สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.6-5.1 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ผิดปกติชั่วคราวที่อยู่นอกเหนือการควบคุม เช่น ภัยพิบัติธรรมชาติ การปิดซ่อมใหญ่โรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิต และราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยในช่วงที่เหลือของปีน่าจะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าไตรมาสแรก โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน นอกจากนี้ เสถียรภาพทั้งภายในและภายนอกของเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดี ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสูงกว่าที่คาดการณ์ เป้าหมายการส่งออกสินค้าของรัฐบาลประสบผลสำเร็จ และภาคการคลังสามารถทำหน้าที่กระตุ้นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 5.1 ต่อปี
ดร. นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงข่าว ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.6-5.1 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ผิดปกติชั่วคราวที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล เช่น ภัยพิบัติ 3 ประการ ได้แก่ ภัยแล้ง ไข้หวัดนก และ Tsunami รวมทั้งการปิดซ่อมโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมหนัก 3 สาขา ประกอบด้วย เหล็ก ปิโตรเลียม และเคมีภัณฑ์ กอปรกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวในระยะสั้น จึงคาดได้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 3 และ 4 จะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าในไตรมาสแรก
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรก ไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านอุปสงค์ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจึงมุ่งใช้นโยบายระยะยาวทางด้านการผลิต การจ้างงาน เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการ (Value Creation) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยเป็นหลัก และใช้นโยบายด้านการกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้นเป็นส่วนเสริมในกรณีจำเป็นที่เกิดปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพและความยั่งยืนทั้งทางการเงินและการคลังของประเทศโดยส่วนรวม
ด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2548 ได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งคาดว่าการลงทุนรวมที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 19.1 ต่อปี ส่วนการบริโภครวมที่แท้จริงยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 5.1 ต่อปี มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.7 และ 24.1 ต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนถาวรของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ส่งผลให้ดุลการค้าทั้งปีขาดดุล -7.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2548 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งเสถียรภาพภายนอกและภายใน โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่ายังคงเกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของ GDP ส่วนเสถียรภาพภายใน คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 4.0 และ 1.5 ต่อปี ในขณะที่การจ้างงานในปี 2548 เพิ่มขึ้นจากปี 2547 จำนวน 700,000 คน
ดร. สมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินการทางการคลังเอื้อต่อการขยายตัวและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนได้จาก 1) การขยายตัวในระดับสูงของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการดำเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ 2) ทิศทางของผลประกอบการของธุรกิจดีมีกำไรและการจ้างงานที่ขยายตัวในอัตราสูง ดังจะเห็นได้จากผลการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่มีการขยายตัวดีขึ้น 3) การจัดเก็บรายได้บรรลุผลเกินเป้าหมาย โดยการจัดเก็บรายได้ 7 เดือนสูงกว่าประมาณการอย่างมาก ประมาณ 44,263 ล้านบาท 4) การกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนผ่านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2548 ดีกว่าเดิม โดยสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 11.5 ต่อปี 5) ภาคเอกชนสามารถประกอบการด้วยต้นทุนต่ำเนื่องจากความเชื่อมั่นในเครดิตของประเทศดีขึ้น โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ร้อยละ 43.1 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง และ 6) คาดว่าดุลเงินงบประมาณสิ้นปีจะเกินดุล จากแนวโน้มในการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 1,250,000 ล้านบาท สำหรับในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ซึ่งได้รวมถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 50,000 ล้านบาท เป็น 1,250,000 ล้านบาท แล้วนั้น คาดว่าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะมีการเบิกจ่ายอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 92 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณจะเกินดุลเล็กน้อย
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่สูงขึ้นจากปัจจุบันมากนัก อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสูงกว่าที่คาดการณ์ เป้าหมายการส่งออกสินค้าของรัฐบาลประสบผลสำเร็จ และภาคการคลังสามารถทำหน้าที่กระตุ้นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 5.1 ต่อปี
ตารางแนบที่ 1 สรุปสมมติฐานและผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2548
2547 ณ ณ
ก.พ. 2548 พ.ค. 2548
สมมติฐานที่สำคัญ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) 33.5 38.0 42.5
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 5.1 3.7 3.4
ผลการประมาณการที่สำคัญ
จำนวนการจ้างงานเพิ่มต่อปี (คน) 888,000 743,000 700,000
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 6.1 6.0 4.6-5.1
อัตราการขยายตัวของการบริโภครวมที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 5.4 5.3 5.1
อัตราการขยายตัวของการลงทุนรวมที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 14.4 18.3 19.1
อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูป $ (ร้อยละต่อปี) 23.0 11.8 14.7
อัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูป $ (ร้อยละต่อปี) 27.0 15.6 24.1
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 1.7 -1.6 -7.0
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 7.3 3.0 0.5
ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (ร้อยละ) 4.4 1.6 0.3
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (ร้อยละต่อปี) 2.8 4.1 4.0
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง--
ดร. นริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงข่าว ประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2548 ว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 4.6-5.1 ต่อปี เนื่องจากเศรษฐกิจไทยในไตรมาสแรกได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ผิดปกติชั่วคราวที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของรัฐบาล เช่น ภัยพิบัติ 3 ประการ ได้แก่ ภัยแล้ง ไข้หวัดนก และ Tsunami รวมทั้งการปิดซ่อมโรงงานเพื่อขยายกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมหนัก 3 สาขา ประกอบด้วย เหล็ก ปิโตรเลียม และเคมีภัณฑ์ กอปรกับราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวในระยะสั้น จึงคาดได้ว่าเศรษฐกิจไทยในไตรมาส 2 3 และ 4 จะกลับมาขยายตัวได้ดีกว่าในไตรมาสแรก
ปัญหาทางเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นในไตรมาสแรก ไม่ได้เกิดจากปัจจัยด้านอุปสงค์ แต่เป็นผลมาจากปัจจัยด้านอุปทานเป็นหลัก ดังนั้น การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลจึงมุ่งใช้นโยบายระยะยาวทางด้านการผลิต การจ้างงาน เพื่อปรับปรุงคุณภาพของสินค้าและบริการ (Value Creation) เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจไทยเป็นหลัก และใช้นโยบายด้านการกระตุ้นอุปสงค์ระยะสั้นเป็นส่วนเสริมในกรณีจำเป็นที่เกิดปัญหาภัยพิบัติธรรมชาติ ทั้งนี้ เพื่อรักษาไว้ซึ่งเสถียรภาพและความยั่งยืนทั้งทางการเงินและการคลังของประเทศโดยส่วนรวม
ด้านการขยายตัวของเศรษฐกิจในปี 2548 ได้รับแรงขับเคลื่อนมาจากการขยายตัวของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ซึ่งคาดว่าการลงทุนรวมที่แท้จริงขยายตัวร้อยละ 19.1 ต่อปี ส่วนการบริโภครวมที่แท้จริงยังคงขยายตัวได้ดีที่ร้อยละ 5.1 ต่อปี มูลค่าการส่งออกและนำเข้าสินค้าในรูปดอลลาร์สหรัฐฯ ขยายตัวร้อยละ 14.7 และ 24.1 ต่อปี โดยส่วนใหญ่เป็นการนำเข้าสินค้าทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนถาวรของทั้งภาครัฐและเอกชนเพื่อรองรับการขยายตัวในอนาคต ส่งผลให้ดุลการค้าทั้งปีขาดดุล -7.0 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
ด้านเสถียรภาพทางเศรษฐกิจในปี 2548 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งเสถียรภาพภายนอกและภายใน โดยในด้านเสถียรภาพภายนอกนั้น ดุลบัญชีเดินสะพัดคาดว่ายังคงเกินดุล 0.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นร้อยละ 0.3 ของ GDP ส่วนเสถียรภาพภายใน คาดว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานอยู่ที่ร้อยละ 4.0 และ 1.5 ต่อปี ในขณะที่การจ้างงานในปี 2548 เพิ่มขึ้นจากปี 2547 จำนวน 700,000 คน
ดร. สมชัย สัจจพงษ์ รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กล่าวเสริมว่า ผลการดำเนินการทางการคลังเอื้อต่อการขยายตัวและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้ดีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสะท้อนได้จาก 1) การขยายตัวในระดับสูงของการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่สะท้อนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการดำเนินธุรกรรมทางเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ 2) ทิศทางของผลประกอบการของธุรกิจดีมีกำไรและการจ้างงานที่ขยายตัวในอัตราสูง ดังจะเห็นได้จากผลการจัดเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลและบุคคลธรรมดาที่มีการขยายตัวดีขึ้น 3) การจัดเก็บรายได้บรรลุผลเกินเป้าหมาย โดยการจัดเก็บรายได้ 7 เดือนสูงกว่าประมาณการอย่างมาก ประมาณ 44,263 ล้านบาท 4) การกระตุ้นการใช้จ่ายของภาคเอกชนผ่านการเบิกจ่ายเงินงบประมาณประจำปี 2548 ดีกว่าเดิม โดยสามารถเบิกจ่ายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ร้อยละ 11.5 ต่อปี 5) ภาคเอกชนสามารถประกอบการด้วยต้นทุนต่ำเนื่องจากความเชื่อมั่นในเครดิตของประเทศดีขึ้น โดยมีสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ที่ร้อยละ 43.1 ต่อ GDP ซึ่งอยู่ในกรอบความยั่งยืนทางการคลัง และ 6) คาดว่าดุลเงินงบประมาณสิ้นปีจะเกินดุล จากแนวโน้มในการจัดเก็บรายได้ที่สูงกว่าเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง โดยเชื่อมั่นว่ารัฐบาลจะจัดเก็บรายได้ได้ตามที่คาดการณ์ไว้ 1,250,000 ล้านบาท สำหรับในส่วนของการเบิกจ่ายเงินงบประมาณ ซึ่งได้รวมถึงการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติม 50,000 ล้านบาท เป็น 1,250,000 ล้านบาท แล้วนั้น คาดว่าการเบิกจ่ายเงินงบประมาณจะมีการเบิกจ่ายอยู่ในระดับประมาณร้อยละ 92 ของวงเงินงบประมาณ ซึ่งจะส่งผลให้ดุลเงินงบประมาณจะเกินดุลเล็กน้อย
ทั้งนี้ หากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกไม่สูงขึ้นจากปัจจุบันมากนัก อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้าสูงกว่าที่คาดการณ์ เป้าหมายการส่งออกสินค้าของรัฐบาลประสบผลสำเร็จ และภาคการคลังสามารถทำหน้าที่กระตุ้นและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อย่างแข็งแกร่ง เศรษฐกิจไทยในปี 2548 จะขยายตัวได้ร้อยละ 5.1 ต่อปี
ตารางแนบที่ 1 สรุปสมมติฐานและผลการประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2548
2547 ณ ณ
ก.พ. 2548 พ.ค. 2548
สมมติฐานที่สำคัญ
ราคาน้ำมันดิบดูไบ (ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล) 33.5 38.0 42.5
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 5.1 3.7 3.4
ผลการประมาณการที่สำคัญ
จำนวนการจ้างงานเพิ่มต่อปี (คน) 888,000 743,000 700,000
อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 6.1 6.0 4.6-5.1
อัตราการขยายตัวของการบริโภครวมที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 5.4 5.3 5.1
อัตราการขยายตัวของการลงทุนรวมที่แท้จริง (ร้อยละต่อปี) 14.4 18.3 19.1
อัตราการขยายตัวของมูลค่าการส่งออกสินค้าในรูป $ (ร้อยละต่อปี) 23.0 11.8 14.7
อัตราการขยายตัวของมูลค่าการนำเข้าสินค้าในรูป $ (ร้อยละต่อปี) 27.0 15.6 24.1
ดุลการค้า (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 1.7 -1.6 -7.0
ดุลบัญชีเดินสะพัด (พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) 7.3 3.0 0.5
ดุลบัญชีเดินสะพัดต่อ GDP (ร้อยละ) 4.4 1.6 0.3
อัตราเงินเฟ้อทั่วไป (ร้อยละต่อปี) 2.8 4.1 4.0
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง--