ข่าวเศรษฐกิจในประเทศ
1. ค่าเงินบาทแข็งตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท.
กล่าวว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าค่าเงินสกุลอื่นในขณะนี้ เนื่องจาก ธปท. มีการปรับประมาณการทาง
เศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทำให้เงินไหลเข้า ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มมีกำไร โดยเฉพาะธนาคารที่มี
ผลประกอบการลงทุนในต่างประเทศดีมาก จึงมีการนำกำไรกลับเข้ามา ทั้งนี้ ธปท. ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์
เศรษฐกิจในปี 48 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.5-4.5 เป็นร้อยละ 4.25-4.75 ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเกินกว่าที่หลายฝ่าย
คาดการณ์ไว้ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ยังไม่ได้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจาก
เห็นว่ายังไม่กระทบกับความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและการค้า แต่ ธปท. จะจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อ
ไป นอกจากนี้ จากการที่เริ่มมีสัญญาณเงินไหลเข้าจากต่างประเทศ เนื่องมาจากการที่ไทยมีอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ในตลาดสูง จนเกิดส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศทั้งยุโรปและ สรอ. ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้ากู้
เงินจากต่างประเทศเพื่อมาชำระค่าสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการขอสินเชื่อการค้าที่ประเทศซึ่งดอกเบี้ยถูกกว่าแม้เพียงเล็กน้อย จะดึงดูดผู้ประกอบการไปใช้บริการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเพราะมีการค้ารองรับ ไม่ใช่เป็นการกู้
ระยะสั้นเพื่อนำเงินมาลงทุนในระยะยาว แต่ยังต้องรอดูต่อไปว่าจะมีโครงการลงทุนทางตรงเข้ามาต่อไปหรือ
ไม่ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
2. เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้เริ่มชะลอตัวลง นางสุชาดา กิระกุล ผอส.สายนโยบายการ
เงิน ธปท. แถลงว่า เครื่องชี้ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปีนี้เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ดัชนี
อุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่
ขยายตัวร้อยละ 0.9 เช่นเดียวกับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 5.6 ชะลอลงจากไตรมาส 1
และ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 10.8 และ 9.9 ทั้งนี้ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อยู่ระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในระยะ 3 เดือนข้างหน้าที่ต่ำกว่าระดับ 50 เช่นกัน ในขณะที่อุป
สงค์ในประเทศที่ชะลอตัวเป็นผลมาจากการลอยตัวราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่แต่ละเดือนราคาปรับขึ้นสูงกว่า
ช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 30-50 บั่นทอนอำนาจซื้อของประชาชน และทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น
ด้วย ตลอดจนดอกเบี้ยขาขึ้นมีผลให้ประชาชนคิดมากยิ่งขึ้นในการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทนถาวรโดยเฉพาะบ้านราคา
แพง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไตรมาส 4 อุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่สามารถปรับตัวกับปัจจัยลบใน
ไตรมาสที่ 3 ซึ่งปลายปีเป็นช่วงเทศกาลคงจะช่วยเรื่องการอุปโภคบริโภคได้ แต่ไม่คาดว่าจะขยายตัวมากนัก
สำหรับการลงทุนที่ชะลอลงยังน่าเป็นห่วง เพราะการลงทุนเป็นตัวดึงศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้ขณะนี้ที่ร้อยละ 5-6 ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการลงทุน เพราะเป็นระดับที่ต่ำ ส่วนการส่งออกในไตร
มาสสุดท้ายจะขยายตัวได้สูงสุด จึงมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้การส่งออกทั้งปีนี้ขยายตัวร้อยละ 17-19 ทำให้ดุลบัญชี
เดินสะพัดจะขาดดุลลดลงอยู่ที่ระดับ 3-4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ (มติชน, ผู้จัดการ
รายวัน, ไทยรัฐ)
3. การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์ยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนัก รายงานข่าวจาก
ธปท. เปิดเผยว่า จากรายงานโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจต่อธุรกิจระหว่าง ธปท. กับนักธุรกิจ ณ สิ้น
เดือน ก.ย.48 พบว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์ยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนัก เพราะ
ส่วนใหญ่ใช้แหล่งเงินทุนจากภายในบริษัท ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหากการปรับขึ้น
ดอกเบี้ยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ประกอบการก็จะสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมั่นใจว่า
เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะได้รับแรงผลักดันจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น จากสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และอาหารทะเลแช่แข็ง สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งที่เป็นการ
ลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการขยายกำลังการผลิต เช่น อุตสาหกรรมอาหารและ
เครื่องดื่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัว
โดยเฉพาะในโครงการใหม่ (เดลินิวส์)
4. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้นโยบายอีกร้อยละ 0.25 คุณหญิงชฎา วัฒนศิริ
ธรรม กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดผยว่า ในการประชุม ธ.กลาง สรอ. วันนี้ (1 พ.ย.) คงจะมีการปรับ
ขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ซึ่งเป็นลักษณะของการทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากนัก
เพราะ สรอ. เองยังประสบปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากเกิดปัญหาพายุเฮอริเคนแคทรีนา ส่วนอัตรา
ดอกเบี้ยของไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้น ทำให้ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งต่างเตรียมออกเงินฝากรูปแบบระระยาวเพื่อระดมทุน
อัตราดอกเบี้ยคงที่ไว้ก่อน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันระดมเงินฝากในระบบ ธ.พาณิชย์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และ
เงินฝากของ ธ.พาณิชย์น่าจะปรับขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายในสิ้นปีนี้ ในขณะที่สภาพคล่องในระบบทยอยปรับลดลง ส่วนหนึ่ง
เป็นสาเหตุจากการออกพันธบัตรของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจทำให้เม็ดเงินไหลออกไปยังตลาดตราสารเพื่อหาผลตอบ
แทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ด้านบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ
0.25 จากร้อยละ 3.75 เป็นร้อยละ 4.0 ในการประชุมวันนี้ และคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมรอบ
ที่เหลือของปีนี้ (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การใช้จ่ายของผู้บริโภคสรอ.ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิต
ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 48 ก.พาณิชย์สรอ.เปิดเผยว่าในเดือนก.ย.
การใช้จ่ายของผู้บริโภคสรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.5 ในเดือนส.ค. โดยเป็นผลมาจาก
การเพิ่มสูงขึ้นของต้นทุนราคาน้ำมันและหากปรับตัวเลขเงินเฟ้อแล้วการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับลดลงร้อยละ 0.4
ขณะเดียวกันรายได้ของผู้บริโภคกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 1.7 เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 47
สาเหตุจากเงินชดเชยที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยกรณีพายุเฮอร์ริเคนซึ่งมีจำนวนสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 120
พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนั้น PMI ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำการผลิตภาคอุตสาหกรรมของ Midwest ในเดือนต.ค.
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 62.9 จากระดับ 60.5 ในเดือนก.ย. นักวิเคราะห์กล่าวว่าผลของพายุเฮอร์ริเคน ทำให้ยากต่อ
การคาดการณ์การใช้จ่ายและรายได้ผู้บริโภค ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชี้ว่าศ.ก.สรอ.ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
2. จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งแรกปี 48 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.1 ของจีดีพี รายงานจาก
ปักกิ่ง เมื่อ 31 ต.ค.48 The State Administration of Foreign Exchange (SAFE) เปิดเผยว่า ใน
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 48 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นจำนวน 67.26 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นเป็นเก้าเท่า
จากจำนวนเกินดุล 7.47 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 59.799 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ.ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเกือบจะสูงเท่ากับมูลค่าเกินดุลทั้งปี 47 ที่มีจำนวน 68.7 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. นับว่าในรอบครึ่งปีแรกปี 48 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8.1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) (ที่มีจำนวน 832.37 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในช่วงครึ่งแรกปี 48) เนื่องจากเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นจำนวน
54.23 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ขาดดุลบริการเพียงจำนวน 3.93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ดุลเงินโอน
และเงินลงทุนมียอดเกินดุลทั้งสิ้น 12.09 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจีนกำลังเผชิญ
กับภาวะที่ต้องพยายามลดการเกินดุลการชำระเงินจำนวนมหาศาลลงให้ได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินหยวนที่
เคยปรับค่าไปแล้วร้อยละ 2.1 เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งอาจเพิ่มความขัดแย้งด้านการค้ากับประเทศ
สรอ. อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์คาดว่า ภาวะเกินดุลการค้าของจีนในปีนี้จะสูงถึง 3 เท่าจากปีก่อน โดยอยู่ที่
ประมาณ 90 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปี 47 ขณะที่มีรายงานจาก The
Chinese Academy of International Trade and Economic Cooperation เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า
การส่งออกจะขยายตัวลดลงในปีหน้าท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปีต่ำกว่าที่คาดไว้
รายงานจากโซล เมื่อ 1 พ.ย.48 สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ต.ค.48
เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ต่อปีที่คาดไว้จากผลสำรวจรอยเตอร์ หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
ต่อปีในเดือนก่อนและร้อยละ 2.0 ต่อปีในเดือน ส.ค.48 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี รายงานดังกล่าวออกมา
ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมของ ธ.กลางเกาหลีใต้เพื่อทบทวนนโยบายการเงินในวันที่ 10 พ.ย.48 ที่จะถึงนี้ โดยใน
การประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 11 ต.ค.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
เป็นสัญญาณเตือนว่าภาวะเงินเฟ้อกำลังก่อตัวขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศหลังจากอยู่ในภาวะซบเซาใน
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
4. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ต่อปีต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงาน
จากโซล เมื่อ 1 พ.ย.48 ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้รายงานยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 มีจำนวน
25.71 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.4 ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 14.0 ต่อ
ปีที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ ในขณะที่ยอดนำเข้ามีจำนวน 22.78 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6
ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 18.1 ที่คาดไว้เช่นเดียวกัน ทำให้เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้าในเดือน ต.ค.48 จำนวน
2.93 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากยอดส่งออกและนำเข้าในเดือนก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และร้อยละ
24.4 ตามลำดับ ตัวเลขการค้าของเกาหลีใต้ดังกล่าวข้างต้นเป็นที่สนใจเฝ้าติดตามเนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศ
ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศแรกในเอเชียที่รายงานตัวเลขดังกล่าว (รอยเตอร์)
5. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 48 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า รายงาน
สิงคโปร์เมื่อ 31 ต.ค.48 ก.แรงงาน เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 48 อยู่ที่
ระดับร้อยละ 3.3 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.4 สะท้อนภาพการฟื้นตัวของตลาดแรงงานซึ่งเป็น
ปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การที่อัตราการว่างงานลดลงมีสาเหตุจากการจ้างงาน
ใหม่ในภาคบริการเพิ่มขึ้น แม้ว่าการเลิกจ้างในภาคการผลิตจะยังคงขยายตัวก็ตาม โดยตัวเลขการจ้างงานใหม่ใน
ช่วงไตรมาสที่ 3 มีจำนวน 28,700 อัตรา เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่า
ไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 31,700 อัตรา ซึ่งในจำนวนตัวเลขการจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จำนวน
18,400 อัตราเป็นการจ้างงานในภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศและมีการจ้าง
งานมากกว่าครึ่งของกำลังแรงงานโดยรวม อนึ่ง รัฐบาลสิงคโปร์ต้องการปรับปรุงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจสิงคโปร์ โดยการให้ความสำคัญกับการจ้างงานในภาคบริการเพื่อชดเชยกับการจ้างงานในภาคการผลิต ซึ่งหันไปใช้
เครื่องจักรทดแทนแรงงานมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งผลให้การจ้างงานลดลงเป็นลำดับ เห็นได้จากตัวเลข
การเลิกจ้างในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่มีจำนวน 2,500 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นถึง
ร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเลิกจ้างในภาคการผลิตโดยเฉพาะอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ ถึง 1,700 อัตรา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 1 พ.ย. 48 31 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.771 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5934/40.7717 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80792 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 682.62/ 7.47 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,000/9,100 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.09 53.78 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/23.79** 26.14*/23.79** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 28 ต.ค. 48
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
1. ค่าเงินบาทแข็งตามตัวเลขเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล ผู้ว่าการ ธปท.
กล่าวว่า สาเหตุที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่าค่าเงินสกุลอื่นในขณะนี้ เนื่องจาก ธปท. มีการปรับประมาณการทาง
เศรษฐกิจดีขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศอื่นทำให้เงินไหลเข้า ในขณะที่บริษัทต่าง ๆ เริ่มมีกำไร โดยเฉพาะธนาคารที่มี
ผลประกอบการลงทุนในต่างประเทศดีมาก จึงมีการนำกำไรกลับเข้ามา ทั้งนี้ ธปท. ได้ปรับตัวเลขคาดการณ์
เศรษฐกิจในปี 48 เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 3.5-4.5 เป็นร้อยละ 4.25-4.75 ถือว่าเป็นตัวเลขที่ดีเกินกว่าที่หลายฝ่าย
คาดการณ์ไว้ ซึ่งที่ผ่านมา ธปท. ยังไม่ได้เข้าไปแทรกแซงค่าเงินบาท ปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจาก
เห็นว่ายังไม่กระทบกับความสามารถในการแข่งขันด้านการส่งออกและการค้า แต่ ธปท. จะจับตาดูอย่างใกล้ชิดต่อ
ไป นอกจากนี้ จากการที่เริ่มมีสัญญาณเงินไหลเข้าจากต่างประเทศ เนื่องมาจากการที่ไทยมีอัตราดอกเบี้ยระยะสั้น
ในตลาดสูง จนเกิดส่วนต่างระหว่างดอกเบี้ยไทยกับต่างประเทศทั้งยุโรปและ สรอ. ทำให้ผู้ประกอบธุรกิจนำเข้ากู้
เงินจากต่างประเทศเพื่อมาชำระค่าสินค้า ซึ่งเป็นเรื่องปกติของการขอสินเชื่อการค้าที่ประเทศซึ่งดอกเบี้ยถูกกว่าแม้เพียงเล็กน้อย จะดึงดูดผู้ประกอบการไปใช้บริการ ซึ่งไม่ใช่เรื่องน่ากลัวเพราะมีการค้ารองรับ ไม่ใช่เป็นการกู้
ระยะสั้นเพื่อนำเงินมาลงทุนในระยะยาว แต่ยังต้องรอดูต่อไปว่าจะมีโครงการลงทุนทางตรงเข้ามาต่อไปหรือ
ไม่ (โพสต์ทูเดย์, โลกวันนี้)
2. เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 ปีนี้เริ่มชะลอตัวลง นางสุชาดา กิระกุล ผอส.สายนโยบายการ
เงิน ธปท. แถลงว่า เครื่องชี้ทิศทางเศรษฐกิจในไตรมาส 3 ปีนี้เริ่มชะลอตัว โดยเฉพาะอุปสงค์ในประเทศ ดัชนี
อุปโภคบริโภคภาคเอกชนขยายตัวเพียงร้อยละ 0.2 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อนที่
ขยายตัวร้อยละ 0.9 เช่นเดียวกับดัชนีการลงทุนภาคเอกชนที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 5.6 ชะลอลงจากไตรมาส 1
และ 2 ที่ขยายตัวร้อยละ 10.8 และ 9.9 ทั้งนี้ สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจที่อยู่ระดับต่ำกว่า 50 ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 17 เช่นเดียวกับความเชื่อมั่นในระยะ 3 เดือนข้างหน้าที่ต่ำกว่าระดับ 50 เช่นกัน ในขณะที่อุป
สงค์ในประเทศที่ชะลอตัวเป็นผลมาจากการลอยตัวราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศที่แต่ละเดือนราคาปรับขึ้นสูงกว่า
ช่วงเดียวกันของปีก่อนถึงร้อยละ 30-50 บั่นทอนอำนาจซื้อของประชาชน และทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น
ด้วย ตลอดจนดอกเบี้ยขาขึ้นมีผลให้ประชาชนคิดมากยิ่งขึ้นในการตัดสินใจซื้อสินค้าคงทนถาวรโดยเฉพาะบ้านราคา
แพง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าในไตรมาส 4 อุปสงค์ในประเทศจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่สามารถปรับตัวกับปัจจัยลบใน
ไตรมาสที่ 3 ซึ่งปลายปีเป็นช่วงเทศกาลคงจะช่วยเรื่องการอุปโภคบริโภคได้ แต่ไม่คาดว่าจะขยายตัวมากนัก
สำหรับการลงทุนที่ชะลอลงยังน่าเป็นห่วง เพราะการลงทุนเป็นตัวดึงศักยภาพทางเศรษฐกิจในระยะยาว ซึ่งอัตรา
ดอกเบี้ยเงินกู้ขณะนี้ที่ร้อยละ 5-6 ไม่ได้เป็นอุปสรรคของการลงทุน เพราะเป็นระดับที่ต่ำ ส่วนการส่งออกในไตร
มาสสุดท้ายจะขยายตัวได้สูงสุด จึงมีความเป็นไปได้ที่จะทำให้การส่งออกทั้งปีนี้ขยายตัวร้อยละ 17-19 ทำให้ดุลบัญชี
เดินสะพัดจะขาดดุลลดลงอยู่ที่ระดับ 3-4 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามที่ ธปท. คาดการณ์ไว้ (มติชน, ผู้จัดการ
รายวัน, ไทยรัฐ)
3. การปรับขึ้นดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์ยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนัก รายงานข่าวจาก
ธปท. เปิดเผยว่า จากรายงานโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลเศรษฐกิจต่อธุรกิจระหว่าง ธปท. กับนักธุรกิจ ณ สิ้น
เดือน ก.ย.48 พบว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ ธ.พาณิชย์ยังไม่ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการมากนัก เพราะ
ส่วนใหญ่ใช้แหล่งเงินทุนจากภายในบริษัท ขณะเดียวกันอัตราดอกเบี้ยยังถือว่าอยู่ในระดับต่ำ ซึ่งหากการปรับขึ้น
ดอกเบี้ยเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป ผู้ประกอบการก็จะสามารถบริหารจัดการได้ ทั้งนี้ ผู้ประกอบการมั่นใจว่า
เศรษฐกิจครึ่งปีหลังจะดีกว่าครึ่งปีแรก เพราะได้รับแรงผลักดันจากภาคการส่งออกที่ขยายตัวดีขึ้น จากสินค้า
อิเล็กทรอนิกส์ เสื้อผ้าสำเร็จรูป และอาหารทะเลแช่แข็ง สำหรับการลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มดีขึ้น ทั้งที่เป็นการ
ลงทุนในเครื่องจักรเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต และการขยายกำลังการผลิต เช่น อุตสาหกรรมอาหารและ
เครื่องดื่ม ชิ้นส่วนยานยนต์ และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ แต่ในภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์การลงทุนมีแนวโน้มชะลอตัว
โดยเฉพาะในโครงการใหม่ (เดลินิวส์)
4. คาดว่า ธ.กลาง สรอ. จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้นโยบายอีกร้อยละ 0.25 คุณหญิงชฎา วัฒนศิริ
ธรรม กก.ผจก.ใหญ่ ธ.ไทยพาณิชย์ เปิดผยว่า ในการประชุม ธ.กลาง สรอ. วันนี้ (1 พ.ย.) คงจะมีการปรับ
ขึ้นดอกเบี้ยอีกร้อยละ 0.25 ซึ่งเป็นลักษณะของการทยอยปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมากนัก
เพราะ สรอ. เองยังประสบปัญหาการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลังจากเกิดปัญหาพายุเฮอริเคนแคทรีนา ส่วนอัตรา
ดอกเบี้ยของไทยยังมีแนวโน้มปรับขึ้น ทำให้ ธ.พาณิชย์ทุกแห่งต่างเตรียมออกเงินฝากรูปแบบระระยาวเพื่อระดมทุน
อัตราดอกเบี้ยคงที่ไว้ก่อน ส่งผลให้เกิดการแข่งขันระดมเงินฝากในระบบ ธ.พาณิชย์ ทำให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้และ
เงินฝากของ ธ.พาณิชย์น่าจะปรับขึ้นอีกครั้งหนึ่งภายในสิ้นปีนี้ ในขณะที่สภาพคล่องในระบบทยอยปรับลดลง ส่วนหนึ่ง
เป็นสาเหตุจากการออกพันธบัตรของรัฐบาลและรัฐวิสาหกิจทำให้เม็ดเงินไหลออกไปยังตลาดตราสารเพื่อหาผลตอบ
แทนที่ดีกว่าการฝากเงิน ด้านบริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด ประเมินว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกร้อยละ
0.25 จากร้อยละ 3.75 เป็นร้อยละ 4.0 ในการประชุมวันนี้ และคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอีกครั้งในการประชุมรอบ
ที่เหลือของปีนี้ (ผู้จัดการรายวัน)
ข่าวเศรษฐกิจต่างประเทศ
1. การใช้จ่ายของผู้บริโภคสรอ.ในเดือนก.ย. เพิ่มขึ้น รายได้เพิ่มขึ้นภาคอุตสาหกรรมการผลิต
ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง รายงานจากวอชิงตัน เมื่อวันที่ 31 ต.ค. 48 ก.พาณิชย์สรอ.เปิดเผยว่าในเดือนก.ย.
การใช้จ่ายของผู้บริโภคสรอ.เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.5 หลังจากที่ลดลงร้อยละ 0.5 ในเดือนส.ค. โดยเป็นผลมาจาก
การเพิ่มสูงขึ้นของต้นทุนราคาน้ำมันและหากปรับตัวเลขเงินเฟ้อแล้วการใช้จ่ายของผู้บริโภคกลับลดลงร้อยละ 0.4
ขณะเดียวกันรายได้ของผู้บริโภคกลับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วถึงร้อยละ 1.7 เพิ่มขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนส.ค. 47
สาเหตุจากเงินชดเชยที่ได้รับจากบริษัทประกันภัยกรณีพายุเฮอร์ริเคนซึ่งมีจำนวนสูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนถึง 120
พันล้านดอลลาร์ สรอ. นอกจากนั้น PMI ซึ่งเป็นดัชนีชี้นำการผลิตภาคอุตสาหกรรมของ Midwest ในเดือนต.ค.
เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 62.9 จากระดับ 60.5 ในเดือนก.ย. นักวิเคราะห์กล่าวว่าผลของพายุเฮอร์ริเคน ทำให้ยากต่อ
การคาดการณ์การใช้จ่ายและรายได้ผู้บริโภค ขณะที่ภาคอุตสาหกรรมการผลิตชี้ว่าศ.ก.สรอ.ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง (รอยเตอร์)
2. จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดในช่วงครึ่งแรกปี 48 เพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 8.1 ของจีดีพี รายงานจาก
ปักกิ่ง เมื่อ 31 ต.ค.48 The State Administration of Foreign Exchange (SAFE) เปิดเผยว่า ใน
ช่วงครึ่งปีแรกของปี 48 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดเพิ่มขึ้นจำนวน 67.26 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.เพิ่มขึ้นเป็นเก้าเท่า
จากจำนวนเกินดุล 7.47 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. เมื่อช่วงเดียวกันของปีก่อน หรือเพิ่มขึ้นเป็นจำนวน 59.799 พัน
ล.ดอลลาร์ สรอ.ช่วงเดียวกันของปีก่อน และเกือบจะสูงเท่ากับมูลค่าเกินดุลทั้งปี 47 ที่มีจำนวน 68.7 พัน ล.
ดอลลาร์ สรอ. นับว่าในรอบครึ่งปีแรกปี 48 จีนเกินดุลบัญชีเดินสะพัดสูงถึงร้อยละ 8.1 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศ
(จีดีพี) (ที่มีจำนวน 832.37 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ.ในช่วงครึ่งแรกปี 48) เนื่องจากเกินดุลการค้าเพิ่มขึ้นจำนวน
54.23 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ขณะที่ขาดดุลบริการเพียงจำนวน 3.93 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ในขณะที่ดุลเงินโอน
และเงินลงทุนมียอดเกินดุลทั้งสิ้น 12.09 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ทั้งนี้ ตัวเลขดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าจีนกำลังเผชิญ
กับภาวะที่ต้องพยายามลดการเกินดุลการชำระเงินจำนวนมหาศาลลงให้ได้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อค่าเงินหยวนที่
เคยปรับค่าไปแล้วร้อยละ 2.1 เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา รวมทั้งอาจเพิ่มความขัดแย้งด้านการค้ากับประเทศ
สรอ. อย่างไรก็ตาม รมว.พาณิชย์คาดว่า ภาวะเกินดุลการค้าของจีนในปีนี้จะสูงถึง 3 เท่าจากปีก่อน โดยอยู่ที่
ประมาณ 90 พัน ล.ดอลลาร์ สรอ. ส่วนการส่งออกจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปี 47 ขณะที่มีรายงานจาก The
Chinese Academy of International Trade and Economic Cooperation เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า
การส่งออกจะขยายตัวลดลงในปีหน้าท่ามกลางความตึงเครียดด้านการค้าที่เพิ่มสูงขึ้น (รอยเตอร์)
3. ดัชนีราคาผู้บริโภคของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปีต่ำกว่าที่คาดไว้
รายงานจากโซล เมื่อ 1 พ.ย.48 สนง.สถิติแห่งชาติของเกาหลีใต้รายงานดัชนีราคาผู้บริโภคในเดือน ต.ค.48
เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.5 ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 3.0 ต่อปีที่คาดไว้จากผลสำรวจรอยเตอร์ หลังจากเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.7
ต่อปีในเดือนก่อนและร้อยละ 2.0 ต่อปีในเดือน ส.ค.48 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 5 ปี รายงานดังกล่าวออกมา
ก่อนหน้าที่จะมีการประชุมของ ธ.กลางเกาหลีใต้เพื่อทบทวนนโยบายการเงินในวันที่ 10 พ.ย.48 ที่จะถึงนี้ โดยใน
การประชุมครั้งก่อนเมื่อวันที่ 11 ต.ค.48 ธ.กลางเกาหลีใต้ได้ตัดสินใจขึ้นอัตราดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบ 3 ปี
เป็นสัญญาณเตือนว่าภาวะเงินเฟ้อกำลังก่อตัวขึ้นจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในประเทศหลังจากอยู่ในภาวะซบเซาใน
ช่วง 2 ปีที่ผ่านมา (รอยเตอร์)
4. ยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 เพิ่มขึ้นร้อยละ 13.4 ต่อปีต่ำกว่าที่คาดไว้ รายงาน
จากโซล เมื่อ 1 พ.ย.48 ก.พาณิชย์ของเกาหลีใต้รายงานยอดส่งออกของเกาหลีใต้ในเดือน ต.ค.48 มีจำนวน
25.71 พันล้านดอลลาร์ สรอ.สูงสุดเป็นประวัติการณ์ เพิ่มขึ้นในอัตราร้อยละ 13.4 ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 14.0 ต่อ
ปีที่ผลสำรวจรอยเตอร์คาดไว้ ในขณะที่ยอดนำเข้ามีจำนวน 22.78 พันล้านดอลลาร์ สรอ. เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.6
ต่อปี ต่ำกว่าร้อยละ 18.1 ที่คาดไว้เช่นเดียวกัน ทำให้เกาหลีใต้มียอดเกินดุลการค้าในเดือน ต.ค.48 จำนวน
2.93 พันล้านดอลลาร์ สรอ. หลังจากยอดส่งออกและนำเข้าในเดือนก่อนเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.9 และร้อยละ
24.4 ตามลำดับ ตัวเลขการค้าของเกาหลีใต้ดังกล่าวข้างต้นเป็นที่สนใจเฝ้าติดตามเนื่องจากเกาหลีใต้เป็นประเทศ
ที่มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ประเทศแรกในเอเชียที่รายงานตัวเลขดังกล่าว (รอยเตอร์)
5. อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในไตรมาส 3 ปี 48 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้า รายงาน
สิงคโปร์เมื่อ 31 ต.ค.48 ก.แรงงาน เปิดเผยว่า อัตราการว่างงานของสิงคโปร์ในช่วงไตรมาสที่ 3 ปี 48 อยู่ที่
ระดับร้อยละ 3.3 ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ร้อยละ 3.4 สะท้อนภาพการฟื้นตัวของตลาดแรงงานซึ่งเป็น
ปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นการขยายตัวของเศรษฐกิจ ทั้งนี้ การที่อัตราการว่างงานลดลงมีสาเหตุจากการจ้างงาน
ใหม่ในภาคบริการเพิ่มขึ้น แม้ว่าการเลิกจ้างในภาคการผลิตจะยังคงขยายตัวก็ตาม โดยตัวเลขการจ้างงานใหม่ใน
ช่วงไตรมาสที่ 3 มีจำนวน 28,700 อัตรา เพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ยังคงต่ำกว่า
ไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีจำนวน 31,700 อัตรา ซึ่งในจำนวนตัวเลขการจ้างงานใหม่ที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว จำนวน
18,400 อัตราเป็นการจ้างงานในภาคบริการซึ่งมีสัดส่วนประมาณร้อยละ 60 ของผลิตภัณฑ์ในประเทศและมีการจ้าง
งานมากกว่าครึ่งของกำลังแรงงานโดยรวม อนึ่ง รัฐบาลสิงคโปร์ต้องการปรับปรุงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจสิงคโปร์ โดยการให้ความสำคัญกับการจ้างงานในภาคบริการเพื่อชดเชยกับการจ้างงานในภาคการผลิต ซึ่งหันไปใช้
เครื่องจักรทดแทนแรงงานมากขึ้นเพื่อลดต้นทุนการผลิตและส่งผลให้การจ้างงานลดลงเป็นลำดับ เห็นได้จากตัวเลข
การเลิกจ้างในช่วงไตรมาสที่ 3 ที่มีจำนวน 2,500 อัตรา เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นถึง
ร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปีก่อน โดยเป็นการเลิกจ้างในภาคการผลิตโดยเฉพาะอุตสาหกรรม
อิเล็กทรอนิกส์ ถึง 1,700 อัตรา (รอยเตอร์)
ข้อมูลเศรษฐกิจ 1 พ.ย. 48 31 ต.ค. 48 30 ม.ค. 47 แหล่งข้อมูล
อัตราแลกเปลี่ยนถัวเฉลี่ยระหว่างธนาคาร (Bht/1US$) 40.771 39.263 ธปท.
อัตราซื้อถัวเฉลี่ยตั๋วเงิน/อัตราขายถัวเฉลี่ยของ ธพ. (Bht/1US$) 40.5934/40.7717 39.0915/39.3765 ธปท.
อัตราดอกเบี้ยกู้ยืมระหว่าง ธพ. ขนาดใหญ่ระยะ 7 วัน (ร้อยละ) 3.80792 1.1875 - 1.2800 รอยเตอร์
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ (จุด)/มูลค่าซื้อ/ขาย (พันล้านบาท) 682.62/ 7.47 698.90/29.26 ตลท.
ราคาทองคำแท่ง (ซื้อ/ขายบาทละ) 9,000/9,100 9,100/9,200 7,400/7,500 สมาคมค้าทองคำ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (US$/บาเรล) 52.09 53.78 28.18 ปตท./รอยเตอร์
ราคาน้ำมันเบนซิน 95/ดีเซล (บาท) 26.14*/23.79** 26.14*/23.79** 16.99/14.59 ปตท.
* ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 28 ต.ค. 48
** ปรับลด 40 สตางค์ เมื่อ 21 ต.ค. 48
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--