เศรษฐกิจโลก
ภาวะเศรษฐกิจโลก ได้ชะลอตัวลงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.1 ซึ่งชะลอตัวกว่าที่คาดไว้เดิม (ณ ธันวาคม 2540) ที่ร้อยละ 3.5 เนื่องจากภาวะวิกฤตทางการเงินของภูมิภาคเอเซีย ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดไว้เกือบทุกประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจของไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ลดลง โดยในไตรมาสแรก GDP ของไทย อยู่ที่ระดับ -7.5 และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 GDP ของไทยอยู่ที่ระดับ -8.0 (ประมาณการตัวเลขตามหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 4 ของ IMF)
อัตราเงินเฟ้อ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 9.7 เทียบกับร้อยละ 4.4 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นในหมวดอาหารและหมวดที่มิใช่อาหารเฉลี่ยร้อยละ 11.8 และ 8.4 เทียบกับร้อยละ 3.4 และ 5.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะยังสูงขึ้นจนถึงช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ก่อนที่จะลดลง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับร้อยละ 10 ในเดือนธันวาคม ทำให้ทั้งปีเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 10.5 สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้ออ่อนตัวลงเนื่องจากความผันผวนของค่าเงินบาทที่ลดลง และความต้องการภายในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ภาคการผลิต ผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ในทิศทางขาลง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 16.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การปรับตัวในระดับจุลภาคยังมีหลายสาขาที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเพื่อการส่งออก เช่น แผงวงจรไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าการผลิตชะลอตัวลง แต่แนวโน้มการส่งออกสินค้าขั้นกลางกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนการผลิตของอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ลดลง ทั้งนี้เป็นผลจากอุปสงค์ภายในประเทศที่หดตัวและปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินตลอดจนปัญหาอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง
การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 5.3 โดยมีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 26,656 ล้าน เหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการส่งออก 28,145 ล้านเหรียญสหรัฐ (แต่เมื่อเทียบเป็นเงินบาทแล้วการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60) การส่งออกที่ลดลงเป็นผลของการลดลงของราคาในรูปดอลลาร์ สรอ. ตามอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอลงและภาวะแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 5.7 ซึ่งสะท้อนถึงการตอบสนองของธุรกิจต่อแรงจูงใจของราคาส่งออกในรูปบาทที่สูงขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงลดลงร้อยละ 12.2 โดยการส่งออกของเล่น อุปกรณ์กีฬาเครื่องประดับและอัญมณีลดลงมาก ส่วนการส่งออกสิ่งทอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าอุตสาหกรรมหมวดที่ใช้วัตถุดิบในประเทศลดลงร้อยละ 9.9 โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และน้ำตาล โดยการส่งออกน้ำตาลลดลงเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ขณะที่การส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและผลิตภัณฑ์ยางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงยังคงขยายตัวร้อยละ 0.6
การนำเข้า สำหรับการนำเข้าของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 ไทยมีมูลค่านำเข้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 21,254 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการนำเข้า 34,638 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 39 การนำเข้าลดลงเนื่องจากการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงทำให้การนำเข้าลดลงทุกหมวด สินค้าส่วนใหญ่ที่เคยนำเข้าที่เป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่นำเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างแน่นอน
ดุลการค้า ในระยะ 6 เดือนแรกของปี 2541 ไทยเกินดุลคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐมีมูลค่า 5,402 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 6,493 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเกินดุลอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สิบแล้ว ซึ่งไทยเกินดุลกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอาเซียน
การลงทุน การลงทุนภาคเอกชนในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ลดลงอย่างรุนแรง การลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment FDI) จากต่างประเทศสุทธิในรูปดอลลาร์ สรอ.ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ในระดับ 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (91.7 พันล้านบาท) เทียบกับ 0.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (24.5 พันล้านบาท) ในช่วงเดียวกันปีก่อน
ดุลบัญชีเดินสะพัด ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 เกินดุล 5.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามดุลการค้าที่เกินสำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงเป็นการไหลออกสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 แต่เงินทุนไหลออกสุทธิของภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวลง สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้สามารถต่ออายุหนี้ต่างประเทศ (Roll-over) ได้เพิ่มขึ้น และฐานะหนี้ต่างประเทศ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 หนี้ภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยหนี้ระยะยาวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทางการมียอดหนี้เพิ่มขึ้นจากโครงการกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างหนี้ของประเทศไทยโดยรวมปรับไปสู่ทิศทางที่น่าพอใจ โดยสัดส่วนหนี้ระยะยาว ต่อหนี้ระยะสั้นในเดือนเมษายนเท่ากับร้อยละ 71.1 ต่อ 28.9 เทียบกับสัดส่วนร้อยละ 67.4 ต่อ 32.6 ในเดือนธันวาคมปีก่อน
สภาพคล่อง ในตลาดเงินช่วง 6 เดือนแรกของปียังคงตึงตัว แต่มีแนวโน้มดีขึ้นในระยะหลังทำให้ ธปท. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) ลงได้ระดับหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) ประเภทอายุ 1 วัน ได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 5 (กรกฎาคม 2541) ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนตุลาคม 2537 ที่อยู่ในระดับร้อยละ 4.75 อัตราดอกเบี้ย R/P ที่อยู่ในระดับต่ำอย่างมาก หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงร้อยละ 24 เมื่อเดือนธันวาคม 2540 เป็นเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามกลไกตลาดหรือสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริง แม้ว่าสภาพคล่องในตลาดเงินจะคลายความตึงตัวลงแต่ภาคธุรกิจเอกชนยังคงประสบปัญหาขาดสภาพคล่องค่อนข้างรุนแรง เม็ดเงินจากแหล่งต่าง ๆ ที่เป็นเงินทุนให้แก่ภาคเอกชนมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งในส่วนของการเพิ่มทุน การออกตราสารหนี้ และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะยังมีเงินทุนไหลออกจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่ธนาคารอีกด้วย
ปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัว
ปัจจัยภายนอก
1. ภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในภูมิภาคเอเซีย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และต้นทุนการกู้ยืมเงินของธุรกิจไทย
2. อุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลกจากประเทศที่ประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความสามารถของการส่งออกที่จะผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังมีความเสี่ยง
ปัจจัยภายใน
ภาคธุรกิจประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินที่เพิ่มความระมัดระวังในการให้กู้ยืม เนื่องจากข้อจำกัดด้านแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ การต้องเพิ่มทุนและปฏิบัติตามเกณฑ์ด้านความมั่นคงของสถาบันการเงินและข้อจำกัดด้านลูกหนี้ รวมทั้งความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียเนื่องจากสถาบันการเงินไทยยังขาดความชำนาญและบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
แหล่งอ้างอิง : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กรมเศรษฐกิจ การพาณิชย์
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4/31 กรกฎาคม 2541--
ภาวะเศรษฐกิจโลก ได้ชะลอตัวลงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ได้ประมาณการเศรษฐกิจโลกครั้งล่าสุดเมื่อเดือนพฤษภาคม 2541 ขยายตัวประมาณร้อยละ 3.1 ซึ่งชะลอตัวกว่าที่คาดไว้เดิม (ณ ธันวาคม 2540) ที่ร้อยละ 3.5 เนื่องจากภาวะวิกฤตทางการเงินของภูมิภาคเอเซีย ส่งผลให้เศรษฐกิจในภูมิภาคนี้ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาดไว้เกือบทุกประเทศโดยเฉพาะเศรษฐกิจญี่ปุ่น
เศรษฐกิจไทย
เศรษฐกิจของไทย ในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทย (GDP) ลดลง โดยในไตรมาสแรก GDP ของไทย อยู่ที่ระดับ -7.5 และเมื่อเข้าสู่ไตรมาสที่ 2 GDP ของไทยอยู่ที่ระดับ -8.0 (ประมาณการตัวเลขตามหนังสือแสดงเจตจำนงฉบับที่ 4 ของ IMF)
อัตราเงินเฟ้อ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 9.7 เทียบกับร้อยละ 4.4 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นการเพิ่มขึ้นในหมวดอาหารและหมวดที่มิใช่อาหารเฉลี่ยร้อยละ 11.8 และ 8.4 เทียบกับร้อยละ 3.4 และ 5.1 ในช่วงเดียวกันของปีก่อน
สำหรับแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อ คาดว่าจะยังสูงขึ้นจนถึงช่วงกรกฎาคม-สิงหาคม ก่อนที่จะลดลง คาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ระดับร้อยละ 10 ในเดือนธันวาคม ทำให้ทั้งปีเงินเฟ้อเฉลี่ยอยู่ที่ระดับร้อยละ 10.5 สาเหตุที่ทำให้เงินเฟ้ออ่อนตัวลงเนื่องจากความผันผวนของค่าเงินบาทที่ลดลง และความต้องการภายในประเทศที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง
ภาคการผลิต ผลผลิตอุตสาหกรรมในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ยังอยู่ในทิศทางขาลง โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมลดลงร้อยละ 16.7 จากช่วงเดียวกันปีก่อน ทั้งนี้ การปรับตัวในระดับจุลภาคยังมีหลายสาขาที่น่าเป็นห่วง โดยเฉพาะกลุ่มผู้ผลิตเพื่อการส่งออก เช่น แผงวงจรไฟฟ้าและเครื่องใช้ไฟฟ้าการผลิตชะลอตัวลง แต่แนวโน้มการส่งออกสินค้าขั้นกลางกลับเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจสะท้อนการผลิตของอุตสาหกรรมปลายน้ำที่ลดลง ทั้งนี้เป็นผลจากอุปสงค์ภายในประเทศที่หดตัวและปัญหาการขาดสภาพคล่องทางการเงินตลอดจนปัญหาอุปสงค์ของประเทศคู่ค้าชะลอตัวลง
การส่งออกของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 มูลค่าการส่งออกในรูปดอลลาร์สหรัฐลดลงร้อยละ 5.3 โดยมีมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 26,656 ล้าน เหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการส่งออก 28,145 ล้านเหรียญสหรัฐ (แต่เมื่อเทียบเป็นเงินบาทแล้วการส่งออกของไทยเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 60) การส่งออกที่ลดลงเป็นผลของการลดลงของราคาในรูปดอลลาร์ สรอ. ตามอุปสงค์ต่างประเทศที่ชะลอลงและภาวะแข่งขันด้านราคาที่รุนแรงขึ้น อย่างไรก็ตาม ปริมาณการส่งออกขยายตัวร้อยละ 5.7 ซึ่งสะท้อนถึงการตอบสนองของธุรกิจต่อแรงจูงใจของราคาส่งออกในรูปบาทที่สูงขึ้น และเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยพยุงเศรษฐกิจในช่วงที่ผ่านมา
มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้แรงงานสูงลดลงร้อยละ 12.2 โดยการส่งออกของเล่น อุปกรณ์กีฬาเครื่องประดับและอัญมณีลดลงมาก ส่วนการส่งออกสิ่งทอเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สินค้าอุตสาหกรรมหมวดที่ใช้วัตถุดิบในประเทศลดลงร้อยละ 9.9 โดยเฉพาะเฟอร์นิเจอร์และชิ้นส่วน และน้ำตาล โดยการส่งออกน้ำตาลลดลงเพราะขาดแคลนวัตถุดิบ ขณะที่การส่งออกอาหารทะเลกระป๋องและผลิตภัณฑ์ยางขยายตัวอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรมที่ใช้เทคโนโลยีสูงยังคงขยายตัวร้อยละ 0.6
การนำเข้า สำหรับการนำเข้าของไทยในช่วงครึ่งแรกของปี 2541 ไทยมีมูลค่านำเข้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐประมาณ 21,254 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีมูลค่าการนำเข้า 34,638 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือมูลค่าการนำเข้าลดลงร้อยละ 39 การนำเข้าลดลงเนื่องจากการขาดสภาพคล่องอย่างรุนแรงและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงทำให้การนำเข้าลดลงทุกหมวด สินค้าส่วนใหญ่ที่เคยนำเข้าที่เป็นสินค้าทุนและวัตถุดิบและกึ่งสำเร็จรูปที่นำเข้ามาใช้ในการผลิตเพื่อส่งออกได้ลดลงอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจะมีผลกระทบต่อการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีอย่างแน่นอน
ดุลการค้า ในระยะ 6 เดือนแรกของปี 2541 ไทยเกินดุลคิดเป็นเงินเหรียญสหรัฐมีมูลค่า 5,402 ล้านเหรียญสหรัฐ เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดดุล 6,493 ล้านเหรียญสหรัฐ และไทยเกินดุลอย่างต่อเนื่องเป็นเดือนที่สิบแล้ว ซึ่งไทยเกินดุลกับประเทศคู่ค้าที่สำคัญ คือ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรปและอาเซียน
การลงทุน การลงทุนภาคเอกชนในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ลดลงอย่างรุนแรง การลงทุนโดยตรง (Foreign Direct Investment FDI) จากต่างประเทศสุทธิในรูปดอลลาร์ สรอ.ในช่วง 4 เดือนแรกของปีนี้ อยู่ในระดับ 2.2 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (91.7 พันล้านบาท) เทียบกับ 0.9 พันล้านดอลลาร์ สรอ. (24.5 พันล้านบาท) ในช่วงเดียวกันปีก่อน
ดุลบัญชีเดินสะพัด ปรับตัวดีขึ้นในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 เกินดุล 5.1 พันล้านดอลลาร์ สรอ. ตามดุลการค้าที่เกินสำหรับเงินทุนเคลื่อนย้ายยังคงเป็นการไหลออกสุทธิในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 แต่เงินทุนไหลออกสุทธิของภาคเอกชนเริ่มชะลอตัวลง สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจของนักลงทุนในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจมากขึ้น ส่งผลให้สามารถต่ออายุหนี้ต่างประเทศ (Roll-over) ได้เพิ่มขึ้น และฐานะหนี้ต่างประเทศ ในช่วง 4 เดือนแรกของปี 2541 หนี้ภาคเอกชนมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง โดยหนี้ระยะยาวมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทางการมียอดหนี้เพิ่มขึ้นจากโครงการกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม โครงสร้างหนี้ของประเทศไทยโดยรวมปรับไปสู่ทิศทางที่น่าพอใจ โดยสัดส่วนหนี้ระยะยาว ต่อหนี้ระยะสั้นในเดือนเมษายนเท่ากับร้อยละ 71.1 ต่อ 28.9 เทียบกับสัดส่วนร้อยละ 67.4 ต่อ 32.6 ในเดือนธันวาคมปีก่อน
สภาพคล่อง ในตลาดเงินช่วง 6 เดือนแรกของปียังคงตึงตัว แต่มีแนวโน้มดีขึ้นในระยะหลังทำให้ ธปท. สามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) ลงได้ระดับหนึ่งเนื่องจากสถานการณ์ค่าเงินบาทมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยตลาดซื้อคืนพันธบัตร (R/P) ประเภทอายุ 1 วัน ได้ลดลงมาอยู่ที่ระดับร้อยละ 5 (กรกฎาคม 2541) ซึ่งใกล้เคียงกับเดือนตุลาคม 2537 ที่อยู่ในระดับร้อยละ 4.75 อัตราดอกเบี้ย R/P ที่อยู่ในระดับต่ำอย่างมาก หลังจากที่เคยขึ้นไปถึงร้อยละ 24 เมื่อเดือนธันวาคม 2540 เป็นเพราะธนาคารแห่งประเทศไทยต้องการปล่อยให้อัตราดอกเบี้ยเป็นไปตามกลไกตลาดหรือสะท้อนถึงความต้องการที่แท้จริง แม้ว่าสภาพคล่องในตลาดเงินจะคลายความตึงตัวลงแต่ภาคธุรกิจเอกชนยังคงประสบปัญหาขาดสภาพคล่องค่อนข้างรุนแรง เม็ดเงินจากแหล่งต่าง ๆ ที่เป็นเงินทุนให้แก่ภาคเอกชนมีปริมาณเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย ทั้งในส่วนของการเพิ่มทุน การออกตราสารหนี้ และการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงิน โดยเฉพาะยังมีเงินทุนไหลออกจากภาคเอกชนที่ไม่ใช่ธนาคารอีกด้วย
ปัญหาสำคัญที่ส่งผลให้เศรษฐกิจไทยหดตัว
ปัจจัยภายนอก
1. ภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่ำกว่าที่คาดไว้ซึ่งได้รับผลกระทบจากวิกฤตการณ์การเงินในภูมิภาคเอเซีย ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน และต้นทุนการกู้ยืมเงินของธุรกิจไทย
2. อุปสงค์ของประเทศคู่ค้าสำคัญของไทยชะลอตัว โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคและการแข่งขันที่รุนแรงในตลาดโลกจากประเทศที่ประสบวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ ส่งผลให้ความสามารถของการส่งออกที่จะผลักดันการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยรวมยังมีความเสี่ยง
ปัจจัยภายใน
ภาคธุรกิจประสบปัญหาขาดสภาพคล่อง ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่สถาบันการเงินที่เพิ่มความระมัดระวังในการให้กู้ยืม เนื่องจากข้อจำกัดด้านแหล่งเงินกู้จากต่างประเทศ การต้องเพิ่มทุนและปฏิบัติตามเกณฑ์ด้านความมั่นคงของสถาบันการเงินและข้อจำกัดด้านลูกหนี้ รวมทั้งความล่าช้าในการแก้ไขปัญหาหนี้เสียเนื่องจากสถาบันการเงินไทยยังขาดความชำนาญและบริการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการปรับโครงสร้างหนี้
แหล่งอ้างอิง : ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, กรมเศรษฐกิจ การพาณิชย์
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 4/31 กรกฎาคม 2541--