ภาวะเศรษฐกิจการเงินเดือนสิงหาคม 2542 ยังคงทรงตัว และยังไม่มีสัญญาณที่ชัดเจนใด ๆ บ่งชี้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ภาคการผลิตจริงยังคงประสบปัญหาระดับราคาสินค้าเกษตรตกต่ำตามฤดูกาล และตัวเลขสำคัญในภาคการเงินยังไม่กระเตื้องขึ้น อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากอยู่ระดับร้อยละ 101.7 เงินโอนของผู้ไปทำงานต่างประเทศที่โอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ใกล้เคียงกับเดือนที่แล้ว ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจโดยรวมในเดือนนี้ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน แต่ยังต่ำกว่าระดับที่เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ อย่างไรก็ตาม นักธุรกิจเชื่อมั่นว่าแนวโน้มเศรษฐกิจในอีก 4 เดือนข้างหน้าจะดีขึ้น
ภาคเกษตร
ปริมาณฝนเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม 219.0 มิลลิเมตร ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยพืชสำคัญ (ข้าว มันสำปะหลัง และปอ) อยู่ในช่วงการเพาะปลูก ขณะที่ข้าวโพดรุ่นที่ 1 กำลังอยู่ในระยะเก็บเกี่ยว ราคาพืชผลส่วนใหญ่ยังคง ยกเว้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังที่ตกต่ำลง เนื่องจากความต้องการจากตลาดมีน้อย
นอกภาคเกษตร
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนสิงหาคม 2542 โดยสอบถามผู้ประกอบการในภาค 19 จังหวัด จำนวน 132 ราย พบว่า
1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 46.3 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 45.7 แม้จะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่เศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพ โดยปัจจัยความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นจากเดือนก่อนได้แก่ ปัจจัยด้านผลประกอบการทางธุรกิจ อำนาจซื้อของประชาชน การลงทุนโดยตรง และการจ้างงาน แต่ปัจจัยที่มีความเชื่อมั่นลดลง ได้แก่ ด้านต้นทุนการประกอบการและความสามารถในการส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าในระยะ 4 เดือนข้างหน้าจะมีแนวโน้มดีขึ้น
2) การแข่งขันทางธุรกิจด้านตลาดและราคาทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้นจากเดือนก่อน
3) ภาวะการเงินเดือนสิงหาคมยังทรงตัวจากเดือนก่อน ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการมีการให้เครดิตกับลูกค้ามากขึ้น แม้ภาคธุรกิจมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น
4) แนวโน้มตลาดเงินช่วงตุลาคม-ธันวาคมยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ธุรกิจจะมีสภาพคล่องใกล้เคียงกับเดือนก่อน นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะอ่อนลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกในระยะต่อไป
สำหรับข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ ผู้ประกอบการมีความเห็นดังนี้
1. เร่งแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงิน และให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เนื่องจากการพึ่งเงินนอกระบบซึ่งดอกเบี้ยสูง ทำให้มีกำไรน้อย
2. ธนาคารพาณิชย์ให้ความสนใจเฉพาะลูกค้าที่เป็น NPL แต่ยังให้ความสนใจลูกค้าที่ดีน้อยเกินไป อาจจะทำให้ลูกค้าที่ดีเหล่านี้ไม่ยอมชำระหนี้เพื่อให้กลายเป็น NPL
3. รัฐควรกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศเพื่อใช้พัฒนาประเทศให้มากขึ้น ทดแทนการกู้จากต่างประเทศเป็นหลัก
4. การลงทุนภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะลงทุนใน 3-5 ปีข้างหน้า ให้เร่งดำเนินการในปี 2543-2545 แทน เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน และกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
5. โครงการมิยาซาวา ช่วยให้ชนบทมีงานทำมีเงินและมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว ควรมีโครงการอื่น ๆ มาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วย
6. การจัดสรรงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดชะงักเป็นช่วง ๆ
7. ควรกระตุ้นให้ราคาพืชผลเกษตรสูงขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้เกษตรกร
8. ควบคุมราคาค่าที่พักโรงแรมให้ต่ำลง (โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว) เนื่องจากทำให้ค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงมากเมื่อเทียบกับการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ (บางประเทศ)
อัตราเงินเฟ้อ
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนกรกฎาคม แต่ลดลงร้อยละ 1.4 จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าหมวดอาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.1 ส่วนสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.4
ภาคการเงิน
เดือนสิงหาคม 2542 ในภาคฯ มีสาขาธนาคารพาณิชย์ 525 สำนักงาน เท่ากับเดือนก่อน มียอดเงินฝากคงค้าง 234,539.0 ล้านบาท (ตัวเลขเบื้องต้น) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.2 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 238,415.1 ล้านบาท (ตัวเลขเบื้องต้น) ลดลงร้อยละ 1.6 จากเดือนก่อน และร้อยละ 10.3 จากเดือนเดียวกันปีก่อน แม้ธนาคารพาณิชย์จะพยายามเร่งการติดตามหนี้ แต่ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่ต่อไป เพื่อป้องกันปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 103.1 มาเป็นร้อยละ 101.7 ในเดือนนี้
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและสินเชื่อสำรวจจากธนาคารพาณิชย์ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ยังคงลดลงจากเดือนก่อน โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนลดลงร้อยละ 0.50 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.25-4.75 ต่อปีในเดือนนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.25 ต่อปีมาเป็นร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปีในเดือนนี้ ในขณะที่เงินฝากประจำ 12 เดือนยังคงเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.50-5.00 ต่อปี ด้านเงินฝากออมทรัพย์ลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 3.75-4.50 ต่อปี ในเดือนก่อนมาเป็นร้อยละ 3.75-4.25 ต่อปีในเดือนนี้ เนื่องจากดอกเบี้ยชี้นำในตลาดเงินยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำจากการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
เงินโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศเดือนนี้มีการโอนกลับมาในภาคฯ เป็นเงิน 2,031.1 ล้านบาทลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.9
ภาคการคลัง
รายได้จากการจัดเก็บภาษีของภาคในเดือนสิงหาคมมีทั้งสิ้น 1,375.4 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 8.5 ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บได้น้อยลงร้อยละ 25.8
การค้าชายแดนไทย-ลาว
ประมาณการการค้าชายแดนไทย-ลาว ในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 1,611.9 ล้านบาท สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 21.9 เป็นการส่งออก 290.2 ล้านบาท และนำเข้า 290.2 ล้านบาท และประเทศไทยยังเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าประเทศลาวอยู่ประมาณ 1,031.5 ล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--
-ยก-
ภาคเกษตร
ปริมาณฝนเฉลี่ยในเดือนสิงหาคม 219.0 มิลลิเมตร ลดลงจากเดือนเดียวกันของปีก่อน โดยพืชสำคัญ (ข้าว มันสำปะหลัง และปอ) อยู่ในช่วงการเพาะปลูก ขณะที่ข้าวโพดรุ่นที่ 1 กำลังอยู่ในระยะเก็บเกี่ยว ราคาพืชผลส่วนใหญ่ยังคง ยกเว้นข้าวโพดเลี้ยงสัตว์และมันสำปะหลังที่ตกต่ำลง เนื่องจากความต้องการจากตลาดมีน้อย
นอกภาคเกษตร
จากการสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจประจำเดือนสิงหาคม 2542 โดยสอบถามผู้ประกอบการในภาค 19 จังหวัด จำนวน 132 ราย พบว่า
1) ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจเดือนสิงหาคมอยู่ที่ระดับ 46.3 ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยจากเดือนก่อน ซึ่งอยู่ที่ระดับ 45.7 แม้จะยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยที่เศรษฐกิจจะมีเสถียรภาพ โดยปัจจัยความเชื่อมั่นที่ดีขึ้นจากเดือนก่อนได้แก่ ปัจจัยด้านผลประกอบการทางธุรกิจ อำนาจซื้อของประชาชน การลงทุนโดยตรง และการจ้างงาน แต่ปัจจัยที่มีความเชื่อมั่นลดลง ได้แก่ ด้านต้นทุนการประกอบการและความสามารถในการส่งออกลดลง อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นว่าในระยะ 4 เดือนข้างหน้าจะมีแนวโน้มดีขึ้น
2) การแข่งขันทางธุรกิจด้านตลาดและราคาทั้งในและต่างประเทศสูงขึ้นจากเดือนก่อน
3) ภาวะการเงินเดือนสิงหาคมยังทรงตัวจากเดือนก่อน ธุรกิจมีสภาพคล่องทางการเงินเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะเดียวกันผู้ประกอบการมีการให้เครดิตกับลูกค้ามากขึ้น แม้ภาคธุรกิจมีภาระดอกเบี้ยเงินกู้เพิ่มขึ้น
4) แนวโน้มตลาดเงินช่วงตุลาคม-ธันวาคมยังอยู่ในเกณฑ์ดี อัตราดอกเบี้ยจะสูงขึ้น ธุรกิจจะมีสภาพคล่องใกล้เคียงกับเดือนก่อน นอกจากนี้ อัตราแลกเปลี่ยนบาทต่อดอลลาร์มีแนวโน้มที่ค่าเงินบาทจะอ่อนลง ซึ่งจะเป็นผลดีต่อการส่งออกในระยะต่อไป
สำหรับข้อเสนอแนะถึงภาครัฐ ผู้ประกอบการมีความเห็นดังนี้
1. เร่งแก้ไขปัญหาของสถาบันการเงิน และให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยสินเชื่อให้มากขึ้น เนื่องจากการพึ่งเงินนอกระบบซึ่งดอกเบี้ยสูง ทำให้มีกำไรน้อย
2. ธนาคารพาณิชย์ให้ความสนใจเฉพาะลูกค้าที่เป็น NPL แต่ยังให้ความสนใจลูกค้าที่ดีน้อยเกินไป อาจจะทำให้ลูกค้าที่ดีเหล่านี้ไม่ยอมชำระหนี้เพื่อให้กลายเป็น NPL
3. รัฐควรกู้เงินจากธนาคารพาณิชย์ภายในประเทศเพื่อใช้พัฒนาประเทศให้มากขึ้น ทดแทนการกู้จากต่างประเทศเป็นหลัก
4. การลงทุนภาครัฐในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่คาดว่าจะลงทุนใน 3-5 ปีข้างหน้า ให้เร่งดำเนินการในปี 2543-2545 แทน เพื่อแก้ปัญหาการว่างงาน และกระตุ้นการใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง
5. โครงการมิยาซาวา ช่วยให้ชนบทมีงานทำมีเงินและมีอำนาจซื้อเพิ่มขึ้นบ้าง แต่หลังจากเสร็จสิ้นโครงการแล้ว ควรมีโครงการอื่น ๆ มาสนับสนุนอย่างต่อเนื่องด้วย
6. การจัดสรรงบประมาณในการกระตุ้นเศรษฐกิจควรทำอย่างต่อเนื่อง ไม่ควรหยุดชะงักเป็นช่วง ๆ
7. ควรกระตุ้นให้ราคาพืชผลเกษตรสูงขึ้น เพื่อเพิ่มอำนาจซื้อให้เกษตรกร
8. ควบคุมราคาค่าที่พักโรงแรมให้ต่ำลง (โดยเฉพาะเมืองท่องเที่ยว) เนื่องจากทำให้ค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวภายในประเทศสูงมากเมื่อเทียบกับการไปท่องเที่ยวต่างประเทศ (บางประเทศ)
อัตราเงินเฟ้อ
ดัชนีราคาผู้บริโภคทั่วไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือเดือนสิงหาคมปรับตัวสูงขึ้นร้อยละ 0.4 จากเดือนกรกฎาคม แต่ลดลงร้อยละ 1.4 จากระยะเดียวกันของปีก่อน โดยสินค้าหมวดอาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.1 ส่วนสินค้าหมวดอื่น ๆ ที่ไม่ใช่อาหารสูงขึ้นร้อยละ 0.4
ภาคการเงิน
เดือนสิงหาคม 2542 ในภาคฯ มีสาขาธนาคารพาณิชย์ 525 สำนักงาน เท่ากับเดือนก่อน มียอดเงินฝากคงค้าง 234,539.0 ล้านบาท (ตัวเลขเบื้องต้น) ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.2 และร้อยละ 1.7 ตามลำดับ เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ทางด้านสินเชื่อมียอดคงค้าง 238,415.1 ล้านบาท (ตัวเลขเบื้องต้น) ลดลงร้อยละ 1.6 จากเดือนก่อน และร้อยละ 10.3 จากเดือนเดียวกันปีก่อน แม้ธนาคารพาณิชย์จะพยายามเร่งการติดตามหนี้ แต่ยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่ออยู่ต่อไป เพื่อป้องกันปัญหาสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่ยังคงอยู่ในระดับสูง อัตราส่วนสินเชื่อต่อเงินฝากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือลดลงจากเดือนก่อนที่ร้อยละ 103.1 มาเป็นร้อยละ 101.7 ในเดือนนี้
อัตราดอกเบี้ยเงินฝากและสินเชื่อสำรวจจากธนาคารพาณิชย์ในอำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น ยังคงลดลงจากเดือนก่อน โดยที่อัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 3 เดือนลดลงร้อยละ 0.50 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.25 ต่อปี มาเป็นร้อยละ 4.25-4.75 ต่อปีในเดือนนี้ ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ 6 เดือนลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.25-5.25 ต่อปีมาเป็นร้อยละ 4.25-5.00 ต่อปีในเดือนนี้ ในขณะที่เงินฝากประจำ 12 เดือนยังคงเท่ากับเดือนก่อนที่ร้อยละ 4.50-5.00 ต่อปี ด้านเงินฝากออมทรัพย์ลดลงร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 3.75-4.50 ต่อปี ในเดือนก่อนมาเป็นร้อยละ 3.75-4.25 ต่อปีในเดือนนี้ เนื่องจากดอกเบี้ยชี้นำในตลาดเงินยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในระดับต่ำจากการใช้นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
เงินโอนจากแรงงานไทยในต่างประเทศเดือนนี้มีการโอนกลับมาในภาคฯ เป็นเงิน 2,031.1 ล้านบาทลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 0.9
ภาคการคลัง
รายได้จากการจัดเก็บภาษีของภาคในเดือนสิงหาคมมีทั้งสิ้น 1,375.4 ล้านบาท ลดลงจากเดือนก่อนร้อยละ 8.5 ส่วนใหญ่เป็นการลดลงของภาษีสรรพสามิตที่จัดเก็บได้น้อยลงร้อยละ 25.8
การค้าชายแดนไทย-ลาว
ประมาณการการค้าชายแดนไทย-ลาว ในเดือนสิงหาคมมีมูลค่า 1,611.9 ล้านบาท สูงขึ้นจากเดือนก่อนร้อยละ 21.9 เป็นการส่งออก 290.2 ล้านบาท และนำเข้า 290.2 ล้านบาท และประเทศไทยยังเป็นฝ่ายเกินดุลการค้าประเทศลาวอยู่ประมาณ 1,031.5 ล้านบาท
--ธนาคารแห่งประเทศไทย/สำนักงานภาคตะวันออกเฉียงเหนือ--
-ยก-