สิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของกัมพูชาที่เติบโตมาพร้อมกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศ ส่วนหนึ่งเนื่องจากผู้ผลิตสิ่งทอรายสำคัญในเอเชีย อาทิ จีน สิงคโปร์ ฮ่องกง และไต้หวัน หลั่งไหลเข้ามาลงทุนเพื่อใช้เป็นฐานการผลิตสำคัญเพื่อการส่งออก ในปี 2546 การส่งออกสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชามีมูลค่า 1,677 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขยายตัวร้อยละ 21 คิดเป็นสัดส่วนสูงถึงประมาณร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (Gross Domestic Product: GDP) หรือประมาณร้อยละ 90 ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของประเทศ โดยมีสหรัฐอเมริกา เยอรมนี และสหราชอาณาจักร เป็นตลาดส่งออกสำคัญ
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา คือ
รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายและมาตรการสำคัญต่างๆ ดังนี้
- นโยบายส่งเสริมการลงทุน ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ผู้ผลิตที่มีการส่งออกอย่างน้อยร้อยละ 80 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด อาทิ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและการยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบบางประเภท
- การช่วยผู้ส่งออกแสวงหาตลาดใหม่และขยายตลาดเดิมอย่างต่อเนื่อง
- การจัดตั้งคลัสเตอร์สิ่งทอในเขตอุตสาหกรรมใหม่ในกรุงพนมเปญเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 สูงถึงเกือบร้อยละ 70 ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
- ค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับต่ำและฝึกหัดได้ง่าย ปัจจุบันอัตราค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 61 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน อาทิ เวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
- สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences: GSP) ในสินค้านำเข้าหลายพันรายการ รวมทั้งสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับจากประเทศพัฒนาแล้ว 26 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ EU ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เนื่องจากกัมพูชาจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries: LDCs) จึงมีความได้เปรียบประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ผลิตและส่งออก อาทิ ไทย จีน และอินเดีย ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากประเทศพัฒนาแล้วน้อยกว่ากลุ่ม LDCs
- ข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ ข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยการค้าสิ่งทอระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา (The U.S. — Cambodia Bilateral Textile Agreement) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 - 31 ธันวาคม 2547 ทำให้กัมพูชาได้รับจัดสรรโควตาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องสามารถยกระดับมาตรฐานการจ้างงานในประเทศ อาทิ การปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานและการแก้ไขกฎหมายแรงงานให้เป็นธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ กัมพูชาได้รับจัดสรรโควตาสิ่งทอจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและได้รับจัดสรรโควตานำเข้าพิเศษ (Bonus quota) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 14 ในปี 2547
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาอาจมีแนวโน้มไม่สดใสเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกจำกัดโควตานำเข้าในฐานะเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก แต่ภายหลังการเปิดเสรีสิ่งทอโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 อาจทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสิ่งทอต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่งสำคัญโดยเฉพาะจีนและอินเดีย นอกจากนี้ ยังอาจได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติซึ่งเริ่มหันไปลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2548--
-พห-
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา คือ
รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง ภายใต้นโยบายและมาตรการสำคัญต่างๆ ดังนี้
- นโยบายส่งเสริมการลงทุน ด้วยการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่ผู้ผลิตที่มีการส่งออกอย่างน้อยร้อยละ 80 ของปริมาณการผลิตทั้งหมด อาทิ การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลและการยกเว้นภาษีนำเข้าวัตถุดิบบางประเภท
- การช่วยผู้ส่งออกแสวงหาตลาดใหม่และขยายตลาดเดิมอย่างต่อเนื่อง
- การจัดตั้งคลัสเตอร์สิ่งทอในเขตอุตสาหกรรมใหม่ในกรุงพนมเปญเพื่อลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
นักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเสื้อผ้าสำเร็จรูป ซึ่งในช่วงครึ่งแรกของปี 2547 สูงถึงเกือบร้อยละ 70 ของมูลค่าเงินลงทุนจากต่างประเทศทั้งหมด โดยมีปัจจัยสำคัญดังนี้
- ค่าจ้างแรงงานอยู่ในระดับต่ำและฝึกหัดได้ง่าย ปัจจุบันอัตราค่าจ้างแรงงานเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 61 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน ต่ำกว่าคู่แข่งในภูมิภาคเดียวกัน อาทิ เวียดนาม ซึ่งอยู่ที่ 66 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน
- สิทธิประโยชน์ที่ได้รับจากประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรเป็นการทั่วไป (Generalized System of Preferences: GSP) ในสินค้านำเข้าหลายพันรายการ รวมทั้งสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มที่ได้รับจากประเทศพัฒนาแล้ว 26 ประเทศทั่วโลก อาทิ สหรัฐฯ EU ญี่ปุ่น และออสเตรเลีย เนื่องจากกัมพูชาจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีระดับการพัฒนาน้อยที่สุด (Least Developed Countries: LDCs) จึงมีความได้เปรียบประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ที่ผลิตและส่งออก อาทิ ไทย จีน และอินเดีย ซึ่งได้รับสิทธิประโยชน์จากประเทศพัฒนาแล้วน้อยกว่ากลุ่ม LDCs
- ข้อตกลงทางการค้ากับประเทศคู่ค้าสำคัญ อาทิ ข้อตกลงทวิภาคีว่าด้วยการค้าสิ่งทอระหว่างสหรัฐฯ และกัมพูชา (The U.S. — Cambodia Bilateral Textile Agreement) ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 - 31 ธันวาคม 2547 ทำให้กัมพูชาได้รับจัดสรรโควตาสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น โดยมีเงื่อนไขว่าต้องสามารถยกระดับมาตรฐานการจ้างงานในประเทศ อาทิ การปรับปรุงด้านสิ่งแวดล้อมของโรงงานและการแก้ไขกฎหมายแรงงานให้เป็นธรรมมากขึ้น ทั้งนี้ กัมพูชาได้รับจัดสรรโควตาสิ่งทอจากสหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องและได้รับจัดสรรโควตานำเข้าพิเศษ (Bonus quota) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 12 เป็นร้อยละ 14 ในปี 2547
อย่างไรก็ตาม อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของกัมพูชาอาจมีแนวโน้มไม่สดใสเช่นเดิม ถึงแม้ว่าจะไม่ถูกจำกัดโควตานำเข้าในฐานะเป็นสมาชิกขององค์การการค้าโลก แต่ภายหลังการเปิดเสรีสิ่งทอโลกตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2548 อาจทำให้ผู้ผลิตและผู้ส่งออกสิ่งทอต้องเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นจากประเทศคู่แข่งสำคัญโดยเฉพาะจีนและอินเดีย นอกจากนี้ ยังอาจได้รับผลกระทบจากการย้ายฐานการผลิตของผู้ประกอบการต่างชาติซึ่งเริ่มหันไปลงทุนในประเทศที่มีต้นทุนการผลิตที่ถูกกว่า
--ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย มกราคม 2548--
-พห-