ข่าวธนาคารแห่งประเทศไทย
ฉบับที่ 7/2541
เรื่อง ยกเลิกมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2540 โดยขอความร่วมมือสถาบันการเงินให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินบางประเภทกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเฉพาะกรณีที่ไม่มีธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทยรองรับ ได้แก่ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งทีและล่วงหน้า การทำธุรกรรมใด ๆ ที่มีผลส่งมอบเงินบาทให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ เช่น การให้กู้ยืมเงินบาท การทำ swap และธุรกรรมอนุพันธ์ต่าง ๆ รวมทั้งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการโอนเงินบาทจาการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารการเงินต่าง ๆ ด้วย นั้น
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ธนาคารจึงเห็นสมควรยกเลิกมาตการชั่วคราวดังกล่าวข้างต้น และให้สถาบันการเงินสามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทฟสในตลาดทันทีกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้ตามปกติ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2541 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศ และป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินในอนาคต การให้กุ้เงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หรือการสร้างภาระผูกพันใด ๆ ที่มีผลให้ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศนั้นอนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ภายในวงเงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้นธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทยให้สถาบันการเงินดำเนินการได้ตามปกติ โดยไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องส่งรายงานและเก็บหลักฐานให้ะนาคารเรียกตรวจสอบได้ตลอดเวลา
จึงขอแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
30 มกราคม 2541
มาตรการการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท มาตรการชั่วคราวที่ยกเลิกไป
ยกเลิกมาตรการซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือสถาบันการเงินให้ดำเนินการ สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ดังนี้
1. ให้ระงับการทำธุรกรรมดังต่อไปนี้กับผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศในกรณีที่ไม่มีธุรกิจการค้าหรือการลงทุนรองรับ
1.1 การทำธุรกรรม Buy-Sell Swap กับผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ
1.2 การปล่อยกู้เงินบาทโดยตรง การให้เงินเบิกเกินบัญชี รวมทั้งการทำธุรกรรมอื่นใดที่เป็นการสภาพคล่องเงินบาท ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ
1.3 ธุรกรรม derivatives ที่เกี่ยวข้องกับเงินบาท เช่น currency swap, interest rate swap, forward rate agreement, currency options และ interest rate options เป็นต้น
2. การรับซื้อตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตราสารหนี้ต่าง ๆ จากผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศก่อนกำหนดให้ชำระราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ
3. การไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตราสารหนี้ต่าง ๆ ให้แก่ ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ให้จ่ายชำระเป้นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศถือตราสารดังกล่าวมาเกินกว่า 6 เดือน ให้ชำระค่าไถ่ถอนตราสารเป็นเงินบาทได้
4. ระงับการทำธุรกรรม securities lending
5. ระงับการโอนเงินค่าขายหลักทรัพย์ของผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศไปยังบัญชี non-resident baht อื่น และการถอนเงินค่าขายหลักทรัพย์ออกจากบัญชีของผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ต้องถอนออกเป็นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นกรณีที่ลงทุนต่อในประเทศไทย
มาตรการป้องปรามการเก็บกำไรค่าเงินบาทใหม่
จำกัดการให้กู้ยืมเงินบาท การปล่อยสภาพคล่องเงินบาท รวมทั้งการสร้างภาระผูกพันที่ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ อนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้นธุรกรรมเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนในประเทศให้ทำได้ตามปกติ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--
ฉบับที่ 7/2541
เรื่อง ยกเลิกมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ
ตามที่ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ดำเนินมาตรการแบ่งแยกตลาดเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ตั้งแต่วันที่ 15 พฤษภาคม 2540 โดยขอความร่วมมือสถาบันการเงินให้ระงับการทำธุรกรรมทางการเงินบางประเภทกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศเฉพาะกรณีที่ไม่มีธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทยรองรับ ได้แก่ การซื้อขายเงินตราต่างประเทศทั้งทีและล่วงหน้า การทำธุรกรรมใด ๆ ที่มีผลส่งมอบเงินบาทให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ เช่น การให้กู้ยืมเงินบาท การทำ swap และธุรกรรมอนุพันธ์ต่าง ๆ รวมทั้งมีข้อจำกัดเกี่ยวกับการโอนเงินบาทจาการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารการเงินต่าง ๆ ด้วย นั้น
เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบันและฟื้นฟูความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างประเทศ ธนาคารจึงเห็นสมควรยกเลิกมาตการชั่วคราวดังกล่าวข้างต้น และให้สถาบันการเงินสามารถซื้อขายเงินตราต่างประเทฟสในตลาดทันทีกับผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศได้ตามปกติ ทั้งนี้ตั้งแต่วันที่ 30 มกราคม 2541 เป็นต้นไป
อย่างไรก็ดี เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินตราต่างประเทศ และป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินในอนาคต การให้กุ้เงินบาทในรูปแบบต่าง ๆ แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ หรือการสร้างภาระผูกพันใด ๆ ที่มีผลให้ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศนั้นอนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ภายในวงเงินคงค้างสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้นธุรกรรมที่เกี่ยวเนื่องจากธุรกิจการค้าหรือการลงทุนในประเทศไทยให้สถาบันการเงินดำเนินการได้ตามปกติ โดยไม่จำกัดจำนวน แต่จะต้องส่งรายงานและเก็บหลักฐานให้ะนาคารเรียกตรวจสอบได้ตลอดเวลา
จึงขอแถลงมาเพื่อทราบ
ธนาคารแห่งประเทศไทย
30 มกราคม 2541
มาตรการการป้องปรามการเก็งกำไรค่าเงินบาท มาตรการชั่วคราวที่ยกเลิกไป
ยกเลิกมาตรการซึ่งธนาคารแห่งประเทศไทยขอความร่วมมือสถาบันการเงินให้ดำเนินการ สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ดังนี้
1. ให้ระงับการทำธุรกรรมดังต่อไปนี้กับผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศในกรณีที่ไม่มีธุรกิจการค้าหรือการลงทุนรองรับ
1.1 การทำธุรกรรม Buy-Sell Swap กับผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ
1.2 การปล่อยกู้เงินบาทโดยตรง การให้เงินเบิกเกินบัญชี รวมทั้งการทำธุรกรรมอื่นใดที่เป็นการสภาพคล่องเงินบาท ให้แก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ
1.3 ธุรกรรม derivatives ที่เกี่ยวข้องกับเงินบาท เช่น currency swap, interest rate swap, forward rate agreement, currency options และ interest rate options เป็นต้น
2. การรับซื้อตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตราสารหนี้ต่าง ๆ จากผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศก่อนกำหนดให้ชำระราคาเป็นเงินตราต่างประเทศ
3. การไถ่ถอนตั๋วแลกเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน และตราสารหนี้ต่าง ๆ ให้แก่ ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ให้จ่ายชำระเป้นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นในกรณีที่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศถือตราสารดังกล่าวมาเกินกว่า 6 เดือน ให้ชำระค่าไถ่ถอนตราสารเป็นเงินบาทได้
4. ระงับการทำธุรกรรม securities lending
5. ระงับการโอนเงินค่าขายหลักทรัพย์ของผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศไปยังบัญชี non-resident baht อื่น และการถอนเงินค่าขายหลักทรัพย์ออกจากบัญชีของผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ ต้องถอนออกเป็นเงินตราต่างประเทศ ยกเว้นกรณีที่ลงทุนต่อในประเทศไทย
มาตรการป้องปรามการเก็บกำไรค่าเงินบาทใหม่
จำกัดการให้กู้ยืมเงินบาท การปล่อยสภาพคล่องเงินบาท รวมทั้งการสร้างภาระผูกพันที่ต้องจ่ายเงินตราต่างประเทศในอนาคตแก่ผู้มีถิ่นที่อยู่ต่างประเทศ อนุญาตให้สถาบันการเงินทำได้ในวงเงินสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อลูกค้าหนึ่งราย ยกเว้นธุรกรรมเกี่ยวกับการค้าและการลงทุนในประเทศให้ทำได้ตามปกติ
--ธนาคารแห่งประเทศไทย--