1.มาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐบาลเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2542
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2542 อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ ประกอบด้วยเงินกู้จากกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น (OECF) 250 ล้านเหรียญ เงินกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศญี่ปุ่น (J.EXIM Bank) 600 ล้านเหรียญ และเงินกู้จากธนาคารโลกภายใต้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน ครั้งที่ 2 (EFAL II) 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.2541 เงินกู้เหล่านี้จะนำมาสนับสนุนมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2542 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
(1) กระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการลงทุนที่ก่อให้เกิดผลผลิตและการสร้างงานภายในประเทศ
(2) บรรเทาผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโดยเน้นพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายที่ยากจน หรือได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในเมืองและในชนบท
(3) ส่งเสริมการสร้างรากฐานในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป2.มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกับมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังต่อไปนี้.-
2.1 การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก
ตามกฎหมายปัจจุบันเงินได้สุทธิ (หรือเงินได้พึงประเมินหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) ต่อปีในช่วง 100,000 บาทแรกจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 แต่เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปมีรายได้และกำลังซื้อลดลงมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลเห็นสมควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นไป มาตรการนี้จะช่วยให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสียภาษีลดลง และจะมีรายได้หลังการหักภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มขึ้นทันที โดยกรมสรรพากรจะชี้แจงวิธีการคำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่ายใหม่ ให้คำนึงถึงภาษีที่ได้มีการหักไว้แล้วตั้งแต่ต้นปี 2542 เพื่อลดจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับช่วงที่เหลือของปี 2542 ให้พอดีกับภาระภาษีที่แท้จริงของปี 2542 ด้วย
2.2 การลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 (รวมภาษีท้องถิ่น) ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมร้อยละ 7 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชะลอการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศในช่วงเวลาที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงมาก และดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อหาทางเพิ่มรายได้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับภาระรายจ่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงิน
ในปัจจุบันฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ และดุลบัญชีเดินสะพัดมีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น และภาระรายจ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลง ดังนั้นเพื่อช่วยให้ระดับราคาสินค้าปรับลดลง ลดค่าครองชีพของประชาชน และกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชน รัฐบาลจึงเห็นสมควรปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (รวมภาษีท้องถิ่น) จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 7 เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2544 และให้คงเก็บในอัตราร้อยละ 10 เช่นเดิมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 เป็นต้นไป
2.3 การยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 สำหรับผู้ประกอบการ ขนาดย่อมที่มีรายรับเกินกว่า 600,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี
ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการขนาดย่อมที่มีรายรับไม่เกิน 600,000 บาทต่อปีได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้วตามกฎหมาย ส่วนผู้ประกอบการที่มีรายรับเกินกว่า 600,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปีนั้น จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 หรือเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามระบบปกติในอัตราร้อยละ 10 ก็ได้
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดย่อมซึ่งเป็นกำลังสำคัญในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงเห็นสมควรยกเลิกการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 ดังกล่าว โดยปรับฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 600,000 บาทต่อปีเป็น 1,200,000 บาทต่อปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นไป มาตรการนี้ นอกจากจะช่วยลดภาระภาษีและภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีของผู้ประกอบการขนาดย่อมแล้ว ยังจะช่วยลดความยุ่งยาก และภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้เสียภาษีรายใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย3.มาตรการลดราคาพลังงาน
3.1 การลดค่าไฟฟ้า
อัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับการเรียกเก็บในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2542 จนลดลงเหลือ 32.61 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่เรียกเก็บในช่วงธันวาคม 2541 ถึงเดือนมีนาคม 2542 ในอัตรา 50.71 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงทั้งสิ้น 18.10 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดค่า Ft ลง 15.50 สตางค์ต่อหน่วยและจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาอีก 2.60 สตางค์ต่อหน่วย
3.2 การลดราคาขายส่งก๊าซหุงต้ม
รัฐบาลจะปรับลดราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) หรือก๊าซหุงต้ม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับลดลงตามไปด้วย โดยราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวใหม่ที่ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มจะอยู่ที่ 7.3434 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 0.9091 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการปรับลดครั้งนี้จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับลดลงร้อยละ 11 (หากรวมผลของการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ด้วย) สำหรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม ขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จะปรับลดลงจาก 180 บาทต่อถังเหลือ 161 บาทต่อถัง หรือลดลง 19 บาท
3.3 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา
รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาจากร้อยละ 17.5 เหลือร้อยละ 5 เพื่อลดความบิดเบือนของอัตราภาษีเชื้อเพลิง และลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเตาเชื้อเพลิง เนื่องจากในปัจจุบันน้ำมันเตาเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 17.5 ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินไม่เสียภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพาสามิตลง จะลดการบิดเบือนดังกล่าวช่วยให้มีการใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น และทำให้ราคาขายส่งน้ำมันเตาลดลง 52 สตางค์ต่อลิตร หรือร้อยละ 11 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าลดลง 1,875 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2542 และ 2,576 ล้านบาท ในปี 2543
ที่มา : ข่าวทำเนียบรัฐบาล
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 7/15 เมษายน 2542--
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันที่ 9 มีนาคม 2542 อนุมัติให้กระทรวงการคลังกู้เงินจากแหล่งเงินกู้ต่างๆ ประกอบด้วยเงินกู้จากกองทุนความร่วมมือทางเศรษฐกิจโพ้นทะเลแห่งญี่ปุ่น (OECF) 250 ล้านเหรียญ เงินกู้จากธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศญี่ปุ่น (J.EXIM Bank) 600 ล้านเหรียญ และเงินกู้จากธนาคารโลกภายใต้เงินกู้เพื่อปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจและการเงิน ครั้งที่ 2 (EFAL II) 600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นการกู้ภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินจากต่างประเทศเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจ พ.ศ.2541 เงินกู้เหล่านี้จะนำมาสนับสนุนมาตรการเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจปีงบประมาณ 2542 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ
(1) กระตุ้นเศรษฐกิจโดยเน้นการลงทุนที่ก่อให้เกิดผลผลิตและการสร้างงานภายในประเทศ
(2) บรรเทาผลกระทบทางสังคมที่เกิดจากวิกฤติเศรษฐกิจโดยเน้นพื้นที่และกลุ่มเป้าหมายที่ยากจน หรือได้รับผลกระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในเมืองและในชนบท
(3) ส่งเสริมการสร้างรากฐานในการพัฒนาประเทศในระยะต่อไป2.มาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบกับมาตรการภาษีเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ดังต่อไปนี้.-
2.1 การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก
ตามกฎหมายปัจจุบันเงินได้สุทธิ (หรือเงินได้พึงประเมินหักด้วยค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน) ต่อปีในช่วง 100,000 บาทแรกจะต้องเสียภาษีในอัตราร้อยละ 5 แต่เนื่องจากวิกฤติเศรษฐกิจได้ส่งผลให้ประชาชนทั่วไปมีรายได้และกำลังซื้อลดลงมากโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีรายได้น้อย รัฐบาลเห็นสมควรยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา สำหรับเงินได้สุทธิในช่วง 50,000 บาทแรก นับตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 เป็นต้นไป มาตรการนี้จะช่วยให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาเสียภาษีลดลง และจะมีรายได้หลังการหักภาษี ณ ที่จ่ายเพิ่มขึ้นทันที โดยกรมสรรพากรจะชี้แจงวิธีการคำนวนภาษีหัก ณ ที่จ่ายใหม่ ให้คำนึงถึงภาษีที่ได้มีการหักไว้แล้วตั้งแต่ต้นปี 2542 เพื่อลดจำนวนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่ายสำหรับช่วงที่เหลือของปี 2542 ให้พอดีกับภาระภาษีที่แท้จริงของปี 2542 ด้วย
2.2 การลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม
อัตราภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 10 (รวมภาษีท้องถิ่น) ได้ถูกปรับเพิ่มขึ้นจากอัตราเดิมร้อยละ 7 เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2540 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อชะลอการขยายตัวของอุปสงค์ในประเทศในช่วงเวลาที่เงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลงมาก และดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศมีความเสี่ยงสูง นอกจากนี้ ยังมีวัตถุประสงค์เพื่อหาทางเพิ่มรายได้ของรัฐบาลให้สอดคล้องกับภาระรายจ่ายที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงิน
ในปัจจุบันฐานะทุนสำรองระหว่างประเทศ และดุลบัญชีเดินสะพัดมีความมั่นคงเพิ่มมากขึ้น และภาระรายจ่ายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาระบบสถาบันการเงินลดลง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยลดลง ดังนั้นเพื่อช่วยให้ระดับราคาสินค้าปรับลดลง ลดค่าครองชีพของประชาชน และกระตุ้นการบริโภคของภาคเอกชน รัฐบาลจึงเห็นสมควรปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่ม (รวมภาษีท้องถิ่น) จากร้อยละ 10 เหลือร้อยละ 7 เป็นการชั่วคราว เป็นระยะเวลา 2 ปี โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2544 และให้คงเก็บในอัตราร้อยละ 10 เช่นเดิมตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2544 เป็นต้นไป
2.3 การยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่มที่จัดเก็บจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 สำหรับผู้ประกอบการ ขนาดย่อมที่มีรายรับเกินกว่า 600,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปี
ในปัจจุบัน ผู้ประกอบการขนาดย่อมที่มีรายรับไม่เกิน 600,000 บาทต่อปีได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มอยู่แล้วตามกฎหมาย ส่วนผู้ประกอบการที่มีรายรับเกินกว่า 600,000 บาทต่อปี แต่ไม่เกิน 1,200,000 บาทต่อปีนั้น จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 หรือเลือกเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามระบบปกติในอัตราร้อยละ 10 ก็ได้
เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการขนาดย่อมซึ่งเป็นกำลังสำคัญในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจ รัฐบาลจึงเห็นสมควรยกเลิกการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากยอดรายรับในอัตราร้อยละ 1.5 ดังกล่าว โดยปรับฐานภาษีของกิจการขนาดย่อมที่จะได้รับยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก 600,000 บาทต่อปีเป็น 1,200,000 บาทต่อปี โดยให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2542 เป็นต้นไป มาตรการนี้ นอกจากจะช่วยลดภาระภาษีและภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายภาษีของผู้ประกอบการขนาดย่อมแล้ว ยังจะช่วยลดความยุ่งยาก และภาระค่าใช้จ่ายในการจัดเก็บภาษีของกรมสรรพากร ซึ่งจะช่วยให้การจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากผู้เสียภาษีรายใหญ่ซึ่งเป็นแหล่งรายได้หลักมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นด้วย3.มาตรการลดราคาพลังงาน
3.1 การลดค่าไฟฟ้า
อัตราค่าไฟฟ้าตามสูตรการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) สำหรับการเรียกเก็บในช่วงเดือนเมษายนถึงกรกฎาคม 2542 จนลดลงเหลือ 32.61 สตางค์ต่อหน่วย จากเดิมที่เรียกเก็บในช่วงธันวาคม 2541 ถึงเดือนมีนาคม 2542 ในอัตรา 50.71 สตางค์ต่อหน่วย หรือลดลงทั้งสิ้น 18.10 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับลดค่า Ft ลง 15.50 สตางค์ต่อหน่วยและจากการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาอีก 2.60 สตางค์ต่อหน่วย
3.2 การลดราคาขายส่งก๊าซหุงต้ม
รัฐบาลจะปรับลดราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลว (LPG) หรือก๊าซหุงต้ม ซึ่งส่งผลให้ราคาขายปลีกปรับลดลงตามไปด้วย โดยราคาขายส่งก๊าซปิโตรเลียมเหลวใหม่ที่ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มจะอยู่ที่ 7.3434 บาทต่อกิโลกรัม ลดลง 0.9091 บาทต่อกิโลกรัม ซึ่งการปรับลดครั้งนี้จะทำให้ราคาขายปลีกก๊าซหุงต้มปรับลดลงร้อยละ 11 (หากรวมผลของการปรับลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเหลือร้อยละ 7 ด้วย) สำหรับราคาขายปลีกก๊าซหุงต้ม ขนาดบรรจุ 15 กิโลกรัม จะปรับลดลงจาก 180 บาทต่อถังเหลือ 161 บาทต่อถัง หรือลดลง 19 บาท
3.3 การลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตา
รัฐบาลจะปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันเตาจากร้อยละ 17.5 เหลือร้อยละ 5 เพื่อลดความบิดเบือนของอัตราภาษีเชื้อเพลิง และลดต้นทุนการผลิตไฟฟ้าและอุตสาหกรรมที่ใช้น้ำมันเตาเชื้อเพลิง เนื่องจากในปัจจุบันน้ำมันเตาเสียภาษีสรรพสามิตในอัตราร้อยละ 17.5 ในขณะที่ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหินไม่เสียภาษีสรรพสามิต ทั้งนี้ คาดว่าเมื่อมีการปรับลดภาษีสรรพาสามิตลง จะลดการบิดเบือนดังกล่าวช่วยให้มีการใช้น้ำมันเตาเพิ่มขึ้น และทำให้ราคาขายส่งน้ำมันเตาลดลง 52 สตางค์ต่อลิตร หรือร้อยละ 11 ซึ่งคาดว่าจะทำให้ต้นทุนการผลิตทั้งภาคอุตสาหกรรมและการผลิตไฟฟ้าลดลง 1,875 ล้านบาท ในปีงบประมาณ 2542 และ 2,576 ล้านบาท ในปี 2543
ที่มา : ข่าวทำเนียบรัฐบาล
--วารสาร สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ฉบับที่ 7/15 เมษายน 2542--