สำนักงานเศรษฐกิจการคลังชี้แจงผลกระทบของการนำเข้าน้ำมันดิบต่อตัวเลขการนำเข้าและการส่งออกในเดือนมิถุนายน 2548 พร้อมทั้งแจกแจงสาเหตุกรณีมูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบขยายตัวสูงขึ้นว่าเป็นผลมาจากการปรับปรุงระบบการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าน้ำมันของกรมศุลกากรให้เป็นไปตามการนำเข้าจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น ทั้งยังมีสาเหตุมาจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่าในเดือนมิถุนายน มูลค่าการนำเข้ามีจำนวนทั้งสิ้น 11,147.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.2 ในขณะที่การส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 9,266.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนมิถุนายนขาดดุลทั้งสิ้น 1,882 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยที่ผลักดันให้การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขยายตัวของการนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เหล็กและเคมีภัณฑ์
การนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนมีมูลค่าสูงถึง 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 98.9 ต่อปี เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Dubai เฉลี่ย ในปี 2546 อยู่ที่ 28.76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปี 2547 อยู่ที่ 34.58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มร้อยละ 20.2 จากปีก่อนหน้า ขณะที่ในเดือนมิถุนายน 2548 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 52.11 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงเกิดจากการที่กรมศุลกากรกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าให้เป็นไปตามการนำเข้าจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งจะทำให้สอดคล้องกับระบบการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าน้ำมันดิบของกรมธุรกิจพลังงาน
นายนริศฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าตามข้อเท็จจริงแล้วปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนไม่ได้สูงขึ้นอย่างที่เข้าใจ เพราะหากดูจากรายงานของกรมธุรกิจพลังงานแล้วพบว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนปรับลดลง โดยมีการนำเข้าจำนวน 4,099 ล้านลิตร ลดลงร้อยละ 3.2 ต่อปี เพียงแต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 53,272 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.8 จากปัจจัยเรื่องราคาตามที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ หลังจากกรมศุลกากรปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าให้ตรงกับกรมธุรกิจพลังงานแล้ว คาดว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง ตามแนวโน้มการบริโภคที่ชะลอตัวลงจากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ประกอบกับการรณรงค์ประหยัดพลังงานน่าจะส่งผลชัดเจนขึ้น
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 11/2548 28 กรกฎาคม 2548--
นายนริศ ชัยสูตร ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ชี้แจงว่าในเดือนมิถุนายน มูลค่าการนำเข้ามีจำนวนทั้งสิ้น 11,147.8 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 37.2 ในขณะที่การส่งออกมีมูลค่าทั้งสิ้น 9,266.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 11.7 ส่งผลให้ดุลการค้าเดือนมิถุนายนขาดดุลทั้งสิ้น 1,882 ล้านเหรียญสหรัฐ ปัจจัยที่ผลักดันให้การนำเข้าขยายตัวเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการขยายตัวของการนำเข้าวัตถุดิบ โดยเฉพาะการนำเข้าน้ำมันเชื้อเพลิง เหล็กและเคมีภัณฑ์
การนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนมีมูลค่าสูงถึง 2,014 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้นร้อยละ 98.9 ต่อปี เป็นผลมาจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบ Dubai เฉลี่ย ในปี 2546 อยู่ที่ 28.76 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ปี 2547 อยู่ที่ 34.58 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มร้อยละ 20.2 จากปีก่อนหน้า ขณะที่ในเดือนมิถุนายน 2548 ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 52.11 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.1 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน นอกจากนี้ มูลค่าการนำเข้าที่สูงเกิดจากการที่กรมศุลกากรกำลังดำเนินการปรับปรุงระบบจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าให้เป็นไปตามการนำเข้าจริงที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงเวลา เพื่อให้สามารถวิเคราะห์ผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ชัดเจนขึ้น อีกทั้งจะทำให้สอดคล้องกับระบบการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าน้ำมันดิบของกรมธุรกิจพลังงาน
นายนริศฯ กล่าวเพิ่มเติมว่าตามข้อเท็จจริงแล้วปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนไม่ได้สูงขึ้นอย่างที่เข้าใจ เพราะหากดูจากรายงานของกรมธุรกิจพลังงานแล้วพบว่าปริมาณการนำเข้าน้ำมันดิบในเดือนมิถุนายนปรับลดลง โดยมีการนำเข้าจำนวน 4,099 ล้านลิตร ลดลงร้อยละ 3.2 ต่อปี เพียงแต่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 53,272 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 32.8 จากปัจจัยเรื่องราคาตามที่กล่าวข้างต้น ทั้งนี้ หลังจากกรมศุลกากรปรับปรุงการจัดเก็บข้อมูลการนำเข้าให้ตรงกับกรมธุรกิจพลังงานแล้ว คาดว่ามูลค่าการนำเข้าน้ำมันดิบในช่วงครึ่งปีหลังจะชะลอตัวลง ตามแนวโน้มการบริโภคที่ชะลอตัวลงจากการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซล ประกอบกับการรณรงค์ประหยัดพลังงานน่าจะส่งผลชัดเจนขึ้น
--ข่าวสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ฉบับที่ 11/2548 28 กรกฎาคม 2548--