้องตรวจเช็คข้อมูลและกฎระเบียบในการนำเข้าของประเทศอิหร่านอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากรัฐบาลอิหร่านมีการเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในบางกรณีจะขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศุลกากรในการนำเข้าสินค้ามายังประเทศอิหร่านและมีความซับซ้อนของกฎระเบียบการนำเข้า ทั้งนี้ มีกฎหมายการนำเข้าหลักที่กำหนดให้บริษทที่จดทะเบียนในประเทศอิหร่านได้เท่านั้นที่สามารถขอใบอนุญาตการนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศ นอกจากนี้ อิหร่านเก็บภาษีศุลกากรโดยใช้ระบบ Ad Valorem เป็นพื้นฐานและมีการพิจารณาเปลี่ยนแปลงทุกๆ สิ้นปีของอิหร่าน Iranian Calendar Year (เดือนมีนาคม)
นอกจากนี้ มีประเด็นที่เกี่ยวข้องกับมาตรฐานของสินค้าภายในประเทศ ดังเช่น การนำเข้าเหล้กเส้น ซึ่งอิหร่านใช้มาตรฐานที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากล เช่นการกำหนดจากน้ำหนักแทนขนาด หรือการควบคุมการนำเข้ารถยนต์โดยต้องผ่านมาตรฐานจากสำนักงานมาตรฐานแห่งชาติ ทั้งที่รถยนต์ที่ผลิตในประเทศโดยข้อเท็จจริง เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นต่ำกว่ามาตรฐานทั่วไปของโลก สำหรับอัตราภาษีนำเข้าซึ่งมีอัตราสูงทำให้การส่งออกสินค้าในหลายรายการ ผู้นำเข้าอิหร่านจะนำเข้าผ่านรัฐดูไบ ซึ่งเมื่อถึงดูไบแล้ว จะนำเข้าโดยการลักลอบหรือวิธีการที่หลีกเลี่ยงหรือการติดสินบนเจ้าหน้าที่ของรัฐฯ แทนการเสียภาษีนำเข้าโดยตรง ซึ่งสินค้าส่วนใหญ่เป็นสินค้าสำเร็จรูปราคาแพง Luxury Goods และสินค้าประเภทอัญมณีและพลอยสี เสื้อผ้าสำเร็จรูปมียี่ห้อ เครื่องใช้ไฟฟ้าบางประเภท ซึ่งคนอิหร่านนำเข้าจากไทยในปริมาณสูง แต่ไม่ค่อยปรากฎอยู่ในสถิติการส่งออกเพราะเป็นการซื้อด้วยเงินสด และเป็นการลักลอบนำเข้าไปเอง
ปัญหาทางด้านการเมือง
เนื่องจากประเทศอิหร่านถูกกีดกันทางการเมืองจากประเทศสหรัฐฯ ทำให้ไม่สามารถทำการค้ากับประเทศสหรัฐฯ ได้โดตรง ต้องนำเข้าสินค้าผ่านประเทศที่ 3 โดยปกติจะใช้ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เนื่องจากความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐาน การคมนาคมและระบบการเงิน นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านยังคงถูกเพ่งเล็งเรื่องการครอบครองและการดำเนินการพัฒนาปรมาณู ซึ่งจะมีผลต่อการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนภายในประเทศ สำหรับสถานภาพทางการเมืองภายในประเทศ ผู้นำศาสนาและคณะกรรมการด้านศาสนามีอำนาจในการตัดสินใจในการออกกฎหมายขั้นสุดท้าย ซึ่งมีผลต่อการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบการค้าและการลงทุนให้ดีหรือพัฒนามากขึ้นได้ค่อนข้างช้า นอกจากนี้ ประเทศอิหร่านได้พยายามมาโดยตลอดที่จะสมัครเป็นสมาชิกขององค์การค้าโลกมากกว่า 6 ปี (18 ครั้ง) แต่ไม่ได้รับการพิจารณาให้เป็นสมาชิก เนื่องจากสหรัฐฯ ได้บอยค๊อดมาโดยตลอด แต่ทั้งนี้ เมื่อต้นปี 2548 สหรัฐฯ ได้แสดงท่าทีที่จะไม่ขัดขวางการขอเป็นสมาชิกภาพขององค์การค้าโลกของอิหร่านต่อไป
ปัญหาด้านระบบการเงิน
เนื่องจากประเทศอิหร่านขาดประสิทธิภาพการบริหารการเงินในตลาดต่างประเทศ อันเนื่องมาจากการกีดกันในด้านระบบสินเชื่อจากประเทศสหรัฐฯ ที่ครอบครองระบบการเงินของโลก ทำให้ประเทศอิหร่านประสบปัญหาด้านระบบการโอนเงินเข้าออกไปประเทศ และมีปัญหาการการประสานงานด้านการเงินระหว่างธนาคารจากต่างประเทศ ทำให้ระบบงานที่ล่าช้าและติดปัญหาเรื่องกฎระเบียบการควบคุมเงินตราของประเทศ นอกจากนี้ ในปัจจุบันยังไม่มีธนาคารต่างชาติอนุญาตให้ตั้งอยู่ในประเทศอิหร่าน แต่อนุญาตให้มีสำนักงานประสานงาน Liaison Office ของธนาคารต่างชาติที่มีเพียง 3 แห่ง สำหรับการควบคุมเงินตราต่างประเทศ ประเทศอิหร่านมีมาตรการควบคุมเงินตราต่างประเทศ โดยระบุไว้ว่าจะต้องแจ้งการศุลกากรหากมีการแลกเปลี่ยนเงินตราในปริมาณเกินกว่า 1,000 เหรียญสหรัฐฯ ขึ้นไป การแลกเปลี่ยนเงินตราสามารถแลกเงินตราประเทศโดยเฉพาะเงินเหรียญสหรัฐฯ ทำได้โดยง่ายทั้งในตลาดมืดหรือธนาคารที่มีอัตราใกล้เคียงกันมาก แต่การแลกคืนจากเงินท้องถิ่นเป็นเหรียญสหรัฐฯ จะเป็นไปด้วยความยากลำบากและอัตราที่แตกต่างกันมาก
สิทธิบัตร เครื่องหมายการค้า และลิขสิทธิ์
ปัจจุบันมีกฎหมายการคุ้มครองสิทธบัตร เครื่องหมายการค้าและลิขสิทธิ์เทียบเท่านานาชาติ แต่ไม่มีการควบคุมและลงโทษผู้ละเมิดกฎหมายดังกล่าวอย่างจริงจัง และพบการละเมิดกฎหมายอย่างรุนแรง ทั้งที่ประเทศอิหร่านเป็นสมาชิกสนธิสัญญา Paris Convention ซึ่งให้ความคุ้มครองในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาอยู่แล้ว
ลู่ทางการส่งออก
โดยข้อเท็จจริงประเทศอิหร่าน มีกฎระเบียบการค้าที่ค่อนข้างเคร่งครัด เนื่องจากต้องการปกป้องอุตสาหรรมภายในประเทศ ถึงแม้ว่าในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา รัฐบาลได้พยายามแก้ไขกฎระเบียบและมาตรการต่างๆที่เป็นอุปสรรคต่อการค้าเพื่อปรับโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการค้าของประเทศให้มีมาตรฐานสากล แต่รัฐบาลก็ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพเนื่องจากปัญหาความขัดแย้งในด้านการเมือง ในปัจจุบันสินค้าหลักของไทยที่ส่งออกไปยังอิหร่าน คือ ข้าว ซึ่งมีมูลค่าประมาณร้อยละ 30-40 ของมูลค่ารวมการส่งออกของไทยไปอิหร่าน สำหรับสินค้าอื่นๆ มีการส่งออกไปอิหร่าน มีมูลค่าไม่มากนักเนื่องจากผู้ส่งออกไทยจะใช้วิธีการส่งสินค้าผ่านพ่อค้าคนกลางในรัฐดูไบ ประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และส่งออกไปอิหร่านอีกต่อหนึ่ง ส่งผลให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่งซึ่งส่งสินค้าไปยังอิหร่านโดยตรง และทำให้สินค้าไทยต้องสูญเสียตลาดให้แก่ประเทศคู่แข่งขันในระยะยาว ดังนั้น ผู้ส่งออกไทย จะต้องเปลี่ยนกลยุทธ์ในการเจาะตลาดอิหร่านเป็นลักษณะเชิงรุกโดยการเข้ามาติดต่อเจรจาการค้ากับผู้นำเข้าอิหร่านโดย ตรงด้วยวิธีการหาตัวแทนการค้าและเข้าร่วมงานแสดงสินค้าในประเทศอิหร่านเพื่อที่จะส่งเสริมให้สินค้าไทยเป็นที่รู้จักแก่ผู้บริโภคอิหร่านต่อไป สำหรับการเจรจาติดต่อการค้ากับนักธุรกิจอิหร่าน การตัดสินใจในการซื้อสินค้ายังคงใช้ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยเป็นหลัก หากนักธุรกิจอิหร่านเห็นว่ามีช่องทางที่จะได้กำไรก็จะตกลงการค้าทันที โดยผู้ส่งออกไทยมีหน้าที่จัดส่งสินค้า และนักธุรกิจ/ผู้นำเข้าอิหร่าน จะมีวิธีการที่จะนำเข้าสินค้าเข้าสู่ตลาดอิหร่านเอง
ลักษณะและรูปแบบการทำธุรกิจในอิหร่าน
กลุ่มผู้ซื้อที่สำคัญ ได้แก่กลุ่มที่มีฐานะทางการเงินสูง ซึ่งเป็นกลุ่มผู้บริโภคประมาณร้อยละ 20 ของประชากรทั้งประเทศ ด้วยวิธีการซื้อสินค้าด้วยตนเองจากแหล่งจำหน่ายสินค้าและจากข้อมูลจากการส่งเสริมการขายที่สำคัญ โดยใช้ผ่านผู้นำเข้าและผู้ค้าส่งรายใหญ่ของประเทศ ซึ่งส่วนใหญ่ตั้งอยู่ ณ กรุงเตหะราน นอกจากนี้แล้ว สื่อที่ใช้เป็นการส่งเสริมการขายที่ดีที่สุดคือสื่อสิ่งพิมพ์ซึ่งเป็นสื่อที่กระจายไปสู่ประชากรส่วนใหญ่ สำหรับลักษณะธุรกิจของประเทศได้แก่ กลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นของภาครัฐ ส่วนระดับกลางและขนาดเล็กและเป็นผู้นำเข้าเอกชนจะดำเนินการจัดจำหน่ายและกระจายสินค้าส่วนใหญ่ไปต่างจังหวัดตามเครือข่ายขนาดเล็กๆ เอง นอกจากนี้ ในบางรายการสินค้าที่ภาครัฐฯ เป็นผู้มีสิทธิ์นำเข้าสินค้าเอง แต่สามารถมอบหมายให้ภาคเอกชนอิหร่านเป็นตัวแทนในการนำเข้าแทน โดยต้องได้รับอนุญาตจากภาครัฐก่อน
แนวทางในการแก้ไขปัญหาและอุปสรรคทางการค้า
การเตรียมความพร้อมด้านธุรกิจและการเข้าสู่ตลาด
นักธุรกิจอิหร่านส่วนใหญ่พูดภาษาฟาร์ซี (อิหร่าน) เป็นหลัก แต่มีกลุ่มนักธุรกิจอิหร่านที่ทำการค้าระหว่างประเทศ สามารถพูดภาษาอังกฤษได้ดี นอกจากนี้ ต้องศึกษาข้อสัญญากับนักธุรกิจอิหร่านให้ดี เพราะอิหร่านจะนิยมข้อกำหนดของตนเองเป็นมาตรฐาน Iranian Term ซึ่งไม่สอดคล้องกับข้อสัญญาตามมาตรฐานโลก และระบบการชำระเงินก็เป็นข้อสำคัญ เนื่องจากระบบการเงินการคลังไม่ได้เป็นที่ยอมรับ และการแลกเปลี่ยนเงินตราผ่านธนาคารต่างประเทศค่อนข้างมีปัญหา จึงจำเป็นต้องพึ่งธนาคารจากประเทศที่สาม เช่นที่รัฐดูไบ หรือผ่านระบบการเงินของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
พฤติกรรมของผู้บริโภคในอิหร่าน
ความนิยมสินค้า
ประเทศอิหร่านมีการปกครองแบบสาธารณรัฐอิสลาม และ ชาวอิหร่านจะถูกจำกัดสิทธิในการดำเนินชีวิตประจำวันหลายประการด้วยเหตุผลทางศาสนาและวัฒนธรรม คนอิหร่านที่เป็นชนชั้นสูง ประมาณร้อยละ 15-20 เป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง จะนิยมเดินทางออกไปพักผ่อนและจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในต่างประเทศ สำหรับชาวอิหร่าน ที่เป็นชนชั้นกลาง ประมาณร้อยละ 20 — 30 และระดับล่างประมาณร้อยละ 60 จะนิยมซื้อสินค้าที่ผลิตภายในประเทศหรือนำเข้าจากต่างประเทศ โดยนิยมสินค้าที่มีคุณภาพดี แต่ราคาถูก การซื้อสินค้าแต่ละครั้งจะมีการเปรียบเทียบราคาและต่อรองราคาสินค้าจนกว่าตนเองจะพอใจ ชาวอิหร่านจะจับจ่ายใช้สอยซื้อสินค้าในช่วงเทศกาลปีใหม่อิหร่าน (เดือนมีนาคมของทุกปี) ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจการค้าคึกคักที่สุดในรอบปี สำหรับการเจรจาติดต่อการค้ากับนักธุรกิจอิหร่าน การตัดสินใจในการซื้อสินค้ายังคงใช้ความสัมพันธ์และความคุ้นเคยเป็นหลัก หากนักธุรกิจอิหร่านเห็นว่ามีช่องทางที่จะได้กำไรก็จะตกลงการค้าทันที โดยผู้ส่งออกไทยมีหน้าที่จัดส่งสินค้า และ นักธุรกิจ/ผู้นำเข้าอิหร่าน จะมีวิธีการที่จะนำเข้าสินค้าเข้าสู่ตลาดอิหร่านเอง
รูปแบบสินค้า
คนอิหร่านนิยมสินค้าที่มีความทันสมัยและมาจากต่างประเทศ โดยเฉพาะสินค้าจากภูมิภาคยุโรป แต่เนื่องจากราคาสินค้าดังกล่าวมีราคาแพง จึงจำเป็นต้องซื้อสินค้าจากเอเชีย ประเทศจีนได้เข้ามาครอบครองสินค้านำเข้าเป็นหลัก และเป็นสินค้าที่คุณภาพต่ำและราคาถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากภาพพจน์ของสนค้าจีนเป็นภาพพจน์สินค้าที่ไม่มีคุณภาพ จึงเริ่มสนใจนำเข้าจากประเทศอื่นๆ ได้แก่ไทย เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น ประเทศไทยได้รับความยอมรับในคุณภาพสินค้า รูปแบบและสีสรรของสินค้าที่ทันสมัยและแนวโน้มไปทางยุโรป จึงได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ เนื่องจากประเทศอิหร่าน ทางเหนือมี 4 ฤดู ความนิยมสินค้าที่มีรูปแบบที่ยั่งยืน ก็ได้รับความนิยมสูง
ราคาสินค้า
ราคาสินคาเป็นปัจจัยหลักในตลาดขณะนี้ เนื่องจากสินค้าของประเทศอิหร่านเอง และจากจีนมีราคาค่อนข้างต่ำ ดังนั้นการเข้ามาในตลาดประเทศอิหร่านจึงต้องไม่สูงมาก เพราะจะทำให้ความสนใจมีน้อยลง แต่อย่างไรก็ตาม สินคาที่มีคุณภาพสูงและราคาสูงก็สามารถจำหน่ายได้ เพราะมีกลุ่มผู้บริโภค ประมาณร้อยละ 20 เป็นกลุ่มที่มีรายได้ต่อหัวสูงมาก และไม่คำนึงราคาเป็นปัจจัยการซื้อสินค้า
การติดต่อนัดหมายทางธุรกิจในอิหร่าน
1. ควรเรียนรู้ความหมายของภาษาเปอร์เซียบางประโยค หรือ บางคำ
2. ชาวอิหร่านไม่ชอบให้ผู้อื่นเรียกว่าเป็นชาวอาหรับ
3. การไปเยี่ยมเยียนลูกค้าอิหร่านอย่างสม่ำเสมอ หรือ อาศัยความคุ้นเคย จะเป็นประโยชน์ต่อการเจรจาธุรกิจในระยะยาว
4. ควรมีการนัดหมายเจรจาธุรกิจล่วงหน้า
5. ควรมีล่ามในการเจรจาธุรกิจ เนื่องจากชาวอิหร่านไม่นิยมพูดภาษาอังกฤษ
6. ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ในเรื่องการเมืองและศาสนา
7. ไม่ควรเดินทางมาเจรจาติดต่อธุรกิจในประเทศอิหร่านในช่วงเดือนวันที่ 15 - 31 มีนาคม ของทุกปี เนื่องจากเป็นวันหยุดยาวของเทศกาลวันปีใหม่อิหร่าน และช่วงถือศีลอด Ramadan ประมาณ 1 เดือนในเดือนพฤศจิกายนของทุกปี
ช่องทางการจำหน่าย
ช่องทางการส่งสินค้าไทยไปประเทศอิหร่านที่สำคัญ คือ เขตการค้าเสรี (Free Trade Zone) ซึ่งประกอบด้วย เกาะคีช (Kish) เกาะเคชม์ (Qeshm) และผ่านเมืองท่า 3 แห่งที่สำคัญ ได้แก่เมืองชาร์บาฮาร์ (Chabahar) คอร์รัมชาร์ (Korramshar) และบันดาอับบัส (Bandar abbas) โดยเฉพาะที่เกาะคีช รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนให้แข่งขันกับรัฐดูไบ โดยการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศในอัตราที่ต่ำกว่าสินค้าที่ส่งไปยัง Mainland อิหร่านโดยตรง ดังนั้น ผู้ส่งออกไทยอาจใช้เกาะคีช เป็นฐานในการกระจายสินค้าไปยังอิหร่านต่อไป ในปัจจุบัน มีสินค้าไทยวางจำหน่ายที่เกาะคีช เช่นสินค้าเสื้อผ้า รองเท้ากีฬา ดอกไม้ประดิษฐ์ อุปกรณ์ที่ใช้ในครัวเรือน ของประดับและ ตกแต่งบ้าน สินค้าอาหารกระป๋อง เป็นต้น ซึ่งสินค้าเหล่านี้ไม่ได้ส่งออกจากประเทศไทยไปที่เกาะคีช โดยตรง แต่ส่งผ่านพ่อค้าคนกลางในรัฐดูไบ ทำให้ต้นทุนสินค้าของไทยสูงกว่าประเทศคู่แข่งขัน
กลยุทธ์ทางการค้า
1. จัดคณะผู้แทนการค้าระดับสูง จากหน่วยงานภาครัฐฯ และเอกชน เดินทางไปเยือนประเทศอิหร่าน อย่างสม่ำเสมอเพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการค้าและการเมือง
2. ส่งเสริมและสนับสนุนให้นักธุรกิจไทยไปลงทุน และ ตั้งฐานธุรกิจในเขตการค้าเสรีของอิหร่านเพื่อใช้เป็นฐานในการส่งออกสินค้าไทยไปยัง mainland อิหร่าน ต่อไป
3. สนับสนุนนักธุรกิจไทยเข้าร่วมโครงการผลักดันการส่งออกไปตลาดอิหร่าน (ตลาดใหม่) ในงานแสดงสินค้าที่มีศักยภาพ และโน้มน้าวให้นักธุกิจอิหร่านเดินทางไปเยือนงานแสดงสินค้าและกิจกรรมในประเทศไทยมากขึ้น และสนับสนุนให้มีพบปะเจรจาการค้าเพื่อสามารถเจาะตลาดกับนักธุรกิจอิหร่านโดยตรง ซึ่งจะช่วยสร้างตลาดสินค้าไทยอย่างมีระบบและมีประสิทธิภาพ ในประเทศอิหร่านต่อไป
4. สนับสนุนให้ประเทศอิหร่านเข้าเป็นสมาชิกองค์การค้าโลก (WTO) ซึ่งจะทำให้อิหร่านต้องมีพันธกรณีที่จะต้องแก้ไขกฎระเบียบด้านการค้าให้เป็นมาตรฐานสากล
5. พิจารณาใช้ประเทศอิหร่านเป็นฐานการกระจายสินค้าไปสู่ประเทศอื่นๆ ที่ประเทศไทยเข้าไม่ถึง อาทิ ประเทศอิรัก อัฟกานิสถาน อาร์เซอไบจาน อาร์เมเนีย เติร์กเมนิสถาน คาซัคสถาน และอุซเบกิสถาน ซึ่งประเทศส่วนใหญ่เหล่านี้ ไม่มีพรมแดรติดทะเลเพื่อใช้การขนส่งสินค้าทางเรือ ตลอดจนเชื่อมผ่านความสัมพันธ์ทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองของประเทศอิหร่านผ่านประเทศเหล่านี้
---------------------------------------------------------
สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ กรุงเตหะราน
ข้อมูลพื้นฐานด้านเศรษฐกิจของประเทศอิหร่าน
ภาวะเศรษฐกิจทั่วไป
-ผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติ 111 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปี 2546)
-รายได้เฉลี่ยต่อหัว 1,659 เหรียญสหรัฐฯ (ปี 2546)
-อัตราการเติบโตผลิตภัณฑ์มวลรวมประชาชาติร้อยละ 6.8 (ปี 2547)
-อัตราเงินเฟ้อ 15 % (ปี 2546)
-ระบบการเงิน เงินที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ เรียล (Rial)
-อัตราแลกเปลี่ยน 1 เหรียญสหรัฐฯ เท่ากับ 7,900 - 8,000 เรียล (ปี 2547)
-เงินตราสำรองต่างประเทศ 20.96 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ปี 2547)
-ตลาดหลักทรัพย์ จำนวน 402 บริษัท มูลค่า Market Capital จำนวน 418,954 พันล้านเรียล (หรือ 52.37 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ) ณ เดือนธันวาคม 2547
-ธนาคาร ของภาครัฐฯ จำนวน 11 ธนาคาร ภาคเอกชน จำนวน 4 ธนาคาร ยังไม่อนุญาตให้ธนาคารต่างชาติเปิดดำเนินการธุรกรรมทางการเงินในประเทศได้ แต่มีสำนักงานประสานงาน Liaison office 3 ธนาคาร
โครงสร้างผลิตภัณฑ์ประชาชาติ
น้ำมัน 14.2%
เกษตรกรรมและ ประมง 21.2%
เหมืองแร่และอุตสาหกรรม 19.4%
บริการ 35.2%
พาณิชย์และอื่นๆ 10.0%
มูลค่าการส่งออกในปี 2546 มูลค่า 25.44 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้าส่งออกที่สำคัญ สินค้าออกที่สำคัญได้แก่ สินค้าน้ำมันดิบ (ร้อยละ 80ของมูลค่าการส่งออกทั้งหมด) แก๊สธรรมชาติ พรม ผลไม้ ถั่วต่างๆ ฝ้าย อัญมณี ทองคำ ไข่ปลาคาร์เวียร์
ประเทศคู่ค้าที่สำคัญ ตลาดส่งออกหลักได้แก่ ญี่ปุ่น (20.50%) อิตาลี (7.50%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (6.25%) ฝรั่งเศส (5.50%) และ จีน (4.50%)
มูลค่าการนำเข้าในปี 2546 มูลค่า 20.34 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ
สินค้านำเข้าที่สำคัญ สินค้านำเข้าที่สำคัญได้แก่ สินค้ายุทโธปกรณ์ทางการทหาร เครื่องจักรกล เหล็กและเหล็กกล้า เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์อาหาร เวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ การขนส่ง
ตลาดนำเข้าหลัก ได้แก่เยอรมนี(17.10%) สวิสเซอร์แลนด์ (9.30%) สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (9.10%) ฝรั่งเศส (5.90%) และอิตาลี (5.80%)
ที่มา: http://www.depthai.go.th
-ดท-