นายอาคม เอ่งฉ้วนในฐานะรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการได้ให้สัมภาษณ์ถึงการป ฎิรูป ระบบ การศึกษาโดย กล่าวว่า
ขณะนี้ทางกระทรวงศึกษามีเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงกำล ังเร่งดำเนินการอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. ปฎิรูประบบการศึกษาเนื่องจากว่าพ.ร.บ.การศึกษาใหม่การจัดการศึกษาเป็นการจ ัดการศึกษา 12 ปี แบบไม่ คิดค่าใช้จ่าย แล้วก็ให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึงนั้นก็หมายความว่า ในอนาคตข้างหน้าเราจำเป็นที่จะต้องจัด ให้มีสำนักงาน การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ซึ่งตรงนี้จะทำให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถใช้ประสิทธิภาพของ บุคลากรได้อย่างเต็มที่ เช่นในเวลานี้ถ้าเราดูจากสัดส่วนครูกับเด็กในโรงเรียนประถมครูจะเกินอยู่ 60,000 คน เพราะว่าธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) นั้นเขาต้องการให้สัดส่วนของครูต่อเด็ก 1 ต่อ 25 จากตัวเลขของเด็ก ประถมครูในเวลานี้ 1 ต่อ 21 ดังนั้นจำเป็น ต้องปฎิรูปคือต้องเอาครูส่วนที่เกินไปใช้กับครูกรมสามัญ เวลานี้ครู กรมสามัญยังขาดครูอีก 50,000 เพราะว่าการโยกย้าย มันเป็นไปด้วยความลำบาก เพราะมีคำว่ากรมสามัญกับ สปช.อยู่ แล้วถ้าการศึกษาขั้นพื้นฐานคุมไปถึงอาชีวะด้วย คำว่า อาชีวะก็หมายถึงว่า เราจะต้องรวมว่าการศึกษา ขั้นพื้นฐานคือ ป.1 - ม. 6 รวม 12 ปี ดังนั้นถ้ารวมยังนี้มันจะรวมไปถึงเด็ก ที่จบ ม. 3 แล้วไปเรียนอาชีวะด้วย
ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะรับผิดชอบโดยภาพร วม กระทรวงก็ดำเนินการ ปฎิรูประบบโดยกระทรวงศึกษาเล็กลง และแน่นอนที่สุดก็ต้องรอให้ พ.ร.บ.การศึกษาประกาศ ใช้ด้วย เพราะ ว่ารัฐจะต้องจัดการศึกษาแบบให้เปล่า ซึ่งเราจะต้องเตรียมงบประมาณไว้ปลายปี 2545 ถ้ากำลังงบประมาณ มี มากพอก็ไม่ต้องรอให้ถึงปี 2545 ซึ่งในส่วนของโรงเรียนเอกชน เราก็จะใช้ระบบอุดหนุนเรียกว่าบัตรอุดหนุน ซึ่งปีนี้ ก็เป็นแรกที่ครม.อนุมัติให้แล้วในปีการศึกษา 2542 คือปีหน้านั้น โรงเรียนเอกชนที่ไม่เคยได้รับการ อุดหนุนมาก่อนเลย จะได้รับการอุดหนุน 20% ต่อหัว ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าโรงที่จะได้รับการอุดหนุน แต่เราจะเริ่มอุดหนุน ป.1 -ป. 2 แล้วก็อุดหนุน ม.1 -ม.2
สำหรับการขอคูปองเด็กไม่ต้องขอเพราะว่าเด็กพวกนี้จะเร ียนโรงเรียรเอกชนอยู่แล้ว รัฐให้ทุกคน คือเมื่อก่อน เค้าต้องเสียค่าเรียนเต็มที่ คือโรงเรียนเอกชนที่ตั้งหลัง พ.ศ. 2517 หลังจากมติครม.ออกมา เราก็ เตรียมงบประมาณออกมา ดังนั้น 1 พ.ค. 42 เด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชนที่ตั้งหลัง 2517 ใน 4 ชั้นเรียนจะมี สิทธิเบิกค่าเล่าเรียนอุดหนุนใน 20% ต่อ หัว โดยไม่ต้องจ่ายส่วนนี้รัฐจะจ่ายให้ที่เหลือเขาก็ไปจ่ายเอาเอง ซึ่ง เมื่อปี 2543ก็จะอุดหนุนอีก 4 ชั้นเรียน กลายเป็น 8 ชั้นเรียน แล้วปี 2544 ก็จะอุดหนุนอีก 6 ชั้นเรียน เป็น 12 ชั้นเรียนพอดี สำหรับในส่วนของรัฐบาลนั้นเวลานี้รัฐบาลก็ให้มากอยู่แล้วแต่สำหรับอาชีวะน ั้นรัฐยังไม่ได้ให้เลย เพราะว่า ต้องรอพ.ร.บ.การศึกษา
2. ปฎิรูปบุคลากรซึ่งสำคัญมาก ในเวลานี้กระทรวงศึกษาธิการก็เร่งรัดในการที่จะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการสอนของครูให้จัดกิจกรรมการสอนโดยใช้เด็กเป็นจุดศูนย์กลางโรงเร ียนเป็นฐานในอดีตที่ผ่าน มาครูเป็นศูนย์กลางโดย ใช้แรงจูงใจหลายอย่าง ในฐานะที่ผมเป็นประฐานกค. เราจึงขออนุมัติกค.ให้มีการ ประเมินผลงานทาง วิชาการจริงที่ โรงเรียน เมื่อก่อนนี้เราประเมินผลงานด้วยตำรา เห็นเป็นเอกสาร ต่อไป นี้เราประเมินจริงที่โรงเรียน อันนี้ก็จะทำให้ครู เปลี่ยนพฤติกรรมการสอน เพราะว่าเรามีคณะกรรมการตรวจ สอบ ในขณะเดียวกันผู้บริหารโรงเรียนก็เหมือนกันเราให้ มีการประกาศมาตรฐานคุณภาพโรงเรียน คือเมื่อ ก่อนนั้นเราพูดถึงโรงเรียน ประถม มัธยม อาชีวะเราพูดรวม ๆว่า โรงเรียนนั้นมีมาตรฐาน แต่ว่าวันนี้เรา จะประกาศมาตรฐานรายโรง สำหรับคณะกรรมการนั้นก็เป็นคณะกรรมการของ กรมนั้น ๆ ซึ่งต่อไปในอนาคต พ.ร.บ.การศึกษาประกาศใช้ เราจะต้องมีการประเมินจากบุคคลภายนอก อันนี้เราประเมิน ภายใน ต่อไปก็จะ มีองค์กรภายนอกมาตรวจสอบประเมิน ซึ่งแน่นอนที่สุดกฎมายใหม่ ก็จะพูดถึงเรียนใบประกอบวิชา ชีพครู ซึ่งอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องทำให้ครูต้องพัฒนา ถ้าไม่พัฒนาก็เป็นครูต่อไม่ได้ เพราะจะมีการเพิกถอน ใบ ประกอบวิชาชีพครูด้วย
3. การประกันคุณภาพ เราเรียกว่าเราต้องประกาศมาตรฐานโรงเรียน คือในเวลานี้ทุกกรมก็เร่งรัด ในการ ประกาศคุณภาพ คือให้โรงเรียนแต่ละโรงสามารถมีศักยภาพ ในการที่จะบอกกับสังคมว่าโรงเรียนตน เอง นั้นมีมาตร ฐานอะไร
สำหรับเกณฑ์ในการวัดมาตรฐานนั้น เราจัดเป็นหลายเกณฑ์ เกณฑ์ที่สปช. หรือกรมสามัญ อย่าง ของกรณี สช.(สำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน) เราดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.40 ที่ผ่านมา เรา ให้โรงเรียนสช.ที่มี ความประสงค์ที่จะรับรองมาตรฐานโรงเรียนสมัครเข้ามาเพื่อให้ สช.ประเมิน ในเวลา 6 เดือนเราดำเนินการประเมิน เราประกาศมาตรฐาน ไปแล้วได้ 28 โรง ในอดีตใช้เวลา 5 ปี ประกาศได้ 14 โรง นอกจากนั้นก็จะมีโรงเรียนเอกชนอื่น ๆ เข้ามาสู่การประเมินอีกมาก เพราะถ้าเขาประเมินก็จะเป็นชื่อเสียง แก่โรงเรียนด้วย เหมือน ISO แต่ว่าขณะนี้ประเทศไทย ยังไม่มี ISO แต่ขณะนี้กรมสามัญกำลังนำร่อง ไปแล้ว 12 โรง เพื่อให้เข้าสู่มาตรฐาน ISO 14,100 ทั้งหมดนี้คือการปฎิรูป ระบบทั้งระบบ ซึ่งเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการนำกระทรวงศึกษาธิการไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน.--จบ--
ขณะนี้ทางกระทรวงศึกษามีเรื่องเร่งด่วนที่กระทรวงกำล ังเร่งดำเนินการอยู่ 3 เรื่อง คือ
1. ปฎิรูประบบการศึกษาเนื่องจากว่าพ.ร.บ.การศึกษาใหม่การจัดการศึกษาเป็นการจ ัดการศึกษา 12 ปี แบบไม่ คิดค่าใช้จ่าย แล้วก็ให้มีคุณภาพอย่างทั่วถึงนั้นก็หมายความว่า ในอนาคตข้างหน้าเราจำเป็นที่จะต้องจัด ให้มีสำนักงาน การศึกษาขั้นพื้นฐาน 12 ปี ซึ่งตรงนี้จะทำให้กระทรวงศึกษาธิการสามารถใช้ประสิทธิภาพของ บุคลากรได้อย่างเต็มที่ เช่นในเวลานี้ถ้าเราดูจากสัดส่วนครูกับเด็กในโรงเรียนประถมครูจะเกินอยู่ 60,000 คน เพราะว่าธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) นั้นเขาต้องการให้สัดส่วนของครูต่อเด็ก 1 ต่อ 25 จากตัวเลขของเด็ก ประถมครูในเวลานี้ 1 ต่อ 21 ดังนั้นจำเป็น ต้องปฎิรูปคือต้องเอาครูส่วนที่เกินไปใช้กับครูกรมสามัญ เวลานี้ครู กรมสามัญยังขาดครูอีก 50,000 เพราะว่าการโยกย้าย มันเป็นไปด้วยความลำบาก เพราะมีคำว่ากรมสามัญกับ สปช.อยู่ แล้วถ้าการศึกษาขั้นพื้นฐานคุมไปถึงอาชีวะด้วย คำว่า อาชีวะก็หมายถึงว่า เราจะต้องรวมว่าการศึกษา ขั้นพื้นฐานคือ ป.1 - ม. 6 รวม 12 ปี ดังนั้นถ้ารวมยังนี้มันจะรวมไปถึงเด็ก ที่จบ ม. 3 แล้วไปเรียนอาชีวะด้วย
ดังนั้นสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานจะรับผิดชอบโดยภาพร วม กระทรวงก็ดำเนินการ ปฎิรูประบบโดยกระทรวงศึกษาเล็กลง และแน่นอนที่สุดก็ต้องรอให้ พ.ร.บ.การศึกษาประกาศ ใช้ด้วย เพราะ ว่ารัฐจะต้องจัดการศึกษาแบบให้เปล่า ซึ่งเราจะต้องเตรียมงบประมาณไว้ปลายปี 2545 ถ้ากำลังงบประมาณ มี มากพอก็ไม่ต้องรอให้ถึงปี 2545 ซึ่งในส่วนของโรงเรียนเอกชน เราก็จะใช้ระบบอุดหนุนเรียกว่าบัตรอุดหนุน ซึ่งปีนี้ ก็เป็นแรกที่ครม.อนุมัติให้แล้วในปีการศึกษา 2542 คือปีหน้านั้น โรงเรียนเอกชนที่ไม่เคยได้รับการ อุดหนุนมาก่อนเลย จะได้รับการอุดหนุน 20% ต่อหัว ซึ่งมีอยู่ประมาณ 1,000 กว่าโรงที่จะได้รับการอุดหนุน แต่เราจะเริ่มอุดหนุน ป.1 -ป. 2 แล้วก็อุดหนุน ม.1 -ม.2
สำหรับการขอคูปองเด็กไม่ต้องขอเพราะว่าเด็กพวกนี้จะเร ียนโรงเรียรเอกชนอยู่แล้ว รัฐให้ทุกคน คือเมื่อก่อน เค้าต้องเสียค่าเรียนเต็มที่ คือโรงเรียนเอกชนที่ตั้งหลัง พ.ศ. 2517 หลังจากมติครม.ออกมา เราก็ เตรียมงบประมาณออกมา ดังนั้น 1 พ.ค. 42 เด็กที่เรียนโรงเรียนเอกชนที่ตั้งหลัง 2517 ใน 4 ชั้นเรียนจะมี สิทธิเบิกค่าเล่าเรียนอุดหนุนใน 20% ต่อ หัว โดยไม่ต้องจ่ายส่วนนี้รัฐจะจ่ายให้ที่เหลือเขาก็ไปจ่ายเอาเอง ซึ่ง เมื่อปี 2543ก็จะอุดหนุนอีก 4 ชั้นเรียน กลายเป็น 8 ชั้นเรียน แล้วปี 2544 ก็จะอุดหนุนอีก 6 ชั้นเรียน เป็น 12 ชั้นเรียนพอดี สำหรับในส่วนของรัฐบาลนั้นเวลานี้รัฐบาลก็ให้มากอยู่แล้วแต่สำหรับอาชีวะน ั้นรัฐยังไม่ได้ให้เลย เพราะว่า ต้องรอพ.ร.บ.การศึกษา
2. ปฎิรูปบุคลากรซึ่งสำคัญมาก ในเวลานี้กระทรวงศึกษาธิการก็เร่งรัดในการที่จะเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมการสอนของครูให้จัดกิจกรรมการสอนโดยใช้เด็กเป็นจุดศูนย์กลางโรงเร ียนเป็นฐานในอดีตที่ผ่าน มาครูเป็นศูนย์กลางโดย ใช้แรงจูงใจหลายอย่าง ในฐานะที่ผมเป็นประฐานกค. เราจึงขออนุมัติกค.ให้มีการ ประเมินผลงานทาง วิชาการจริงที่ โรงเรียน เมื่อก่อนนี้เราประเมินผลงานด้วยตำรา เห็นเป็นเอกสาร ต่อไป นี้เราประเมินจริงที่โรงเรียน อันนี้ก็จะทำให้ครู เปลี่ยนพฤติกรรมการสอน เพราะว่าเรามีคณะกรรมการตรวจ สอบ ในขณะเดียวกันผู้บริหารโรงเรียนก็เหมือนกันเราให้ มีการประกาศมาตรฐานคุณภาพโรงเรียน คือเมื่อ ก่อนนั้นเราพูดถึงโรงเรียน ประถม มัธยม อาชีวะเราพูดรวม ๆว่า โรงเรียนนั้นมีมาตรฐาน แต่ว่าวันนี้เรา จะประกาศมาตรฐานรายโรง สำหรับคณะกรรมการนั้นก็เป็นคณะกรรมการของ กรมนั้น ๆ ซึ่งต่อไปในอนาคต พ.ร.บ.การศึกษาประกาศใช้ เราจะต้องมีการประเมินจากบุคคลภายนอก อันนี้เราประเมิน ภายใน ต่อไปก็จะ มีองค์กรภายนอกมาตรวจสอบประเมิน ซึ่งแน่นอนที่สุดกฎมายใหม่ ก็จะพูดถึงเรียนใบประกอบวิชา ชีพครู ซึ่งอันนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะต้องทำให้ครูต้องพัฒนา ถ้าไม่พัฒนาก็เป็นครูต่อไม่ได้ เพราะจะมีการเพิกถอน ใบ ประกอบวิชาชีพครูด้วย
3. การประกันคุณภาพ เราเรียกว่าเราต้องประกาศมาตรฐานโรงเรียน คือในเวลานี้ทุกกรมก็เร่งรัด ในการ ประกาศคุณภาพ คือให้โรงเรียนแต่ละโรงสามารถมีศักยภาพ ในการที่จะบอกกับสังคมว่าโรงเรียนตน เอง นั้นมีมาตร ฐานอะไร
สำหรับเกณฑ์ในการวัดมาตรฐานนั้น เราจัดเป็นหลายเกณฑ์ เกณฑ์ที่สปช. หรือกรมสามัญ อย่าง ของกรณี สช.(สำนักงานคณะกรรมการศึกษาเอกชน) เราดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.40 ที่ผ่านมา เรา ให้โรงเรียนสช.ที่มี ความประสงค์ที่จะรับรองมาตรฐานโรงเรียนสมัครเข้ามาเพื่อให้ สช.ประเมิน ในเวลา 6 เดือนเราดำเนินการประเมิน เราประกาศมาตรฐาน ไปแล้วได้ 28 โรง ในอดีตใช้เวลา 5 ปี ประกาศได้ 14 โรง นอกจากนั้นก็จะมีโรงเรียนเอกชนอื่น ๆ เข้ามาสู่การประเมินอีกมาก เพราะถ้าเขาประเมินก็จะเป็นชื่อเสียง แก่โรงเรียนด้วย เหมือน ISO แต่ว่าขณะนี้ประเทศไทย ยังไม่มี ISO แต่ขณะนี้กรมสามัญกำลังนำร่อง ไปแล้ว 12 โรง เพื่อให้เข้าสู่มาตรฐาน ISO 14,100 ทั้งหมดนี้คือการปฎิรูป ระบบทั้งระบบ ซึ่งเริ่มดำเนินการไปบ้างแล้ว ซึ่งถือว่าเป็นการนำกระทรวงศึกษาธิการไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน.--จบ--